Chapter 4 : ผู้หลบหนี
ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องให้ความสว่าง
ร่างร่างหนึ่งกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งคล้ายกับหลบหนีอะไรบางอย่างมาตามตรอกซอยเล็ก ๆ บนถนนที่เปลี่ยวผู้คน เจ้าของร่างคงจะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เร็วกว่านี้ถ้าไม่มีอาการบาดเจ็บที่บริเวณกลางลำตัว ของเหลวสีแดงกำลังไหลออกมาจากบริเวณท้องอย่างต่อเนื่อง แต่ใบหน้านิ่งเรียบของชายหนุ่มที่วิ่งหนีกลับไม่แสดงสีหน้าอาการอะไรที่บ่งบอกถึงความเจ็บออกมาเลยสักนิด เจ้าตัวยังคงพยุงร่างของตัวเองให้หนีไปจากสถานการณ์นี้ให้ได้
เงาดำมืดพุ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ก่อนจะมีร่างของเด็กชายคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเขา เด็กชายคนนั้นดวงตาเป็นสีแดงเลือดหมู เส้นผมเป็นสีทองกำลังปลิวไสวตามแรงลม พร้อมกับเขาแพะที่อยู่บนหัวทั้งสองข้าง ใบหน้าเหมือนเด็กอายุ 12 ขวบฉีกยิ้มกว้างเมื่อเจอของเล่นของตัวเองที่หนีมา
“จะไปไหน ... พี่ชาย”
อัก !
ร่างของชายหนุ่มที่บาดเจ็บล้มลงไปกองกับพื้นทันทีที่เด็กชายพูดจบ เข่าของเขากระแทกลงไปบนพื้นเหมือนถูกสั่งให้คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเด็กชายตัวน้อย ร่างกายแทบสิ้นเรี่ยวแรงเมื่อตกอยู่ในเวทมนตร์สนามแรงโน้มถ่วงมหาศาลขนาดนี้ เขาไม่สามารถแม้แต่จะขยับร่างกายไปไหนได้เลย
“ทำดีมาก Aries [แอรีส]”
เสียงทุ้มห้าวหนึ่งดังเพิ่มขึ้นมา ก่อนจะมีร่างร่างหนึ่งกระโดดลงมาจากมุมหนึ่งด้านบนของอาคารบ้านเรือนบริเวณนั้น เจ้าตัวลงมายืนอยู่ข้างกายเด็กชายตัวน้อยพร้อมกับมือหนาที่ลูบลงไปบนเส้นผมสีทองอย่างเอ็นดู ผู้มาใหม่อยู่ในชุดยูกาตะสีดำสนิท ในมือข้างขวามีดาบซามูไรถืออยู่ บริเวณปลายคมของดาบยังคงอาบไปด้วยเลือดของใครบางคนซึ่งก็น่าจะเป็นคนที่กำลังจนมุมอยู่ ณ ตอนนี้ ใบหน้าของชายในชุดยูกาตะแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับปลายดาบซามูไรที่คมกริบค่อย ๆ มีออร่าสีแดงออกมาเนื่องจากพลังเวทมนตร์ เขากำลังจะปลิดชีพคนที่อยู่ตรงหน้า
“กุญแจของนาย ฉันขอนะ”
ทันทีที่พูดจบ ร่างของชายในชุดยูกาตะก็พุ่งตัวเข้าไปหาชายที่บาดเจ็บทันทีอย่างรวดเร็ว หมายจะตัดคอให้ขาดสะบั้น แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
บึ้ม !
