ตอนที่แล้วMoney Monster Episode III [เปิดฉากเทศกาลไล่ล่า]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMoney Monster Episode V [โรงละครของยูเรโนส]

Money Monster Episode IV [วิกฤตมาเยือน]


Money Monster

Episode IV

[วิกฤตมาเยือน]

หลังจากกำจัดกรีดกลุ่มแรกได้ทั้งไลท์และเมซูลก็พากันออกจากมหาลัยโดยเร็วที่สุด แต่เนื่องจากอยู่ในสถานะถูกไล่ล่าจึงทำให้ไม่สามารถเรียกแท็กซี่ออกมาใช้งานได้ จึงต้องใช้วิธีเคลื่อนที่ตามทางเท้าเป็นหลัก ในขณะนั้นชายหนุ่มก็ได้ถามออกไปว่า

“เมซูลฉันขอถามอะไรหน่อย”

“?”

“สมมุติว่าถ้ากลายเป็นโบรกเกอร์แล้วต้องใช้การ์ดต่อสู้ตลอดเวลา แล้วขาดทุนทุกครั้งไม่แย่รึ”

“ปกติก็เป็นเช่นนั้น ที่จริงถ้าเป็นกรีดเลเวลต่ำพวกเราจะนิยมใช้การ์ดหากไม่จำเป็นเพราะมันไม่คุ้ม สังเกตจากฉันเมื่อกี้ก็ได้ว่าไม่ได้ใช้การ์ดเลยแม้แต่ใบเดียว เพราะฉันจะเก็บการ์ดไว้ใช้ในกรณีเร่งด่วนหรือกรีดเลเวลสูงมากกว่า เพราะยิ่งเลเวลสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งแต่ค่าตอบแทนก็สูงตามไปด้วย คุ้มค่าแก่การลงทุนมากกว่า”

“อืม แบบนี้เอง”

“อย่างตอนช่วยนายครั้งแรกฉันก็ยอมขาดทุนเพราะไม่อยากเสียเวลามาก เพราะต้องรีบพานายไปที่ปลอดภัย แต่เหมือนตอนนี้จะเป็นความคิดที่ผิดถนัด”

“?” ไลท์เอียงคอด้วยความสงสัยก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยคำพูดต่อมาอย่างเยือกเย็นว่า

“ฉันไม่น่าช่วยนายเลย ดูสิ ตอนนี้สถานการณ์มันเหนือการควบคุมไปแล้ว ตั้งแต่เป็นโบรกเกอร์มาฉันยังไม่เคยรู้ว่ามีกรีดที่ออกไล่ล่าตอนกลางวันเลยนะรู้ไหม”

“เอ่อ..ครับ” ไลท์รู้สึกอยากกระโจนลงน้ำให้รู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้ ทำไมหนึ่งวันมานี้ถึงรู้สึกว่าพลังชีวิตสั้นลงเรื่อยๆ เขาก็ไม่ทราบ

พอวิ่งมาเรื่อยๆ ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดปกติเมื่อผู้คนเริ่มหดหายและบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด ตลอดเส้นทางสัญจรไม่มีใครเลยนอกจากพวกเขาสองคนทำให้เมซูลต้องหยุดซะงักฝีเท้ากะทันหัน ส่งผลให้ไลท์เกิดความสงสัยขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ถามออกไปเขาก็ได้คำตอบในไม่ช้า

ตามอาคารและตรอกซอกซอยเริ่มมีสิ่งมีชีวิตผิวกายสีดำเดินออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกมันมีขนาดตั้งแต่หนึ่งเมตรจนกระทั่งสูงมากถึงสี่เมตรออกมากระจายกำลังล้อมรอบให้ทั้งคู่อยู่ในพันธนาการ ไลท์และเมซูลพากันหลังหันแนบติดกันคอยระแวงอย่างสุดตัว

