Money Monster Episode II [Money Monster]
Money Monster
Episode II
[Money Monster]
เหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ไลท์ถูกอมนุษย์สีดำไล่ล่าจนการปรากฏตัวของเมซูล สำหรับคนธรรมดาแล้วไม่ต่างจากภาพผีเดินผ่าน พบเห็นในช่วงเวลาสั้นๆ และหลงลืมไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสมือนกับมีพลังเหนือธรรมชาติบางอย่างปกปิดไว้
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครเลยที่ไม่รับรู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก จากจุดที่เกิดการปะทะมีตึกสูงร้างแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีชายสวมชุดขาวผู้หนึ่งกำลังถือกล้องส่องทางไกลเฝ้ามองทุกอย่างตั้งแต่เริ่มจนจบ
“ยูเรโนส” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังอย่างไม่มีบอกกล่าว ชายชุดขาวไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรและหันมายิ้มต้อนรับอย่างชื่นมื่น
“โอ้ว! มาคัสมาแล้วเหรอ! เซนโรวหายไปไหนแล้ว”
“หมอนั่นบอกว่าไม่ว่าง ต้องหาที่ปลอดภัยใหม่สำหรับพวกสมุนที่เพิ่งรับเข้ามา เพราะที่เก่าโดนบุกจนพังยับไปแล้ว”
“งั้นเหรอ! หายากนะที่ลอร์ดระดับต่ำกว่าปฏิเสธคำเชิญของลอร์ดยศสูงกว่า”
“เข้าเรื่องเถอะ มีอะไรให้รับใช้ก็ว่ามา”
“น้ำเสียงไม่นุ่มนวลเลยนะ! มองเห็นไหม ชิพเตอร์ตรงนั้น” ยูโรเนสหัวเราะไม่ถือสาคนที่ปฏิเสธคำเชิญชวนของตน ชี้ไปจุดที่ไลท์กับเมซูลยืนอยู่ ดวงตาอันคมกริบราวนกเหยี่ยวของมาคัสเบิกกว้างโตและพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นคำตอบ
“หมอนั่นโคตรจะมีอนาคตเลย!”
“ถ้างั้นต้องรีบกำจัด..อย่าให้มีโอกาสได้ใช้เหรียญ” มาคัสสะบัดภาพคลุมสีขาวและทำทีจะมุ่งหน้าไปเก็บอีกฝ่าย แต่กลับถูกขัดขวางโดยกำแพงโปร่งแสงที่มองไม่เห็น ไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนเล็ดลอดออกไปด้านนอกได้
“อย่าใจร้อนสิ! ตรงกันข้ามเลยต่างหาก! เราต้องทำทุกวิถีทางให้เขาใช้เหรียญ”
“ว่าไงนะ” เมื่อได้ฟังคำพูดเบื้องหน้ามาคัสถึงกับทำหน้าคล้ายไม่เชื่อ ในหัวเต็มไปด้วยคำถามแต่รอให้อีกฝ่ายเป็นคนเปิดปากออกมาเองจะสะดวกซะกว่า
“โคตรน่าสนุกเลยล่ะ! ทั้งเซนโรว ทั้งหมอนั่น เหมือนโชคชะตาเลยเนอะว่าไหมมาคัส ทั้งที่อีกคนอยู่ดำอีกคนอยู่ขาวแท้ๆ แต่ทำไมชะตากรรมมันถึงได้ผูกโยงกันขนาดนี้! มาม่อนสรรหาคนมาเล่นละครได้เก่งจริงๆ ให้ตายเถอะ”
“กำลังพูดอะไรอยู่ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
“ตาของฉันมันบอกว่า ถ้าหมอนั่นกลายเป็นโบรกเกอร์ขึ้นมาจะต้องเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่แน่! อาจจะทั้งเกี่ยวข้องกับพวกเรา และพวกโบรกเกอร์ด้วยกันเองก็ได้ แต่ไม่ว่าจะฝั่งไหนมันก็น่าสนุกทั้งนั้น ตัวละครแบบเซนโรวมันไม่ได้เกิดขึ้นมาง่ายๆ นะ! เพิ่มมาอีกสักคนมันคงวิเศษสุดๆ ไปเลย”
“เหลวไหล! อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเรานะ ถ้าอีกฝ่ายในอนาคตจะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ สู้ดับไฟแต่ต้นลมซะยังจะดีกว่า”
“แหม ไม่ได้นะมาคัส” เสียงเย้าแหย่เช่นเคยถูกเอื้อนเอ่ยเอ่ย แต่เมื่อสายตาสีขาวโพลนหันมาสบตาเข้าร่างกายมันก็สั่นสะท้านและแข็งทื่อไม่ต่างจากหุ่นกระบอก มาคัสพยายามดิ้นร่างให้หลุดจากพันธนาการแต่ไร้ผล หันกลับไปมองก็พบว่ายูเรโนสเข้าประชิดจนแทบจะชนหน้าอยู่แล้ว ชายหนุ่มเหงื่อไหลหลั่งเป็นน้ำตกก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวบางอย่าง
“พูดจาเสียมารยาทใส่ฉันยังพออภัย แต่เรื่องไม่เชื่อฟังนี่ไม่ดีนะ ฉันไม่ชอบเด็กดื้อ”
“อึก”
“จะเชื่อฟังฉันไหมเอ่ย?”