แรงระเบิดที่กระทบลงบนพื้นถนนบริเวณนั้นทำให้เกิดเป็นรอยแตกขนาดใหญ่ พื้นถนนแยกออกมาเป็นทางยาว ควันสีขาวจากการระเบิดคลุ้งไปทั่วบริเวณ หลังจากควันสีขาวนั้นเริ่มจากหายไป ก็ปรากฏให้เห็นเป็นธนูเหล็กดอกใหญ่ที่ปักคาอยู่บนพื้น ชายที่ได้รับบาดเจ็บได้หายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเด็กน้อยผมสีทองกับชายในชุดยูกาตะที่กำหมัดแน่นด้วยความหงุดหงิดปนโมโห เพราะมีคนมาขัดขวางการฆ่าของเขาไว้ได้ทัน
“พลาดอีกแล้วซิ ฮิโรชิ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้มาใหม่จากมุมมืด เจ้าของร่างเป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับชายในชุดยูกาตะ ดวงตาเล็กเรียวมองพันธมิตรของตัวเองอย่างขำ ๆ แล้วเข้าไปตบบ่าเบา ๆ คล้ายกับว่าปลอบใจไม่ให้หงุดหงิด
“นายเองก็พลาดเหมือนกันไม่ใช่หรือไงเฉิน อย่ามาว่าแต่ฉัน” ชายในชุดยูกาตะนามว่าฮิโรชิพูดขึ้น
“หึ หมอนั่นมันหนีเก่ง ฉันเองก็หวังว่านิโคลจะไล่จับหมอนั่นได้ทัน”
สองหนุ่มไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ไม่นานร่างของทั้งสองคนรวมถึงเด็กชายผมสีทองที่มีเขาแพะอยู่บนหัวก็ค่อย ๆ กลืนหายไปกับความมืด ตามมาด้วยแสงไฟที่สาดส่องลงมาจากเครื่องบินลำเล็กหลายสิบลำจากบนอากาศ ซึ่งเป็นของผู้รักษากฎหมายภายในเมืองที่เข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์และความเสียหายที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีการแจ้งว่าพบเหตุการณ์ระเบิดขึ้นมาบนถนนสายเปลี่ยวแห่งนี้
อีกมุมหนึ่งที่ห่างออกมาพอสมควร
ร่างของชายผู้บาดเจ็บตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนหลังของม้าที่กำลังเคลื่อนตัวเลาะไปทางริมฝั่งของแม่น้ำใจกลางเมือง แต่ม้าตัวนั้นไม่ได้เป็นม้าทั้งตัว มีเพียงช่วงล่างเท่านั้นที่เป็นม้า ลำตัวช่วงบนทั้งหมดกลับเป็นร่างของมนุษย์ผู้ชายที่แสนสง่างาม โดยบนมือขวากำลังถือด้ามธนูสีทองอันใหญ่อยู่ ถ้าคนภายนอกมองมาบริเวณนี้คงแตกตื่นหน้าดูที่เห็นสิ่งมีชีวิตแบบนั้นใจกลางเมือง แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นกลางดึกแล้ว เมืองทั้งเมืองจึงเงียบสนิท ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีและความเป็นอยู่ในสมัยนี้จะเจริญก้าวหน้าขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ยังมีกฎหมายคอยกำหนดช่วงเวลาในการทำกิจกรรมและสถานบันเทิง เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนผู้อื่นเป็นอย่างดี
“ขอบใจนะ Sagittarius [ซาจิททาเรียส] เมื่อกี้เกือบไม่ทัน ถ้านายช้ากว่านี้อีกวินาทีเดียว หัวฉันคงขาดเพราะดาบซามูไรหมอนั่นแน่ ๆ” ชายที่บาดเจ็บพูดกับร่างครึ่งม้าที่กำลังช่วยเหลือเขาอยู่
“ไม่เป็นไร นายยังไหวใช่ไหม มินจุน” เซนทอร์หนุ่มตอบกลับมา พร้อมกับถามอาการผู้ถือครองกุญแจของตัวเอง
“ไหวอยู่ แต่เจ็บแผลชะมัด” เขาตอบ
ขณะที่เสียงกีบเท้าของซาจิททาเรียสกำลังควบวิ่งไปเรื่อย ๆ ด้วยความเร็ว เลาะผ่านแม่น้ำสายหลักที่ผ่านเมืองเพื่อหลบหนี ความเร็วในการวิ่งก็เริ่มชะลอช้าลงเรื่อย ๆ เมื่อเห็นเงาของใครบางคนที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า บริเวณนั้นมีหมอกสีขาวปกคลุมจนแทบจะมองไม่เห็นทัศนียภาพของพื้นที่รอบ ๆ
“ฉันว่าเราเจอปัญหาอีกแล้ว” ซาจิททาเรียสพูดขึ้นมากับเจ้านายของตนเอง มินจุนฟังแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อไรเขาจะหลุดพ้นจากคนพวกนี้เสียที
แต่ยังไงก็ตาม เขาต้องรอดผ่านคืนนี้ไปให้ได้
ในที่สุดกีบเท้าทั้งสี่ของซาจิททาเรียสก็หยุดลงเมื่อตอนนี้หมอกสีขาวได้ปกคลุมพวกเขาจนแทบมองไม่เห็นอะไร ขืนวิ่งออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า เจ้านายของเขาคงได้ถูกฆ่าตายเอาง่าย ๆ แน่
“สวัสดีตอนดึก ๆ หนุ่ม ๆ”
ร่างที่ปรากฏขึ้นมาเป็นร่างของหญิงสาวผมสั้นหุ่นดีคนหนึ่ง เรียวขาสวยค่อย ๆ ก้าวผ่านกลุ่มหมอกเข้ามายืนตรงหน้ามินจุนและซาจิททาเรียส ก่อนหมอกสีขาวเหล่านั้นจะค่อย ๆ จางหายไป ข้างกายของเธอมีหญิงสาวอีกคนยืนอยู่
ไม่ซิ ...