การโดยล้อม นั่นย่อมหมายความว่าหมดทางหนีแล้วนั่นเอง

“แย่ละสิ” เมซูลถึงกับหลุดคำพูดออกมา

ไม่ว่ากรีดจะปรากฏขึ้นที่ใด สัญชาตญาณส่วนลึกจะสร้างปฏิกิริยาบางอย่าง ให้ไม่เข้าไปใกล้บริเวณนั้นเสมอ อาจจะจู่ๆ ก็ไม่อยากออกจากบ้าน เปลี่ยนเส้นทางสัญจรกะทันหัน หลากเหตุผลที่เป็นธรรมชาติจนไม่รู้สึกตัว ทำให้ผู้คนจะบางตาหรือไม่มีเลยเหมือนที่ไลท์เจอกรีดเป็นครั้งแรก

เมซูลพลาดตรงจดนี้ มนุษย์ไม่อาจสัมผัสการมีอยู่ของกรีดยกเว้นเสียว่ามันจะจงใจปรากฏให้เห็น หรือถูกมอนสเตอร์จับกลิ่นได้เหมือนครั้งในมหาลัย แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว เพราะตอนนี้เธอเข้ามาในอาณาเขตของพวกมันเรียบร้อย

อมนุษย์สีดำไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยวางกำลังพลล้อมรอบ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ตรงหน้าเลวร้ายเพียงใด ทว่า..

“นี่” เสียงของไลท์ดังขึ้นทำให้เธอหันไปเหลียวมองใบหน้าของชายหนุ่มแวบหนึ่ง บนใบหน้าของเขายังไม่ได้ฉายแวววิตกกังวลแต่กลับแสดงท่าทีเยือกเย็นออกมาแทนเสียอย่างนั้น ทำให้เมซูลอดประหลาดใจไม่ได้

‘ทั้งที่เป็นคนธรรมดาควรสติแตกจนคิดอะไรไม่ได้แล้วแท้ๆ อย่าบอกนะว่าแค่เจอสถานการณ์เสี่ยงตายแค่สองสามครั้งก็ชินชาซะแล้ว? ผู้ชายคนนี้จะผิดมนุษย์ไปรึเปล่า’

“จุดนัดหมายที่เธอว่าไกลจากตรงนี้มากไหม” ไลท์เอ่ยคำถามเธอจึงส่ายหน้าตอบ

“ประมาณหนึ่งสถานี สำหรับฉันไม่ถือว่าไกลสักเท่าไหร่”

“อืม”

“ถามไปทำไมงั้นเหรอ?”

“น้ำวนเมื่อวันก่อน เธอใช้มันได้ไหม?”

“?”

“ก็ถ้าใช้มันน่าจะกันไม่ให้มันเข้ามาใกล้พวกเราได้ ในระหว่างนี้เธอน่าจะส่งสัญญาณให้พรรคพวกเธอมาหาพวกเราได้ทัน ฉันคิดเอาไว้แบบนี้”

“อา..การ์ดคุกน้ำวนปลาตายอยู่ในสต๊อกการ์ดของฉันแล้ว เป็นไอเดียที่ดีแต่น่าเสียดายที่ใช้ไม่ได้ เพราะการ์ดจำเป็นต้องจ่ายมาขึ้นมือก่อนถึงใช้งานได้ ถ้าการ์ดไม่ได้อยู่ในมือก็ใช้งานไม่ได้..”

“นานไหมที่การ์ดจะจ่ายขึ้นมือ?”

“สต๊อกการ์ดจะจ่ายการ์ดให้ทุกสองนาที แต่มันจะสุ่มการ์ดขึ้นมาให้ทำให้ไม่รู้เลยว่าจะได้การ์ดอะไรบ้างขึ้นมาใช้ หยุดหวังเลยจะดีกว่า” เมซูลอธิบายพลางถอนหายใจเบาๆ ด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ แม้การ์ดที่อยู่ในมือเธอตอนนี้จะเป็นการ์ดคุณภาพยอดเยี่ยมทั้งหมด แต่เพราะมีเงื่อนไขการใช้งานที่ยุ่งยากและไม่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้ จึงมีสภาพไม่ต่างจากแผ่นกระดาษ