“เชื่อ..”
“ดีมาก เด็กดี ถ้าอย่างนั้นห้ามฆ่าชิพเตอร์คนนั้น และบอกไม่ให้ลอร์ดคนอื่นเข้ามายุ่ง และก็รบกวนหนึ่งอย่าง ช่วยไปตามสมุนตั้งแต่เลเวลหนึ่งถึงหกมาให้ทีสิ เอาให้เยอะพอจะถล่มเมืองได้เลยนะ!”
“จะเอาไปทำอะไรเยอะแยะ! สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว”
“จุ๊ๆ ก็ถ้าเรื่องมันไม่มีความกดดันจะไปสนุกอะไร! ถ้าตัวละครมันไม่เจอกับสถานการณ์ที่บีบคั้นบ้าง เนื้อเรื่องมันจะไปต่อได้ไหม! จะเติบโตได้รึเปล่า? คำตอบคือไม่! ไม่มีใครอยากดูเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นหรอก ฉันจะเป็นผู้กำกับเอง! ฉันจะทำให้เรื่องมันสนุกที่สุด เร้าใจที่สุด เละมันส์ที่สุด!” ยูเรโนสแผ่วงแขนกว้างก่อนจะหมุนตัวไปทิศทางที่พวกไลท์อยู่ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มกว้างราวกับรอคอยเวลาเช่นนี้มาเนิ่นนานแค่ไหน
“ไลท์ ลินสตอร์ม”
มาสนุกกันดีกว่า บทสรุปของคุณ ฉันขอจับตาดูหน่อยเถอะ
สิ้นเสียงคำเอ่ยของหญิงสาว ใบธนบัตรจำนวนมหาศาลถูกดูดเข้าไปในบัตรสีดำที่อยู่ในมือก่อนที่เครื่องแบบของเธอจะส่องแสงจางๆ ออกมา เปลี่ยนกลายเป็นชุดไปรเวทธรรมดา ไลท์ที่ยังไม่หายอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แต่กะพริบตาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้สติหลังทบทวนคำพูดของเธอเมื่อสักครู่นี้
“ทำไมเธอถึงเรียกฉันว่าชิพเตอร์”
“เรื่องนั้นเอาไว้จะอธิบายให้ฟังทีหลังตอนนี้เราต้องหาที่ปลอดภัยก่อน”
“ที่ปลอดภัย? หมายความว่ายังไง”
“หมายความว่าถ้ายังไม่เปลี่ยนสถานที่พวกมันจะตามมาอีก อมนุษย์พวกนั้นไม่ได้มีแค่สองสามตัว แต่มีอีกนับไม่ถ้วน”
“นับไม่ถ้วน” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ไลท์ก็พลันรู้จักความรู้สึกที่เรียกว่า ‘ล้มทั้งยืน’ กับตัวเองเป็นครั้งแรก แถมคิดได้อีกว่า หากมีอมนุษย์สีดำอีกนับไม่ถ้วน มิเท่ากับมนุษยชาติกำลังนับถอยหลังรอวันเสื่อมสลายหรือ แต่พอเลื่อนไปมองที่เอวของหญิงสาวซึ่งมีเข็มขัดสีเงินคาดอยู่ก็นึกได้บางอย่าง
“ขอถามให้แน่ใจหน่อย คงไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนี้เป็นปีศาจที่กำลังหาทางยึดครองโลก และเธอเป็นผู้ถูกเลือกให้ออกมาเป็นผู้กอบกู้โลก ส่วนฉันเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยโลก พวกมันเลยตามล่าฉันใช่ไหม?”
“...”
“ถูกงั้นเรอะ!”