นั่นมันหญิงสาวสองคนต่างหาก หนึ่งร่างแต่มีถึงสองหัว หัวหนึ่งเมื่อพูดอะไรออกมาคนได้ยินก็จะยอมทำตามคำสั่งทุกอย่างโดยไม่มีการขัดขืน ส่วนอีกหัวกำลังหลับตาอยู่ หากใครได้มองตาเข้าไปร่างกายจะกลายเป็นหิน
ภูติแห่งดวงดาวที่มีนามว่า Gemini [เจมิไน]
“ตามมาดักฉันจนได้นะนิโคล เสียแรงที่ฉันไว้ใจเธอ”
“นายก็รู้อยู่แล้วมินจุน เพื่อกุญแจดอกที่ 13 นายจะเชื่อใจใครไม่ได้ นายพลาดเองที่มีกุญแจถึงสองดอกในตอนนี้ และฉันต้องการมัน” ผู้หญิงที่ชื่อนิโคลพูดขึ้นมา
ทันทีที่นิโคลพูดจบ ไอความเย็นก็ค่อย ๆ แผ่ขึ้นมารอบตัวเธอ พื้นที่บริเวณนั้นอุณหภูมิลดลงต่ำจนหายใจออกมาทางปากเป็นควัน ไม่นานอากาศบริเวณรอบ ๆ ก็เริ่มจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งก่อนมันจะค่อย ๆ รวมตัวกันกลายเป็นหอกน้ำแข็งแหลมคมนับสิบอันที่พุ่งเข้ามาใส่ทั้งซาจิททาเรียสและมินจุน
มินจุนรีบกระโดดลงจากหลังซาจิททาเรียสโดยเร็วก่อนใช้บาเรียกางโล่ป้องกันให้กับตัวเอง โดยมีซาจิททาเรียสช่วยยิงธนูทำลายหอกน้ำแข็งเหล่านั้นที่พุ่งเข้ามาไม่หยุด พร้อมกับร่างของนิโคลและเจมิไนที่ขยับเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ หัวของเจมิไนหัวที่สองเริ่มลืมตาขึ้นมา ดวงตาสีเขียวมีเสน่ห์จ้องมาหามินจุนเป็นแสงเขียวสว่างจ้า แต่เขาหลับตาได้ทันเวลาพอดี แต่นั่นก็แลกไปกับการที่มีหอกน้ำแข็งพุ่งเข้ามาแทงที่บริเวณขาข้างขวาของเขาจนปลายหอกน้ำแข็งเสียบคาอยู่
“มินจุน ฉันจะถ่วงเวลาให้ นายหลับตาวิ่งไปทางสามนาฬิกา” ซาจิทาเรียสพูดอย่างรวดเร็ว ลูกธนูนับสิบดอกถูกหยิบขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะเกิดแสงสีทองขึ้นมาที่ลูกธนูแต่ละดอก ทันทีที่ซาจิททาเรียสง้างธนูยิงออกไปก็เกิดแสงสว่างจ้าแสบตาขึ้นมา
เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากหัวหนึ่งของเจมิไนที่ลืมตาอยู่ ลูกธนูดอกหนึ่งปักเข้าไปที่ดวงตาสีเขียวมรกตข้างขวาของหัวเจมิไนหัวนั้น ก่อนมือข้างหนึ่งจะรีบดึงลูกธนูที่ปักออกมาด้วยความโกรธแค้น
“มินจุนเร็ว ! จังหวะนี้แหละ นายรีบกระโดดลงน้ำแล้วให้ Pisces [ไพส์ซีส] ช่วยซะ ไปเจอกันที่เมืองที่เรานัดไว้ ตราบใดที่นายยังไม่ตาย นายก็ยังคงเป็นเจ้านายฉัน ไม่ต้องห่วงฉัน เพราะฉันเป็นอมตะ พรุ่งนี้ฉันก็หายแล้ว” ซาจิททาเรียสตะโกนบอกมินจุน ตอนนี้ร่างของเขาขยับไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ขาทั้งสี่ข้างค่อย ๆ กลายเป็นหินอย่างช้า ๆ ไล่ขึ้นมาจากทางด้านล่าง จนในที่สุดทั้งตัวก็กลายเป็นหิน