“อือ..ทำยังไงดีล่ะ” ไลท์ครุ่นคิดอย่างหนักมองซ้ายขวาก็เห็นกรีดล้อมเต็มไปหมด ใบหน้าเริ่มซีดเผือดสังเกตเห็นสายตาสีขาวนับร้อยที่พุ่งตรงมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน ราวกับว่าความเยือกเย็นเมื่อสักครู่ปลิวหายไปกับสายลมแล้ว

“ไม่เป็นไร ถ่วงเวลาสักนาทีพรรคพวกของฉันก็จะมาถึงแล้ว”

“หนึ่งนาที! หมดนี่เนี่ยนะ!” ไลท์เผลออุทาน แค่ตัวเดียวเขายังแทบแย่แต่ตอนนี้มีจำนวนเป็นร้อย มีหวังได้ไปเฝ้ายมบาลก่อนถ่วงเวลาครบหนึ่งนาทีอย่างแน่นอน

“เราไม่มีทางเลือก การ์ดในมือฉันก็เน่าพอสมควร ของนายล่ะ” เมซูลเอ่ยถามก่อนที่เขาจะชูการ์ดที่อยู่ในมือทั้งหมดให้เธอดู ใบหน้าสวยๆ ของหญิงสาวถึงกับกระตุกวูบในบัดดล ไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาวว่าอาการหนักหนาสาหัสไม่ต่างกัน

“ถึงฉันจะไม่มีความรู้ด้านนี้แต่ก็พอเดาออกว่าห่วยแตกมากใช่ไหม?” ไลท์ถามออกไปอย่างจนใจ

“แต่อย่างน้อยก็พอมีลุ้น ฉันจะสอนวิธีการอัญเชิญมอนสเตอร์ออกมาทีละเยอะๆ ให้”

“อืม”

“ลองสังเกตดูที่การ์ดอัญเชิญจะมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า[Limited Unit] ใช่ไหม นั่นคือจำนวนที่สามารถอัญเชิญพร้อมกันได้สูงสุด เช่น ของฉันเขียนเอาไว้ว่า[Limited 5Unit] ก็อัญเชิญได้มากสูงสุดห้าตัว”

“อืม”

“เลือกตัวที่มีค่าพลังเกราะมากที่สุด ยิ่งค่าพลังเกราะมากเท่าไหร่ก็รับการโจมตีได้มากเท่านั้น อัญเชิญมันออกมาให้มากที่สุดเลย”

“ค่าพลังเกราะ ค่าพลังเกราะ..” ไลท์ทวนคำนี้ซ้ำไปมาพลางใช้มือชี้สังเกตหาคำที่ว่า บนการ์ดอัญเชิญมีค่าพลังรวมกันสี่อย่าง ตั้งแต่พลังจู่โจม พลังเกราะ พลังงานและพลังความเร็ว แต่เขาไม่มีกะใจจะสนใจอย่างอื่นนอกจากค่าพลังเกราะเลยหยิบการ์ดที่มีค่าพลังเกราะสูงที่สุดมาใช้งาน

[Summon Card : นักรบละอองดาว 2,500 Coin]

[คุณสมบัติ:- พลังจู่โจม100 พลังเกราะ160 พลังงาน250 พลังความเร็ว120 [Limited 20Unit]]

“พูดว่าเพิ่มจำนวนการซื้อขายเป็นยี่สิบเท่า!” เมซูลร้องตะโกน ประจวบจังหวะเดียวกันกับที่พวกกรีดมันแยกเขี้ยวพร้อมากันกรูเข้ามาหมายจะบดขยี้พวกเขาทั้งคู่จากรอบด้าน ไลท์กัดฟันตั้งสติก่อนจะทำตามที่เธอพูด

“เพิ่มจำนวนการซื้อขายเป็นยี่สิบเท่า!”

[2,500 X 20 = 50,000 Coin  Assert(ยืนยัน)]

“เช็ค!”