“เปล่า ฉันกำลังช็อกนิดหน่อยที่นายมโนเรื่องออกมาได้เป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ จริงๆ แล้วไม่ใช่” หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะชูบัตรสีดำขึ้นฟ้า
“แท็กซี่”
[Taxi Arrivedแท็กซี่มาถึงแล้ว)] เสียงสังเคราะห์ดังขึ้นก่อนที่จะมีรถแท็กซี่สีดำวิ่งมาจอดเทียบข้างถนนตรงหน้าของทั้งคู่อย่างพอดิบพอดี ประตูเปิดอ้ารับให้ผู้โดยสารได้เข้าไปนั่งอัตโนมัติ หญิงสาวผมบลอนด์เงินเคลื่อนร่างเข้าไปนั่งก่อนจะกวักมือส่งสัญญาณให้ไลท์ขึ้นไปบนรถ
พอชายหนุ่มเดินขึ้นไปนั่งเคียงข้างหญิงสาว เสียงของคนขับก็ดังขึ้นอย่างนุ่มนวลว่า
“วันนี้ต้องการไปที่ไหนดีครับ ท่านหญิง”
“โรงแรมห้าดาวที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่แถวนี้”
“รับทราบแล้วขอรับ ค่าโดยสารสองพันเหรียญ”
“เช็ค”
[Payout Complete (ชำระเสร็จสิ้น)]
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มก่อนจะแล่นฉิวออกไปอย่างรวดเร็ว ไลท์รีบคาดเข็มขัดอย่างรวดเร็วแต่ก็เหมือนว่าจะไม่จำเป็น เพราะแท็กซี่คันนี้ขับแซงรถทุกคันแม้ภายนอกจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงแต่ภายในรถกลับรู้สึกนิ่งสงบและนั่งสบายอย่างมาก
“ว่าแต่เธอชื่อเมซูลใช่ไหม?” ไลท์เอ่ยถามเพราะเขาแอบได้ยินตอนที่เธอยกโทรศัพท์ขึ้นพูด
“ใช่ ที่จริงนายควรจำฉันได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบด้วยซ้ำนะ เพราะพวกเราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แถมเรียนวิชาเดียวกันหลายคาบด้วย”
“หา!?” ไลท์ถึงกับเลิกคิ้วอย่างแรงหนึ่งที เรื่องความสัมพันธ์กับผู้คนในมหาวิทยาลัยของเขานั้นติดลบโดยสิ้นเชิง แต่ก็นั่นเป็นคำตอบว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาหญิงสาวคนนี้นัก
ไลท์เปิดมือถือถามแซมเพื่อนรัก หากว่าเขาเป็นคนมนุษยสัมพันธ์บกพร่องในรั้วมหาลัย มหาเทพอย่างแซมที่มีเครือข่ายคนรู้จักมากนักพันๆ คนก็ว่าได้ แถมมีนิสัยชอบเก็บข้อมูลผู้หญิงเขาเลยถามเกี่ยวกับเมซูลว่ามีโพรไฟล์อย่างไร
สรุปคือ เมซูลเป็นสาวสวยลำดับต้นๆ ของการจัดลำดับสาวงามของมหาลัยพวกเขา มีฐานะค่อนข้างร่ำรวยแถมดูแลธุรกิจส่วนตัว ประกอบกับบุคลิกส่วนตัวที่เคร่งขรึมและหยิ่งนิดๆ ทำให้เป็นที่หมายปองของชายทั่วมหาลัยที่แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา ข้อมูลนี้รู้กันไปทั่ว เลยมิวายดูแซมเหน็บแหนมแบบขำๆ นิดหน่อย เพราะไลท์ที่ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องอื่นนอกจากครอบครัวและงานเลย
สุดท้ายแท็กซี่ก็เคลื่อนเข้ามาจอดยังโรงแรมสุดหรูแห่งหนึ่ง ไลท์ลงจากรถพร้อมผิวปากเมื่อเห็นความใหญ่โตและสูงสง่าของตึกสูงชัน เขาเคยเห็นภาพของโรงแรมแห่งนี้จากนิตยสารที่น้องสาวพกมาอ่านในห้องครัว ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้มาเหยียบกายที่นี่
“ว่าแต่เธอพาฉันมาทำอะไรที่โรงแรม”
“ก็พักกันน่ะสิ”
“หา!”