มินจุนเหลือบมองร่างของซาจิททาเรียสที่ตอนนี้กลายเป็นหิน ยืนเป็นหุ่นแน่นิ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่เขาก็ตัดสินใจลากสังขารตัวเองที่ตอนนี้บาดเจ็บสาหัสหลังจากผ่านการต่อสู้มาหลายรอบออกมาจากบริเวณนั้น ร่างของเขามาถึงริมที่กั้นระหว่างพื้นและแม่น้ำที่ไหลนิ่ง ๆ อยู่ด้านล่าง กุญแจดอกสีทองดอกหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนเขาจะเรียกใครบางคนแล้วกระโดดลงแม่น้ำไป ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความหงุดหงิดของนิโคลที่เห็นเขาหนีรอดไปได้
ตู้ม !
เสียงร่างของมินจุนกระทบกับพื้นน้ำก่อนจมหายไป นิโคลและเจมิไนเดินมามองร่างของมินจุนที่หายลงไปในน้ำอย่างเจ็บใจ ทิ้งไว้แต่เพียงคลื่นน้ำอ่อน ๆ ก่อนทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง
หมอนั่นหนีรอดไปได้อีกแล้ว ...
มินจุนรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บริเวณมุมอับสายตาแถวย่านกลางเมือง เขาไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่ที่ไหน แต่คิดว่าน่าจะปลอดภัยจากการตามล่าของคนพวกนั้นแล้ว เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน มินจุนรู้สึกหนาวขึ้นมาเหมือนจะมีไข้สูง ภูติดวงดาวของเขาคงพาเขาเดินทางมาทางแม่น้ำแน่ ๆ ประกอบกับการเสียเลือดไปมาก มันทำให้เขาไม่อยากขยับตัวไปไหนเลย
เอ๊ะ ... อะไรนิ่ม ๆ ทำไมเขารู้สึกเหมือนนอนอยู่บนหมอนเลย พร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาบริเวณท้องคืออะไร
และแล้วมินจุนก็พบว่าตอนนี้เขากำลังนอนตักภูติดวงดาวไพส์ซีสอยู่ ใบหน้าสวยพร้อมกับผมสีฟ้าก้มหน้ามองมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน ขณะที่มีหญิงสาวอีกคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการกำลังเอามือลูบไล้บริเวณหน้าท้องของเขาอยู่ แถมตอนนี้กำลังซุกตัวขึ้นมาอยู่บนตัวเขา
นะ ... นี่มันอะไร
“ซะ ซังมี ซังซู พวกเธอทำอะไร”
“พวกฉันกำลังจะให้ความอบอุ่นนายไง” ซังซูที่ขึ้นมานอนทับบนร่างเขาพูดขึ้น นิ้วชี้ของเธอวนไปวนมาบริเวณหน้าอกเปลือยเปล่า ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าเสื้อของเขาหายไปตั้งแต่ตอนไหน
“ฉันบาดเจ็บอยู่นะ ไม่มีเวลาเล่น ไปหาคนมาช่วยที พวกเธออยากให้ฉันตายหรือไง” มินจุนพูดขึ้นมา เขาแทบจะไม่มีแรงจะพูดแล้วนะ สติเริ่มรางเลือนอีกแล้ว หนาวเหลือเกิน เลือดก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด
“ฉันไปหามาแล้ว เขากำลังเดินตามมาน่ะ นายนี่ใจร้อนเหลือเกิน” ซังมีพูดก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างขำขัน
เจ้าของใบหน้าที่ให้เขานอนตักโน้มตัวลงมาหอมแก้มเขาอย่างรวดเร็ว จนเขาอดหน้าแดงไม่ได้
“พะ ... พอเลย ฉันไม่อยากให้พวกเธอออกมานอกกุญแจก็เพราะแบบนี้แหละ” มินจุนพูด
ภูติดวงดาวบ้าอะไร ชอบลวนลามเจ้านายตัวเอง ...