[Payout Complete (ชำระเสร็จสิ้น)] ทันทีที่การ์ดเริ่มทำงานบนพื้นก็ผุดแสงจำนวนยี่สิบตำแหน่งก่อนจะปรากฏร่างของนักรบสวมชุดเกราะหนังพร้อมรูปกายกำยำขึ้นรวดเดียวมาล้อมรอบปกป้องนายของมันจากอันตรายรอบด้าน พวกมันเข้าปะทะกับเหล่าอมนุษย์สีดำแต่ก็มีท่าทีจะยันไม่อยู่ตั้งแต่วินาทีแรกที่ประจันหน้ากันแล้ว

“ทำยังไงต่อล่ะเมซูล!”

“ตั้งสติเอาไว้ ความคิดของเจ้าของจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ด้วย นายต้องตั้งสมาธิกับการป้องกันให้มากๆ ตอนนี้ฉันส่งข้อความไปแล้ว”

“โว้ย! ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยล่ะเนี่ย” ไลท์คร่ำครวญออกมาอย่างปวดร้าว รู้สึกเหมือนหัวสมองแทบจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ ตั้งแต่ที่นักรบละอองดาวปรากฏขึ้นพร้อมกันยี่สิบร่างก็เหมือนว่ามีบางสิ่งเข้ามาอยู่ในหัวมากยิ่งขึ้น

ความเจ็บปวด ความตึงเครียดเข้าจู่โจมเข้ามาพร้อมกันพรวดเดียว ดวงตาของชายหนุ่มสั่นระริกพร้อมใช้มือกุมหน้าผากแสดงอาการอ่อนเพลีย

“อย่าบอกนะว่ายิ่งอัญเชิญออกมาเยอะผู้ใช้ก็ยิ่งรับภาระหนักขึ้น” ไลท์เอ่ยถาม

“ใช่ ความเจ็บปวดบางส่วนจะส่งผลมาที่ผู้ใช้ด้วย” เมซูลตอบกลับก่อนที่เธอจะดึงการ์ดใบหนึ่งขึ้นมาเสียบที่ช่องใส่การ์ด

[Ability Card : น้ำมนต์กายสิทธิ์ 6,500 Coin]

[คุณสมบัติ : เพิ่มค่าสถานะทุกอย่างของมอนสเตอร์ในบริเวณสองเมตรที่เลือกทั้งหมด200หน่วย]

“เช็ค”

[Payout Complete (ชำระเสร็จสิ้น)]

แสงสีฟ้าปรากฏขึ้นบนพื้นของนักรบละอองดาวทุกตน ได้เพิ่มและฟื้นฟูพลังกายให้แก่พวกมันมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ต้านทานแรงของกรีดจำนวนมากไปอีกหนึ่งระดับ แต่ก็ไม่ได้มากพอที่จะยันเอาไว้ได้นานนัก

“โอ้ย! จะมาถึงรึยัง หัวฉันจะระเบิดแล้ว”

“ใกล้แล้ว!” เมซูลร้องตะโกน

“ไม่ใกล้หรอก! ให้รอนานไหมน้องสาว” ” เสียงหวานละมุนของหญิงสาวดังขึ้นจากเบื้องบน ทั้งสองเงยหน้ามองไปยังต้นทางเสียงพบนกพิราบสีขาวกำลังกางปีกบินวนไปมาอยู่เป็นกลุ่มก้อน เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มก่อนที่รถสปอร์ตสีแดงเปิดประทุนจะแหกโค้งโผล่มาจากทางเลี้ยว วิ่งตรงมาทางนี้โดยไม่มีวี่แววจะชะลอเลยสักนิด

“อันตราย!” ไลท์โพล่งเสียงตกใจกระโดดหลบออกไปอีกทางล่วงหน้า รถสปอร์ตพุ่งเข้าชนแหวกฝูงกรีดกระเด็นเป็นแถบๆ เมซูลยืนอยู่นิ่งมองหญิงสาวผมสีขาวที่นั่งบนที่นั่งคนขับ เธอถอดแว่นตาดำออกก่อนจะขยิบตาให้เมซูลหนึ่งที

“รุ่นพี่เจเรมี่”

“กำลังเสริมมาแล้วจ้า!”  เจเรมี่กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังพากันก้าวลงจากรถด้วยท่าทีน่าเกรงขาม