“มาโรงแรมก็ต้องพักกันน่ะสิ รีบขึ้นไปในห้องของเราได้แล้ว เมื่อกี้ฉันจองห้องไว้แล้ว จะได้เริ่มเข้าประเด็นกันสักที”
“ดะ เดี๋ยวก่อนนะ ของเรางั้นเหรอ หมายความว่าฉันกับเธอนอนห้องเดียวกันงั้นเรอะ! จะบ้ารึไง ชายหญิงสองคนนอนห้องเดียวกัน พวกเราสองคนแค่คนรู้จักยังไม่ใช่เลยมั้ง!” ไลท์ส่งเสียงโวยวายออกไปแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาเหยียดหยามเต็มที่ ดวงตาสองสีจดจ้องมาที่เขาคล้ายกับกำลังทะลุร่างผ่านไปทำให้ชายหนุ่มเหงื่อไหลเป็นน้ำตก
“อย่าคิดอะไรทะลึ่ง ถ้าไม่มีธุระสำคัญอย่าหวังว่าชั่วชีวิตนี้ฉันจะเหลียวมองนาย”
“อะ..อึก” ไลท์กลืนน้ำลายลงคอเฮือกโต
“ไปกันได้แล้ว” เมซูลเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ ไลท์ผงกศีรษะเดินตามหญิงสาวต้อยๆ อย่างสงบเสงียบจนกระทั่งเข้ามายังห้องแห่งหนึ่ง เป็นห้องที่มีขนาดกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหรูหรา ชนิดที่ชายหนุ่มได้แต่ฝันที่จะสัมผัส
ในระหว่างที่ไลท์กำลังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมซูลเดินไปนั่งลงบนโซฟาสีแดงก่อนจะเอ่ยเข้าประเด็นขึ้น
“นายได้รับจดหมายตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“จดหมาย? หมายถึงจดหมายประหลาดที่มาจากคนที่ชื่อมาม่อนรึเปล่า”
“ใช่แล้ว”
“ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีมันก็มาอยู่ในลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานของฉัน”
“ในจดหมายจะมีข้อความที่เขียนเอาไว้ว่า [นับถอยหลัง ข้อเสนอจะมีอายุเหลือเพียง] นายจำได้รึเปล่าว่าเหลืออีกกี่วัน”
“เอ่อ..ประมาณสี่หรือห้าวันล่ะมั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นในหนึ่งถึงสองวันมานี้คงมีเหตุการณ์ที่ทำให้สติของนายไม่สมบูรณ์และนายก็ได้รับจดหมายมาช่วงนั้น ลองนึกดูดีๆ และตอบฉันมา ใช่หรือไม่?”
“เอ่อ..” ไลท์หยุดนึกชั่วขณะ
สองวันก่อนไม่ได้มีพาร์ทไทม์และแซมบอกว่าจะพาไปดื่ม นานๆ ทีจะมีเวลาว่างตรงกันเลยไปดื่มเป็นเพื่อน พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นมาที่ห้องของตนเองแล้ว เมื่อนึกได้เช่นนี้ไลท์ก็พยักหน้าให้เมซูลได้รับรู้
“ทุกอย่างเกิดขึ้นจากจดหมายฉบับนั้น”
“ก็คิดไว้อยู่..”
“ถึงนายจะดูเปิ่นๆ แต่ฉันไปหาข้อมูลมาแล้วว่านายเป็นคนฉลาด เพราะฉะนั้นฉันจะอธิบายให้รวดเร็วและกระชับที่สุด”
“อืม” ไลท์ผงกศีรษะให้หญิงสาวเบาๆ ก่อนจะเคลื่อนร่างมานั่งตรงที่นั่งตรงกันข้ามหน้าโซฟาที่เมซูลนั่งอยู่
“ตอนนี้นายอยู่ในสถานะที่เรียกว่า[ชิพเตอร์] ส่วนฉันคือ[โบรกเกอร์] และปีศาจที่ไล่ตามนายจนถึงเมื่อกี้เรียกว่า[กรีด]”
“อืม”
“ผู้ที่ได้รับข้อเสนอจากมาม่อนจะมีสิ่งที่เรียกว่า[เหรียญตราอสูร] ติดตามมาและจะกลายเป็นผู้ใช้เหรียญหรือ[ชิพเตอร์] นายคงคิดว่าฉันกำลังพูดอะไรอยู่ใช่ไหม ที่จริงเรื่องมันจะไม่ซับซ้อนเลยถ้านายอ่านจดหมายจนครบ”
“อะ..ครับ” ไลท์แทบน้ำตานองหน้าแล้ว เพราะเขาเป็นคนขยำมันทิ้งกับมือเอง แต่ก็โทษเขาไม่ได้เพราะในตอนนั้นไม่คิดว่าเป็นจดหมายกลั่นแกล้งก็สิบแปดมงกุฎแล้ว
“ชิพเตอร์จะสามารถใช้เหรียญตราอสูรเปิดทางไปหามาม่อนได้ และสามารถทำความปรารถนาให้เป็นจริงได้หนึ่งอย่าง ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็สามารถทำได้หมดโดยการเอาชะตากรรมที่มีเครดิตเพียงพอไปค้ำประกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามก็สามารถทำให้เป็นจริงได้หมด”
“นี่มันเหมือนกับข้อความในจดหมายประหลาดนั่นเลย..”