“นายนี่มันน่ารักชะมัด สงสัยจะมาแล้ว พวกเราคงต้องหายไปก่อน” ซังมีพูดประโยคแรกกับมินจุน ส่วนประโยคถัดมาพูดเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ และแล้วสองภูติแห่งดวงดาวฝาแฝดไพส์ซีสก็กลายเป็นดวงไฟสีฟ้าน้ำทะเลก่อนหายเข้าอยู่ในกุญแจที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของมินจุน
สติของมินจุนค่อย ๆ หายไปอีกครั้ง เขาเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของใครบางคนกำลังเข้ามาพยุงตัวของเขาเอาไว้ เขาพยายามมองหน้าคนที่เรียก แต่ดูเหมือนพิษไข้พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดทำให้เขาไม่อาจฝืนตัวเองได้อีกต่อไป ไม่ช้าเปลือกตาของมินจุนก็ค่อย ๆ ปิดลง ปากที่จะพยายามอ้าปากพูดต่อก็ไม่มีแรงไปดื้อ ๆ
“อะ ... อย่าส่งผมไปโรงพยาบาล ...”
“เฮ้ย ! คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เสียงพูดคุยดังงุ้งงิ้งยังคงเล็ดลอดออกมาอย่างต่อเนื่องจากกุญแจจักรราศีที่ผมวางเอาไว้บนโต๊ะหนังสือ นี่ก็ปาไปเกือบตีสองกว่าแล้ว ไอ้สิงโตเผือกนั่นยังไม่หยุดพูดเลย แถมยังร้องโวยวายว่าจะออกมาข้างนอกให้ได้ ผมนี่แบบอยากจะบ้าตาย ตอนนี้ผมกำลังอ่านบทความงานวิจัยทางการแพทย์เพื่อทำงานวิจัยใหม่ให้กับบริษัทอาหารแห่งหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่มีสมาธิเลยแฮะ เพราะไอ้สิงโตเผือกจอมป่วนที่ยังคงพูดกวนไม่หยุด
“ไอ้หนู ฉันอยู่ในนี้มา 48 ชั่วโมงแล้วนะ ปล่อยฉันออกไป !” ลีโอโวยวายขึ้นมา
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้ชื่อไอ้หนู” ผมตอบกลับไปอย่างเรียบ ๆ อย่างผู้เหนือกว่า สองวันที่ผ่านมาถ้ามองในแง่ดีผมก็ได้เพื่อนคุยไปในตัว แต่ถ้ามองในแง่ร้าย คือได้มลพิษทางเสียงตลอดเวลา
“เออ ๆ เรียกมินก็ได้ นายช่วยปล่อยฉันออกไปหน่อยมิน”
“วินโว้ย ! ไม่ใช่มิน” ผมพูดออกไป รู้สึกหัวร้อนตลอดเวลาที่อยู่กับไอ้สิงโตเผือกนี่
ภูติดวงดาวบ้าอะไร ไม่สนใจ จำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของเจ้านายตัวเอง
“ถ้านายสงบปากสงบคำ นิสัยดีขึ้น เรียกชื่อฉันถูกเมื่อไรค่อยออกมาละกัน” ผมพูดออกไปก่อนหยิบกุญแจจักรราศีของตัวเองขึ้นมาแล้วเดินนำไปเก็บไว้ในตู้เซฟของตัวเองภายในห้อง
“อย่านะวิน ฉันไม่อยากอยู่ในนั้นนะ ไม่ !”
คลิก ...