ทั้งคู่มีใบหน้าหล่อเหลา แต่บุคลิกภายนอกสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นหนุ่มผมดำถูกจัดทรงอย่างเป็นระเบียบ มีรอยยิ้มมองแล้วสดชื่นและแววตาที่อบอุ่น ในขณะที่อีกคนมีผมสีแดงตั้งชี้ดูไม่เรียบร้อย เผยแสยะยิ้มกับแววตาหาเรื่องราวนักเลงข้างถนน พวกเขามองไปยังกรีดที่อยู่คนละด้านด้วยสายตามั่นใจเต็มเปี่ยม

“เฮ้ๆ ชิพเตอร์ที่ยัยเมซูลหามามันล่อบาทาใช้ได้ เป็นร้อยเลยมั้ง ไม่สิ โคตรจะใช้ได้” ชายผมแดงเอ่ย

“ตั้งแต่เป็นโบรกเกอร์ฉันก็เพิ่งเคยเห็นชิพเตอร์ที่ดูดกรีดมารวมกันเยอะขนาดนี้เป็นครั้งแรก” ชายผมดำเอ่ย

“งั้นมาแข่งกัน! ว่าใครจะเก็บได้มากกว่ากัน คนแพ้จ่ายมาแสนเหรียญ”

“เหอะๆ ล้านเหรียญดีกว่า”

“แบบนั้นก็สวยสิ!” ชายผมแดงเผยยิ้มและกระโจนพุ่งเข้าใส่ฝูงกรีดก่อนจะละเลงกำปั้นใส่พวกอมนุษย์อย่างดุเดือด สนับมือเสริมแรงดันช่วยเพิ่มอานุภาพทำลายล้างให้หมัดธรรมดารุนแรงได้เทียบเท่ากระสุนปืน ด้วยกำลังของเขาคนเดียวก็สามารถทำให้กองศัตรูแตกฮือ

“คุโรงาเนะ! สู้ๆ นะ” เจเรมี่ยิ้มโบกมือส่งกำลังใจให้ ชายผมดำยิ้มส่ายมือไปมาเบาๆ หันกลับมามองฝูงกรีดแล้วชักดาบคาตานะด้วยท่าทีอันสุขุม ก้าวเท้าเร่งความเร็วขึ้นเหวี่ยงดาบฟันร่างสีดำอย่างฉับไว ตัดแขนขาของเหล่าอมนุษย์จนเลือดสีทองพุ่งกระจาย

ไลท์มองภาพกำลังเสริมทั้งสองด้วยอาการตกตะลึง ทั้งคู่ไม่ได้ใช้การ์ดสักใบเหมือนเมซูล อาศัยเพียงอาวุธและฝีมือก็สามารถจัดการอมนุษย์นับร้อยด้วยคนเพียงสองคน ช่างเป็นภาพที่ราวกับหลุดมาจากนวนิยายก็ไม่เกินจริง

“พวกเขาเป็นสมาชิกระดับยอดฝีมือขององค์กรที่ฉันสังกัด ต่อให้เพิ่มมาเป็นร้อยพวกเขาก็รับมือไหว” เมซูลอธิบายให้ไลท์ฟัง ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าร้องอือไม่ยอมละสายตาจากภาพตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เพียงไม่นานทั้งสองก็เดินกลับมาที่รถ ทิ้งซากศพของกรีดที่นอนกองเป็นภูเขาไว้เป็นพื้นหลัง คนชื่อคุโรงาเนะเดินมายื่นมือให้ไลท์ เขาผงะศีรษะเอื้อมมือไปคว้าก่อนจะถูกดึงร่างให้ลุกขึ้น

“เจอสถานการณ์แบบนี้คงกลัวมากสินะ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะพระเอกคนนี้มาแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวล”

“หา! พระเอกบ้านแกสิ ฉันต่างหากพระเอก แกมันก็แค่ตัวประกอบเว้ย ไสหน้าเน่าๆ ของแกไปให้พ้นๆ เลย”