“ใช่ แล้วหากใช้เหรียญตราอสูรและทำการแลกเปลี่ยนกับมาม่อนสำเร็จ ตัวนายก็จะไม่ต่างจากฉันในตอนนี้” เมซูลลุกขึ้นกล่าว ยื่นบัตรสีดำขึ้นมาและสะบัดมันเบาๆ ร่างกายของเธอพลันเปล่งแสงสีดำก่อนที่เครื่องแต่งกายจะกลับไปเหมือนตอนที่เขาพบเธอตอนสู้กับอมนุษย์สีดำ และในมือก็ยังคงถือดาบเรเพียร์เล่มงามไว้ด้วย
“โบรกเกอร์คือตัวตนหลังจากใช้เหรียญทำความปรารถนาให้เป็นจริงได้แล้ว พวกฉันต้องต่อสู้กับกรีดเพื่อหาเงินส่งให้มาม่อนทุกเดือนสำหรับการไถ่ชะตากรรมของตัวเองคืน”
“ไถ่ชะตากรรมคืน?”
“มันก็เหมือนตอนเอาของไปมัดจำ เราต้องการเงินแต่ไม่มีโรงจำนำไหนให้เงินให้เราง่ายๆ ต้องมีอะไรบางอย่างไปค้ำประกันไว้ ในที่นี้คือชะตากรรมของเรา มันคืออนาคต สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า อาจจะฟังดูคลุมเครือสักหน่อย แต่มันคือสิ่งที่สำคัญมากกว่าชีวิตซะอีก”
“หมายความว่าไง มีอะไรสำคัญกว่าชีวิตอีกงั้นเหรอ?”
“นายมีครอบครัวใช่ไหม”
“....”
“ครอบครัวก็ถูกมัดรวมอยู่ในชะตากรรมของนายเหมือนกัน ทุกคนที่เกี่ยวข้อง สายสัมพันธ์ทุกอย่าง เพื่อน คนรัก ครอบครัว คนรู้จัก คนในที่ทำงาน ทุกคนที่เคยผ่านมาในชีวิตของนายจะผูกติดชะตากรรมกับนายไปด้วย”
“...”
“ฉันจะสรุปสั้นๆ ให้ฟัง เมื่อนายใช้เหรียญเพื่อทำความปรารถนาให้เป็นจริง นายจะแบกรับหนี้สินมหาศาลที่เรียกว่ายิ่งกว่าถูกขูดรีด และสกุลเงินที่ใช้ส่งแต่ละงวดก็ไม่ใช่สกุลเงินปกติ มันหาได้จากการล่าปีศาจที่ชื่อกรีดเท่านั้น และหากส่งไม่ครบต่อเนื่องสามเดือนความปรารถนาจะถูกถอนเป็นโมฆะ แล้วถ้านานเกินกว่านั้นชะตากรรมของนายจะอยู่ในอันตราย”
“ยังไง..”
“ชีวิตจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ยกตัวอย่างก็ คนในบ้านตกงาน ป่วยเป็นโรคร้าย เจออุบัติเหตุจนพิการ เจอปัญหาชีวิตเยอะแยะเต็มไปหมด หรืออย่างร้ายแรงคือทุกคนที่นายรู้จักล้มตายหายจากกันไปหมด มีโบรกเกอร์หน้าใหม่กว่าครึ่งหนึ่งที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ และถึงจะไม่เหลืออะไรแล้ว นายก็ต้องต่อสู้กับกรีดอย่างไม่จบไม่สิ้นจนกว่าจะชำระเงินครบทุกเหรียญ”
“......”