ระบบสแกนม่านตายืนยันตัวตน ถูกต้อง ... ล็อก
เสียงระบบยืนยันความปลอดภัยดังขึ้นก่อนเสียงรบกวนผมจะไม่มีอีกต่อไป เฮ้อ ... ผมไม่ได้ใจร้ายนะ เอาไว้พรุ่งนี้ตื่นนอนตอนเช้าค่อยปล่อยลีโอออกมาละกัน นอนไม่หลับ ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าเพราะเสียงรบกวนจากไอ้สิงโตในกุญแจตามมาหลอกหลอนสองคืนติดละ อยู่ในนั้นไปก่อนละกัน
ผมล้มตัวลงบนเตียง ว่าจะเข้านอน แต่ผมก็นอนไม่หลับอยู่ดี ...
อยู่ดี ๆ ผมก็อยากออกไปสูดอากาศเดินเล่นข้างนอกซะงั้น ออกไปเดินให้เพลีย ๆ กว่านี้อีกสักนิดน่าจะทำให้หลับได้ง่ายขึ้น ว่าแล้วผมหยิบเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองออกมาใส่คลุมชุดนอนก่อนเดินลงมาชั้นล่างของบ้านแล้วออกไปด้านนอก
ผมชอบออกมาเดินเล่นดึก ๆ บริเวณแถวบ้านบ่อย ๆ มันให้ความรู้สึกผ่อนคลายดี ลมเย็น ๆ เดินเล่นไปเรื่อย ๆ แม้ว่าจะเป็นย่านใจกลางเมือง แต่ดึกขนาดนี้ ผู้คนที่เคยพลุกพล่านในตอนกลางวันจะหายไปหมด การจราจรทางอากาศและบนพื้นของหุ่นยนต์ AI ก็ไม่มีให้เห็น เนื่องจากมันเป็นกฎหมายประจำเมืองระหว่างช่วงเวลาตีสองถึงตีสี่ว่าห้ามมีการใช้เสียงรบกวนบุคคลอื่น มันเลยให้ความรู้สึกว่าทั้งเมืองถูกแช่แข็งเอาไว้ ให้เหลือแต่ตึกสูงระฟ้าและแสงไฟสีส้มอ่อนระยิบระยับไปทั่ว ไม่มีการจราจรเกะกะรกหูรกตา
ผมเดินไปเรื่อย ๆ แถวนี้ผมยังไม่เจอใครสักคน คงจะหลับพักผ่อนในบ้านหมดแล้ว ซึ่งก็เป็นปกติอยู่แล้วเวลาผมออกมาเดินเล่นดึกขนาดนี้ จนกระทั่งผมสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าผมมองไม่ผิด เธอกำลังยืนร้องไห้ เส้นผมสีฟ้าของเจ้าตัวทำให้เธอดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ผู้หญิงคนเดียวมาเดินทำอะไรดึก ๆ แบบนี้แถมร้องไห้ด้วย ผมกำลังจะเดินเข้าไปทักเธอเพื่อถามว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือหรือเปล่า แต่เธอกลับรีบเดินหนีผม
ผมรีบเดินตามเธอไป
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับคุณ ! เดี๋ยว ! อย่าเพิ่งเดินหนีผม”
เผลอแปบเดียวหายไหนก็ไม่รู้ ...
ผมถอนหายใจออกมางง ๆ นี่ผมก็หน้าตาดีนะ ไม่ได้หลอกตัวเองด้วย ไม่ได้เหมือนโจรซะหน่อย จะหนีทำไม แค่จะเข้าไปช่วยเผื่อมีอะไรที่พอจะช่วยได้บ้าง
เสียงพูดคุยดังขึ้นบริเวณหนึ่งของช่องแคบ ๆ ระหว่างตึก นั่นทำให้ผมเดินตามเข้าไปดูด้วยความสงสัยว่ามีคนมาทำอะไรดึก ๆ แถวนี้ด้วยหรอ บางทีอาจจะเป็นผู้หญิงที่ยืนร้องไห้เมื่อกี้ก็ได้
ทันทีที่เดินไปถึง ภาพที่ผมเห็นเล่นเอาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ตรงนั้นมีชายคนหนึ่งกำลังบาดเจ็บสาหัส บริเวณท้องของเจ้าตัวเหมือนถูกของมีคมฟันเข้าจนเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด ริมฝีปากซีดเซียวจนดูเหมือนจะหมดสติได้ทุกเมื่อ ผมรีบเข้าไปช่วยเหลือเขาทันที
“อะ ... อย่าส่งผมไปโรงพยาบาล ...”
“เฮ้ย ! คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”