“สก็อต สุภาพหน่อย” เจเรมี่หรี่ตาตำหนิพร้อมกล่าวตักเตือน ชายผมแดงแสดงอาการขัดใจก่อนจะเปิดประตูไปนั่งด้านหลังด้วยใบหน้าหงุดหงิด เธอถอนหายใจก่อนจะหันมาพูดกับไลท์ด้วยน้ำเสียงปลอบโยน

“ไม่เป็นอะไรนะ เราจะพาเธอไปยังที่ปลอดภัยเอง”

“ครับ”

“ขึ้นรถกันเถอะ ถ้าอยู่ต่อพวกมันอาจโผล่มาเพิ่มอีกกลุ่มนะ” คุโรงาเนะกล่าวติดตลกแต่ไลท์หาได้ขำด้วยไม่ กระโจนขึ้นเบาะหลังอย่างรวดเร็ว พอทุกคนได้ที่นั่งเป็นที่เรียบร้อยก็สตาร์ทเครื่องยนต์วิ่งฉิวไปบนท้องถนน การถกเถียงจึงเริ่มขึ้นในเวลาต่อมา

“รุ่นพี่เจเรมี่คะ เราจะทำยังไงกับเขาต่อ” เมซูลเอ่ยกับหญิงสาวผมขาว

“ฉันจะลองติดต่อพันธมิตรดู”

“หา! จะบ้ารึเปล่า นี่เธอเสียสติไปแล้วรึไง!” สก็อตปั้นหน้าน่าเกลียดกล่าวกับหญิงสาวด้วยถ้อยคำหยาบคาย ดูไม่พอใจในคำพูดเมื่อครู่มาก”

“คิดดูสิ ไอ้ชิพเตอร์นี่มันดึงดูดกรีดมาได้เยอะขนาดนี้เชียวนะ! ถ้าจัดกำลังคนดีๆ วางแผนอย่างรัดกุม รับรององค์กรเราต้องทำกำไรอื้อซ่าแน่ ถ้าไปร่วมมือกับพวกปลิงผลประโยชน์เราต้องลดลงขนาดไหน เอกสารอาหารไปกองที่นมหมดแล้วรึไง!

“สก็อต สุภาพหน่อย” คุโรงาเนะเอ่ยตักเตือน

“เหอะ! แกก็เอาด้วยอีกคนรึไง สมองกลวงกันไปหมด นี่ถ้าไอ้ชิพเตอร์มันมีอำนาจมาก พอครบเจ็ดวันเราจะได้ทรัพยากรล้ำค่าขนาดไหน ถ้าเราผูกขาดมันได้ต้องยกระดับองค์กรขึ้นได้แน่ บอสและคนอื่นๆ ต้องดีใจมากด้วย”

“ไม่ไหวหรอก” เจเรมี่กล่าวขัดคอ ทำให้อีกฝ่ายชะงัก

“ก็จริงถ้าเราผูกขาดเขาได้ ทรัพยากรที่ได้รับต้องน่าพอใจมากแน่ แต่นั่นคือกรณีที่เราทำได้จริง ซึ่งฉันไม่คิดว่าจะทำได้ บอสและกำลังสำคัญคนอื่นตอนนี้อยู่ต่างประเทศ ลำพังพวกเรารับมือกับอำนาจที่ประเมินไม่ได้ไม่ไหวหรอกนะ ฉันขอยื่นคำขาด เราต้องพึ่งพาพันธมิตรเท่านั้น”

“ชิ” สก็อตเดาะลิ้นเบนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยท่าทีไม่พอใจ ไลท์กะพริบตาไปมาอย่างมึนงงหันไปกระซิบถามเมซูลที่อยู่ข้างๆ

“อธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยได้ไหม”

“ปกติแล้ว ไม่ใช่แค่กรีดที่ต้องการเหรียญของชิพเตอร์ พวกเราก็ด้วย” ทันทีที่ได้ยินคำนี้จากปากของหญิงสาว ไลท์รู้สึกสะท้านไปทั่วร่าง เพราะหากจำไม่ผิดวิธีที่เอาเหรียญออกมาคือฆ่าเจ้าของเหรียญให้ตาย หรือคนพวกนี้กำลังลักพาตัวเขาไปฆ่า!