“ฟังดูอาจไม่เชื่อแต่นายก็ได้เห็นกับตาแล้ว ทั้งกรีดทั้งฉันต้องต่อสู้กันแบบแลกชีวิต ทั้งหมดไม่ใช่เพื่อปกป้องนายแต่เพื่อตัวฉันเองด้วย ถ้าหากฉันไม่สู้ความปรารถนาของฉันก็จะโดนริบคืนไปเหมือนกัน และก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสู้ได้แบบฉัน..คนที่ตายจากการโดนกรีดฆ่า มีมากกว่าแสนคนต่อปี”
“เรื่องจริงเหรอ?” ไลท์ทวนถาม เธอพยักหน้าเบาๆ ให้เขาหนึ่งทีเป็นการตอบรับ
“เอาชะตากรรมเป็นเดิมพันเพื่อทำให้ความปรารถนาเป็นจริง จะว่าไงดีล่ะ รู้สึกน่ากลัวพิกลๆ แล้วอย่างนี้ฉันจะต้องทำยังไงต่อ”
“ขึ้นอยู่การตัดสินใจของนาย นายจะใช้เหรียญเพื่อทำความปรารถนาของตัวเองให้เป็นจริงแล้วต่อสู้กับกรีดจนกว่าจะไถ่ชะตากรรมได้ หรือจะปล่อยผ่านไปจนกว่าจะครบเจ็ดวัน ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ”
“ฉันไม่ใช้เหรียญอะไรนั่นแน่! เอาอนาคตของตัวเองและคนอื่นไปเกี่ยวข้องกับบ้าอะไรก็ไม่รู้ ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
“คิดแบบนั้นได้ก็ดีแล้ว นายจะได้เป็นแสงล่อแมลงของฉันไปเรื่อยๆ”
“แสงล่อแมลง? หมายความว่ายังไง” ไลท์กล่าวถามเหมือนอ่อนใจ ทำไมรู้สึกเหมือนกับว่าเขากลายเป็นสิ่งของไปแล้ว
“กรีด ไม่ใช่แค่อยากจะหาก็หาเจอ มันเหมือนสัตว์ที่มีเวลาพักผ่อนและมีเวลาออกล่า มีวิธีการเดียวที่จะดึงดูดกรีดมาได้เยอะๆ ก็คือนาย” เมซูลเอ่ยและชี้นิ้วไปที่ไลท์
“ชิพเตอร์คือตัวดึงดูดกรีด พวกมันต้องการพลังที่สถิตอยู่ในเหรียญเพื่อไปเพิ่มพูนพลังอำนาจให้ตัวเอง มันจะตามกลิ่นนายไปทุกที่จนกว่าจะได้เหรียญไปครอง โบรกเกอร์ส่วนมากจะหาชิพเตอร์ให้เจอและใช้เป็นแสงล่อแมลง เพราะมันประหยัดเวลาและไม่ค่อยเจอตัวเก่งๆ”
“หึ..หึหึ ฮ่าๆๆๆ” เมื่อเมซูลพูดจบประโยคไลท์ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมา เธอหรี่ตามองออกไปอย่างสายตาเคลือบแคลงใจก่อนจะถามออกไปด้วยความสงสัยว่า
“ขำอะไร?”
“เหรียญอะไรนั่นพวกมันไม่น่าต้องการหรอกมั้ง ก็ฉันโยนให้มันแต่พวกมันฟันทิ้งไปเองเลยนี่นา”
“.....” เมซูลมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดมันไม่ใช่เรื่องตลก นั่นทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดีอีกครั้ง
“นายสังเกตดูที่กระเป๋าหรือสัมภาระของนายให้ดีๆ สิ” สิ้นเสียงจบประโยคไลท์รีบค้นทั่วทั้งตัวก่อนจะไปรื้อในกระเป๋าต่อด้วยท่าทีอันร้อนรน จู่ๆ ก็แน่นหน้าอกขึ้นมาจนกระทั่งพบเจอกับวัตถุสิ่งหนึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง พลันให้หัวใจของเขาหล่นวูบดำดิ่งยิ่งกว่าก้นบึ้งของมหาสมุทร
เพราะเขาจำได้ว่าปามันออกไปแล้วและมันถูกฟันเป็นสองซีกกับตา
“เหรียญตราอสูรจะหมดอำนาจภายในเจ็ดวัน ในระหว่างนี้มันจะไม่อยู่ห่างากเจ้าของเป็นอันขาด ทางเดียวที่จะเอาเหรียญออกไปได้คือการฆ่าเจ้าของให้ตายเท่านั้น นายจะถูกฝูงอมนุษย์ไล่ฆ่าไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะได้สิ่งที่ต้องการ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ...”
ยินดีต้อนรับสู่MoneyMonster