“ถ้าหากผ่านไป7วันแล้วเหรียญหมดอำนาจ เหรียญจะกลายเป็นกล่องสมบัติที่มีทรัพยากรล้ำค่า อาจเป็นการ์ดหายาก วัตถุดิบระดับสูง เงิน ทองคำ หรืออื่นๆ ยิ่งเหรียญมีอำนาจมากทรัพยากรที่ได้รับก็ยิ่งสูง รุ่นพี่สก็อตต้องการผูกขาดผลประโยชน์แต่รุ่นพี่เจเรมี่ไม่คิดว่าลำพังองค์กรเราตอนนี้จะปกป้องนายไหว เลยจะไปขอความช่วยเหลือจากพันธมิตร”

“ถ้าขอความช่วยเหลือก็ต้องแบ่งปันผลประโยชน์กันสินะ”

“ใช่”

“แต่ทั้งสองคนนี้ก็ออกจะเก่งไม่ใช่เหรอ ฉันว่าแค่พวกเขาก็ต้องปกป้องฉันได้แน่ ไม่เห็นต้องไปขอความช่วยเหลือคนอื่นเลย”

“นายยังไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองเลยสินะ”

“หา?”

“ชิพเตอร์ที่ดึงดูดกรีดมาได้มากขนาดนี้ ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะโผล่มาอีกกี่ตัว และเก่งขนาดไหนกันบ้าง สถานการณ์ที่ประเมินกำลังศัตรูไม่ได้ บอกไมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะรับมือไหวรึเปล่า อย่างร้ายแรงก็อาจตายหมดทั้งองค์กร หาพันธมิตรมาร่วมมือเสียผลประโยชน์หน่อยแต่หลีกเลี่ยงความเสียหายได้”

“อืม เข้าใจแล้ว”  ไลท์พยักหน้าเข้าใจและนั่งต่อไปอย่างเงียบเฉียบ แม้ระหว่างทางจะเจอกรีดบุกเข้ามาบ้างแต่ก็ถูกกำจัดไปอย่างง่ายดาย ยิ่งตอกย้ำว่า ไลท์เป็นเหยื่อล่อเกรดพรีเมียมขนาดไหน

รถสปอร์ตสีแดงวิ่งมาจอดหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นโรงงานเก่าที่มีขนาดใหญ่ ประตูเหล็กเลื่อนเปิดออกอัตโนมัติ เมื่อเข้าไปก็พบผู้คนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยกำลังยืนคอยต้อนรับอยู่ ทุกคนส่งสายตามาทางไลท์ราวกับกำลังมองทรัพยากรล้ำค่า

‘พวกโบรกเกอร์มองเราเป็นแค่เครื่องมือจริงๆ งั้นเหรอ’ ไลท์จนถึงตอนนี้ก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ จนกระทั่งมีชายวัยกลางคนพร้อมคนอีกจำนวนหนึ่งเดินตรงเข้ามา

“ตัวแทนเจเรมี่ พวกเราต้องหารือกับคุณ ช่วยบอกข้อมูลและประเมินสถานการณ์คร่าวๆ ให้พวกเราอย่างเร่งด่วนด้วย เรื่องของผลประโยชน์เอาตามข้อตกลงพื้นฐาน”

“ค่ะ เมซูลพาไลท์ไปหาออราเคิล เราต้องการประเมินอำนาจของเหรียญที่เขาครอบครอง”

“ค่ะ” เมซูลผงกศีรษะรับคำสั่ง จูงแขนไลท์ลากออกจากวงสนทนาอย่างเร่งรีบ พากันเดินเข้ามายังภายในตัวอาคารสีขาวสะอาด ที่ห้องแห่งหนึ่งเขาพบกับหญิงสาวปริศนาในชุดสีขาว เธอปกปิดใบหน้าไว้อย่างมิดชิดเสมือนกำลังรอใครอยู่สักคน

เมซูลพาไลท์มานั่งตรงเก้าอี้ตรงข้ามหญิงสาวผู้นั้น

“ออราเคิล ฉันพาชิพเตอร์มาส่งแล้ว”

“ค่ะ กรุณาวางเหรียญตรงตำแหน่งนี้ด้วย” ออราเคิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพายมือลงกลางโต๊ะ ไลท์พยักหน้าหยิบเหรียญตราอสูรลงมาวางยังตำแหน่งที่ว่า ปรากฏวงแหวนบางอย่างขึ้นและแสงสีทองที่ส่องสว่างไปทั่วห้อง

“จะเริ่มทำการตรวจดูอำนาจของเหรียญ อาจใช้เวลาสักครู่ค่ะ”

“ครับ”

“ว่าแต่ พวกเธออยากรู้อะไรกัน” ไลท์หันมาถามเมซูล

“พวกเราต้องการข้อมูล นายก็ได้ยินไปแล้วว่าตัวนายค่อนข้างพิเศษ”

“อืม..แต่ฉันไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่นี่สิ”

“การทำสัญญากับมาม่อนเพื่อทำให้ความปรารถนาเป็นจริง ไม่ได้หมายถึงสามารถขอได้ทุกอย่างจริงๆ หรอกนะ”

“ห๊ะ?”

“ก็เหมือนธนาคาร นายไปขอกู้เงินธนาคารมาห้าแสนเหรียญ แต่นายไม่มีงานทำ รายได้ก็ไม่มั่นคง ทรัพย์สินที่ถือครองไม่มีมูลค่า นายคิดว่าธนาคารจะยอมให้นายเบิกกู้ไหม” สิ้นเสียงคำถามไลท์ส่ายหน้าปฏิเสธ

“มาม่อนก็เหมือนธนาคาร ถ้าชะตากรรมไม่มีอำนาจพอ ความปรารถนาที่ขอให้เป็นจริงจะถูกจำกัดขอบเขต แต่ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่สิ่งที่ขอก็มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น”

“แล้วมันเกี่ยวกับที่พวกสัตว์ประหลาดตามล่าฉันเป็นโขยงยังไง”

“เหรียญคือตัวแทนชะตากรรมของชิพเตอร์ ยิ่งชะตากรรมมีอำนาจเท่าไหร่เหรียญก็ทรงพลังตามเท่านั้น ยิ่งเหรียญทรงพลังพวกกรีดก็ยิ่งอยากได้ รัศมีที่กรีดได้กลิ่นก็กว้างขึ้น เวลายิ่งผ่านไปพลังก็ยิ่งแผ่กระจาย กรีดก็ตามล่ามากขึ้นด้วย”

“.....”

“เพราะงั้นนายต้องอยู่ที่นี่ ภายใต้การดูแลของพวกเรา”

“เพื่อความปลอดภัยของฉันเองและผลประโยชน์ของพวกเธอสินะ”

“อืม ถ้าอย่างนั้นฉันโทรบอกพ่อแม่ก่อนนะว่าจะปั่นงานที่บ้านเพื่อนสักพัก เดี๋ยวพวกท่านจะเป็นห่วงเอา” ไลท์กล่าวจบประโยคหยิบมือถือขึ้นมาดู แต่ใบหน้าของหญิงสาวกลับตกตะลึง ออราเคิลที่เพิ่งได้ยินก็ทำตาโตตามไปด้วย

“นี่นาย..อาศัยอยู่กับครอบครัวงั้นเหรอ”

“ใช่”

“ทำไมนายไม่บอกฉัน!”

“เอ๊ะ เอ่อ..ก็เธอไม่ได้ถาม ถามไปทำไม” ไลท์กล่าวคำถามด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ หญิงสาวทั้งสองจ้องมาที่เขาพร้อมกัน เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก

“ฉันบอกน้องชายตั้งแต่เช้าแล้วว่างานพาร์ทไทม์ฉันอาจค้างที่ทำงาน เลยไม่จำเป็นต้องโทรบอกอีก แต่ฉันต้องค้างเพิ่ม ฉันก็ต้องบอกนี่ มันทำไม”

“ครอบครัวของนาย...”

            กำลังตกอยู่ในอันตราย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด