04: พลังวิญญาณนอกระบบ
04
พลังวิญญาณนอกระบบ
เสียงกระซิบที่ดังอยู่ข้างหูทำเอาโซอีขนลุกเกรียว แขนขวาของตัวเองที่ถูกจับไว้เริ่มเบาหวิวเหมือนไม่มีน้ำหนัก แต่แล้วก็เกิดแรงกระชากบางอย่างก็ดึงเธอออกมาจากจุดนั้น เฮคเตอร์เป็นคนลากเธอออกมานั่นเอง
ร่างของชายหนุ่มผมสีทองเลือนหายไป ก่อนจะปรากฏเงาร่างวูบไหวขนาดใหญ่ขึ้นมาถึงสี่ร่าง มองเผินๆ จากผู้มากประสบการณ์ก็รู้ได้ว่าเป็นดิคเคนส์ประดิษฐ์ระดับสามขึ้นไปอย่างแน่นอน ก่อนจะเสียงที่ดังขึ้นจากตรงไหนสักแห่งในละแวกนั้น
“หือ...ไวสมคำล่ำลือ ตราบใดที่พวกนี้ยังอยู่ฉันคงพาเธอไปไม่ได้จริงๆ แต่สักวันคนพวกนี้จะทอดทิ้งเธอ โซอี... ไปอยู่ในที่ๆ เราควรจะอยู่กันดีกว่า วันไหนที่เธอเข้าใจ เธอจะเรียกหาฉันแน่นอน...”
เสียงนั้นเงียบหายไปเหลือทิ้งไว้แต่ดิคเคนส์ประดิษฐ์สี่ตัว ชาเกล ‘ลอย’ ขึ้นบนฟ้าข้ามสิ่งกีดขวางสีดำเพื่อไปรวมกลุ่มกับเฮคเตอร์และโซอี พร้อมกับยิงกระสุนสลายวิญญาณลงไปที่เป้าหมายหลายนัด
แต่กระสุนนั้นแทบไม่ระคายผิวตามที่ควรจะเป็น และดิคเคนส์สี่ตัวก็เริ่มทำการ ‘ดูด’ พลังชีวิตจากทุกสิ่งที่อยู่โดยรอบ
“ฝากไว้แป๊ปนึงนะ” เฮคเตอร์ผลักโซอีเบาๆ ให้เข้าไปใกล้ชาเกล เมื่อประเมินสถานการณ์ได้ร่างของเขาก็หายวับไปในทันที และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง พร้อมกับสหายร่วมรบคนใหม่ที่อยู่ในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวปกปิดท่อนล่างเพียงผืนเดียว!
“อะไรของพี่เนี่ย!” เสียงของเคนเซย์ท้วงขึ้นอย่างแตกตื่น เมื่ออยู่ๆ ก็โดนลากออกจากบ้านมาในสภาพนั้น เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ยังดีที่มีผ้าเช็ดตัวติดมาหนึ่งผืน
“เลิกบ่น ทำงาน” เฮคเตอร์ตอบกลับคนโวยวาย เมื่อเคนเซย์หันไปเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังก็เข้าใจทุกอย่างได้โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย
“ฮึ...สุดท้าย พระเอกอย่างผมก็ต้องออกโรงเองเหมือนเดิม”
ชายหนุ่มวัยสิบเก้าเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจในตัวเองก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าทุกคน เขายื่นมือไปตรงหน้าก่อนจะเกิดด้ามจับของดาบขึ้นให้กำที่มือขวา แล้ววาดมือซ้ายออกมาเป็นใบดาบที่มีความยาวเปล่งประกายงดงาม
ยูคิฮารุ เคนเซย์ ทายาทสายตรงเพียงคนเดียวของตระกูลยูคิฮารุ ตระกูลที่มีนักปราบวิญญาณคนแรกของโลก ในหน่วยเคซีโร่สมาชิกคนอื่นล้วนเป็นนักปราบวิญญาณสายพิเศษ ซึ่งไม่มีพลังวิญญาณในการกำจัดดิคเคนส์โดยตรง ยกเว้นเพียงเขาที่เป็นนักปราบวิญญาณสายสลายพลังวิญญาณ และมีพลังแทบจะเป็นระดับหัวแถวของนักปราบวิญญาณทั่วไป
โดยพื้นฐานแล้วนักปราบวิญญาณก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง จึงสามารถถูกวิญญาณร้ายดูดพลังชีวิตได้เหมือนกับผู้คนทั่วไป เพียงแต่ผู้ใช้พลังวิญญาณจะมีภูมิต้านฐานการถูกดูดพลังชีวิตที่มากกว่า ยิ่งมีพลังแข็งแกร่งมากเท่าไรก็จะยิ่งมีภูมิต้านทานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นไม่ใช่ว่านักปราบวิญญาณทั่วไปจะไม่มีโอกาสถูกดิคเคนส์จัดการ ภารกิจต่างๆ จึงต้องถูกแบ่งตามความยากง่ายให้เหมาะสมกับระดับของเจ้าหน้าที่ในการออกปฏิบัติงาน
เคนเซย์พุ่งตรงไปยังร่างวูบไหวสีดำสี่ตัวพร้อมกับดาบที่เป็นสื่อพลังวิญญาณ ฤทธิ์การดูดชีวิตของวิญญาณร้ายทั้งสี่ตัวรวมกันไม่ทำให้เขาสะทกสะท้านแม้แต่น้อย ชั่วพริบตาจากนั้นดิคเคนส์ก็กรีดเสียงโหยหวนและเริ่มสลายไป
“ฮึ เท่านี้ก็เรียบร้อย” เคนเซย์ที่ยังยืนหันหลังในเพื่อนๆ ทำท่าเก็บดาบลงในฝัก แม้ที่จริงแล้วจะไม่มีฝักดาบอยู่ก็ตาม... แต่แล้วโซอีก็ตกใจจนหันหน้าหนี เมื่อผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวที่หนุ่มนักดาบนุ่งอยู่นั้นหลุดลงพื้น
“............”
กว่าน้องเล็กมากความสามารถของหน่วยจะได้รู้ตัวแล้วลนลานเก็บผ้าขึ้นมา สามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็แยกย้ายหายกันไปหมดแล้ว
“อ้าวเฮ้ยพวกพี่! ใช้เสร็จแล้วทิ้งกันแบบนี้ได้ไง เฮ้อ...ให้ตายเถอะ”
ชายหนุ่มปรับสภาพร่างกายเข้าโหมดมิติวิญญาณ ก่อนจะหยิบจี้สร้อยคอที่เป็นแหวนวงหนึ่งซึ่งสวมอยู่ตลอดเวลา เมื่อร่ายคาถาเพื่อใช้ของศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลที่ได้รับสืบทอดกันมาแล้ว วิญญาณของนกสีทองตัวใหญ่ก็บินออกจากแหวน และเคนเซย์ก็ใช้สิ่งนี้เป็นพาหนะในการเดินทางกลับบ้าน
เฮคเตอร์พาโซอีหายตัวไปยังแผนกแพทย์วิญญาณในทันที หากเขาคาดการณ์ไม่ผิดโซอีเหมือนจะถูกพลังวิญญาณของคนร้ายครอบคลุมตัวเข้า ร่างกายของเธอเลือนหายไปครึ่งหนึ่งแล้วก่อนที่เขาจะดึงตัวออกมาได้ทัน แม้จะไม่รู้ว่าไอ้บ้านั่นใช้พลังอะไรประเภทไหนกันแน่ แต่เขาก็ต้องพาเธอมาตรวจร่างกายก่อนเพื่อความปลอดภัย
การหายตัวในหนนี้ไม่ได้ทำให้โซอีอาเจียนออกมาอีกแล้ว แต่ก็ยังเวียนหัวอย่างหนักจนเกือบล้มพับลงไป สุดท้ายเฮคเตอร์ก็ต้องอุ้มเธอให้ไปนอนพักบนเตียงตรวจคนไข้
ภายในห้องตรวจไม่มีใครอยู่ เฮคเตอร์จึงไปเคาะประตูห้องพักที่อยู่ภายในห้องตรวจแห่งนี้เพื่อเรียกแพทย์วิญญาณที่เข้าเวร แล้วก็เป็นแพทย์หญิงอนาเซียที่สะลึมสะลือเดินออกมาในสภาพที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยนัก
เนื่องจากพลังสายแพทย์วิญญาณเป็นสายที่หายากมากพอกับสายพิเศษ พวกเขาจึงต้องทำงานหนักกันตลอดเวลา และไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่จะเจอแพทย์วิญญาณคนใดในสภาพเช่นนี้
อธิบายกันไม่กี่ประโยคแบบไม่ต้องมากความ แพทย์หญิงก็เริ่มลงมือตรวจร่างกายของโซอีในทันที
“สภาพพลังวิญญาณของเธอปกติดีค่ะ”
เฮคเตอร์ถอนใจอย่างโล่งอกทันทีที่ได้ยิน
“แต่ว่า...” อนาเซียเกริ่นค้างไว้ราวกับลังเล
“แต่อะไรครับ”
“เท่าที่ฉันสัมผัสได้ตั้งแต่คราวก่อน พลังของเธอปกติก็จริงแต่มันก็มีอะไรแปลกๆ ด้วย ฉันบอกไม่ถูกค่ะ จะบอกว่าเป็นเซนส์ของแพทย์วิญญาณก็คงได้ อันที่จริงนอกจากคุณแล้ว... ก็ของโซอีนี่แหละที่แปลกที่สุด”
ความแปลกที่ไม่ผิดปกตินี้ คือสิ่งที่เฮคเตอร์เคยได้รับการวินิจฉัยมาเมื่อหลายปีก่อนเช่นกัน มันก็ไม่ถึงกับไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายแม้แต่ตัวเขาที่ถูกบอกแบบนั้นก็ยังไม่แน่ใจนักว่าความแปลกที่คุณหมอบอกมามันคืออะไร แม้จะลองไปศูนย์วิจัยของกองปราบมาแล้วก็ตาม
“เธอคงไม่ไปครับ อย่างผมนี่ไม่เท่าไหร่ แต่กับโซอีที่ร่างกายเป็นแบบนี้คงกลายเป็นของเล่นให้คนในนั้นแน่ๆ”
“ยิ่งเป็นแบบนี้แล้วฉันว่าเธอก็ยิ่งควรไปนะคะ เราอาจจะได้รู้อะไรมากขึ้นก็ได้”
เฮคเตอร์พ่นลมอีกครั้งอย่างหนักใจ ที่คุณหมอพูดมาก็ถูก แต่เขาก็ไม่อยากผิดสัญญาที่ให้ไว้กับโซอี
“เอาไว้ถ้าเลี่ยงไมได้จริงๆ ค่อยว่ากันนะครับ อ่อ...ถ้าผลตรวจร่างกายเธอออกแล้วอย่าลืมบอกผมด้วยนะ”
พูดจบเฮคเตอร์ก็เดินไปอุ้มโซอีที่นอนแน่นิ่งหมดฤทธิ์ขึ้นมาจากเตียง ก่อนจะเดินออกจากประตูที่มีระบบปิดเปิดอัตโนมัติไป อนาเซียได้แต่มองตามหลังไปอย่างสังหรณ์ใจ ยิ่งได้ลองตรวจอีกครั้งเธอก็ยิ่งแน่ใจ เพราะเซนส์ของเธอมันตะโกนร้องบอกตลอดเวลาว่าเด็ก...ไม่สิ ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
เมื่อนึกย้อนไปว่าเมื่อสิบเก้าปีก่อนโซอีอาจจะเคยถูกพามาตรวจที่นี่หลังเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ แพทย์หญิงขี้สงสัยจึงยกเลิกความคิดที่จะกลับไปบนเตียง แล้วหันไปค้นหาประวัติคนไข้ย้อนหลังแทน
เมื่อเฮคเตอร์เดินกลับไปถึงออฟฟิศของหน่วยซีโร่อีกครั้ง ทุกคนก็มาอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ชาเกลคงโทรกระจายข่าวเกี่ยวกับเบาะแสคนร้ายชิ้นใหม่ให้หัวหน้าและท่านรองฟัง เคนเซย์เองก็มารวมกับทุกคนหลังจากกลับไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้ว ขนมหวานทั้งหมดของโซอีที่อยู่ในรถถูกขนมาวางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาเช่นเดิม และเฮคเตอร์ก็ปล่อยร่างเล็กๆ ในอ้อมแขนลงบนโซฟาอย่างเบามือ
การเปิดประชุมด่วนหนนี้ไม่ได้มีการสร้างกระจกครอบเสียง สีหน้าของทุกคนต่างเคร่งเครียดจนแม้แต่เคนเซย์เองก็ไม่มีอารมณ์จะพูดเล่น โดยเฉพาะเฮคเตอร์กับชาเกลแล้ว... การเจอคนร้ายแล้วปล่อยให้หนีไปได้ง่ายๆ อีกครั้งช่างทำให้รู้สึกเหมือนโดนชกหน้าอย่างแรง
“จากที่เจอมาสองครั้ง ไอ้บ้านั่นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณประเภทนักปราบวิญญาณสายพิเศษแน่นอน ผมคิดว่าพลังของมันคือการล่องหนได้” เฮคเตอร์เปิดประเด็นขึ้น
“ผมก็คิดอย่างนั้นครับ ถ้าลองนึกถึงพื้นฐานพลังพวกสายพิเศษที่ว่า จะไม่มีใครที่มีพลังรูปแบบเดียวกันซ้อนทับกันในขณะที่ผู้ใช้พลังนั้นยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ การหายตัวไปได้ในชั่วพริบตาที่แม้แต่ผมหรือเฮคเตอร์ยังตามจับไม่ทัน ก็น่าจะเป็นไปได้แค่ไม่กี่แบบแล้ว ล่องหนน่าจะดูมีความเป็นไปได้มากที่สุดจากตอนที่คุณโซอีกำลังจะถูกทำให้ล่องหนหายไปด้วย” ชาเกลวิเคราะห์ขึ้นต่อ
“คงต้องลองค้นข้อมูลกันอีกรอบสินะ” ท่านรองของหน่วยกล่าว ก่อนจะลุกขึ้นไปประจำโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเครื่องมือของฝ่ายสืบค้นข้อมูล แต่การค้นหาด้วยคำค้นข้อมูลที่วิเคราะห์กันมากลับไม่เป็นผลสำเร็จสักอย่าง จนท้ายก็ต้องกลับมาใช้วิธีพื้นฐานที่ทุกคนเห็นแล้วได้แต่ถอนใจ
แม้ก่อนหน้านี้จะเคยลองค้นข้อมูลกันมาแล้วหนึ่งรอบ แต่จากการลงความเห็นของเฮคเตอร์กับชาเกล ทำให้คนทั้งกองต้องนั่งไล่ตรวจประวัติของนักปราบวิญญาณสายพิเศษทั้งหมด ที่มีทั้งในอดีตและปัจจุบันให้ละเอียดขึ้นอีกครั้ง ยิ่งเป็นพวกสายพิเศษที่มีน้อยนิดแล้วยิ่งไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะค้นหาให้เจอ แม้รูปร่างหน้าตาในปัจจุบันจะแตกต่างออกไปมากเท่าไร แต่เพียงเรื่องเดียวที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้คือรูปแบบของพลังวิญญาณนั่นเอง
กองปราบวิญญาณมีสิ่งที่เรียกว่า ‘กระจกแห่งชะตากรรม’ ซึ่งเป็นหัวใจหลักสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างดำเนินการต่อไปได้ เมื่อไรหรือที่ใดในโลกก็ตามที่มีผู้ปะทุพลังวิญญาณขึ้นมา กระจกแห่งชะตากรรมจะแสดงผลแจ้งเตือนขึ้นพร้อมบ่งชี้พิกัดของเป้าหมาย ผู้ที่ปะทุพลังวิญญาณเป็นนักปราบวิญญาณทุกคนจะมีชื่อที่ถูกลงทะเบียนไว้ในนั้น และเมื่อผนวกเข้ากับเทคโนโลยีในโลกยุคหลังๆ จึงสามารถทำการเชื่อต่อเพื่อพิมพ์ออกมาเป็นข้อมูลได้อย่างชัดเจน
ทุกคนที่ปะทุพลังวิญญาณจะถูกพาตัวมาลงทะเบียนเพื่อบันทึกข้อมูลพื้นฐานต่างๆ และสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกวิญญาณเพื่อที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้ การเป็นนักปราบวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับความสมัครใจ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนที่ปะทุพลังจะมีความสามารถในการออกภาคสนามต่อสู้ได้ทุกคน หรืออย่างน้อยที่สุดหากปะทุพลังแล้วต่อให้เกิดเหตุสุดวิสัยจนไม่อาจพามาได้ แต่ผู้ที่ปะทุพลังวิญญาณทุกคนจะต้องมีรายชื่อในกระจกแห่งชะตากรรมอย่างแน่นอนอันเป็นกฎเหล็กตายตัว
แต่แล้วหน่วยเคซีโร่กลับไม่พบข้อมูลของใครที่น่าจะตรงกับเป้าหมายเลยสักคน มันน่าแปลกจนไม่น่าเป็นไปได้ ห้าคนเงยหน้าจากกองเอกสารทีละคนสองคนก่อนถอนใจในอาการเดียวกัน
“แต่ผมว่ามันแปลกๆ อยู่อย่างหนึ่งนะ ดิคเคนส์ที่หมอนั่นปล่อยออกมาน่าจะเป็นดิคเคนส์ประดิษฐ์ เคยได้ยินมาว่าดิคเคนส์ประดิษฐ์ถูกค้นพบและยืนยันว่าแตกต่างกับดิคเคนส์ธรรมชาติมาเกือบร้อยปีแล้ว ถ้าเจ้านั้นคือวิญญาณที่หลุดออกจากต้นไวท์แอชจริงๆ นั่นก็เพิ่งผ่านมาสิบเก้าปีเท่านั้น” ชาเกลวิเคราะห์ข้อมูลเท่าที่มีออกมาอีกครั้ง
“หมายความว่าตัวอันตรายที่เราต้องจับมีมากกว่าหนึ่งงั้นเหรอฮะ” เคนเซย์ถามขึ้นต่อทันที
“ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ที่แน่ๆ ถ้าเราไม่พบรูปแบบพลังการล่องหนหรืออะไรที่ใกล้เคียงในฐานข้อมูลจริงๆ นั่นอาจจะหมายถึงมีการปะทุพลังนอกเหนือระบบของกระจกแห่งชะตากรรม เป็นพลังวิญญาณนอกระบบที่เราไม่รู้จัก...แถมไม่รู้เลยว่ายังมีคนแบบพวกนี้อีกเท่าไหร่มีพลังอะไรบ้าง นี่เป็นเรื่องใหญ่มากที่จะสั่นคลอนกองปราบวิญญาณได้เลย” จบคำของท่านรองหัวหน้า ความตึงเครียดเข้าเกาะกุมทั้งโต๊ะประชุมจนเงียบกริบ
“ผมว่ายังมีอีกประเด็นที่ต้องคิดนะ ทำไมเจ้านั่นถึงอยากได้ตัวโซอี ทั้งๆ ที่พยายามกวาดล้างนักสะกดวิญญาณคนอื่นจนหมด”
ฟังเฮคเตอร์พูดจบ ทุกคนก็หันไปมองเด็กหญิงที่อยู่บนโซฟาแทบจะพร้อมเพรียงกัน ดูเธอจะงัวเงียลุกขึ้นมาได้แล้ว และแน่นอนว่าสิ่งแรกที่เด็กหญิงทำ คือหยิบถุงขนมหวานมากมายตรงหน้าขึ้นมาแกะออกแล้วกินในทันที
“มีอะไรเหรอคะ” โซอีถามขึ้นเมื่อทุกคนหันมาจ้องตัวเองเป็นตาเดียว
“เอ่อ...เปล่าหรอก เป็นยังไงบ้างแล้ว หายมึนหัวรึยัง”
“ดีขึ้นแล้ว” โซอีตอบเฮคเตอร์กลับ พร้อมกับกัดบราวนี่หน้าตาน่าทานเข้าเต็มคำ
เฮคเตอร์มองดูแล้วได้แต่คิดในใจ ในตัวผู้หญิงคนนี้ต้องมีอะไรสักอย่างที่พวกนั้นต้องการอย่างแน่นอน ต่อให้ไม่นับว่าอายุยี่สิบหกแล้วยังมีร่างกายเป็นเด็กเจ็ดขวบ แต่พวกคนร้ายนั่นน่าจะต้องสนใจความสามารถในการกินได้ตลอดเวลาของเธอแน่ๆ
“เดี๋ยวนะทุกคน... ถ้าพลังของเจ้านั่นอยู่ในรูปแบบคล้ายกับนักปราบวิญญาณสายพิเศษของเรา เป็นไปได้รึเปล่าที่มันจะล่องหนเข้ามาในนี้แบบที่ม่านพลังป้องกันตรวจจับไม่ได้” มองโซอีแล้วเฮคเตอร์ก็นึกถึงข้อเท็จจริงนี้ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขายิ่งต้องห้ามคลาดสายตาจากเธอแม้แต่นิดเดียว
“ฉันว่าไม่น่าทำได้นะ อย่างน้อยการที่มันสามารถปล่อยดิคเคนส์ประดิษฐ์ออกมาตัวเป็นๆ ขนาดนั้นได้ ในตัวก็คงต้องมีพลังวิญญาณสีดำเยอะมากๆ นั่นแหละ มันน่าจะส่งผลกับม่านพลังป้องกันหรือพวกสัญญาณเตือนต่างๆ แน่นอน”
ฟังที่ชาเกลบอกแล้วเฮคเตอร์ก็ลอบถอนใจอย่างโล่งอกทีเดียว
“จริงสินะ งั้นก็คงจะหายห่วงได้หน่อย”
สุดท้ายฟอแกนด์ที่นิ่งฟังทุกคนมานานก็ลุกขึ้น แล้วจะกล่าวปิดการประชุมด่วนในครั้งนี้
“ฉันจะไปแจ้งเรื่องนี้กับผู้บัญชาการสูงสุด นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก พรุ่งนี้คงต้องเรียกประชุมคนทั้งกองปราบ พวกนายก็มาชี้แจงด้วยแล้วอย่าสายล่ะ วันนี้พอแค่นี้แหละ”
เกาะซาฮาลิน
เสียงครวญครางของหญิงสาวยังคงดังอย่างต่อเนื่องในห้องนอนชั้นสองของคฤหาสน์หลังงาม ก่อนที่เสียงนั้นจะหวีดแหลมเป็นทางยาวแล้วเงียบลงไป
เรือนร่างของหญิงสาวระดับนางแบบชุดชั้นในแบรนด์ดังของโลก นอนตัวเปล่าเปลือยอยู่ภายใต้ร่างของหนุ่มหล่อผมสีทอง ใบหน้ายังคงอิ่มเอมจากความสุขที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่แล้ว...อยู่ๆ หญิงสาวรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างจากภายใน ราวกับของเหลวที่เพิ่งถูกฉีดเข้าร่างไปนั้นกำลังวิ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างของตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้น ฉัน...ฉันเป็นอะไร”
หญิงสาวร้อนรนเมื่อร่างกายเริ่มเกิดการชักกระตุก ทั้งเนื้อทั้งตัวร้อนรุ่มไปหมดจนเหมือนจะถูกเผาไหม้จากภายใน เสียงโอดครวญจากความเจ็บปวดดังขึ้นอย่างน่าเวทนา แต่มันกลับไม่ได้รับความสนใจจากชายที่เพิ่งเสร็จกิจบนเตียงกับเธอไป
ชายหนุ่มผมทองเดินลงจากเตียง สวมเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วเดินไปหยิบเครื่องดื่มในตู้เย็น ก่อนจะกลับมานั่งไขว่ห้างบนโซฟาจิบน้ำอัดลมเย็นชื่นใจเรียกเรี่ยวแรงที่ใช้ให้กลับมา เขานั่งมองหญิงสาวตรงหน้าที่ทุรนทุรายอยู่นาน ถ้าผ่านไปไม่ได้เธอก็จะกลายเป็นแค่อาหารจานหลักของมื้อเช้านี้ แต่ไม่สิ...งานดีขนาดนี้เก็บไว้ใช้ระบายอารมณ์อีกสักครั้งสองครั้งคงจะคุ้มกว่า
ท้ายที่สุดร่างสุดเซ็กซี่ของนางแบบสาวก็เกิดประกายแสงเจิดจ้า ก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่ภาวะปกติตามเดิม
หนุ่มหล่อผมทองยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ เพราะได้ ‘กองทัพ’ เพิ่มแทนที่จะเป็นมื้อเช้าแสนธรรมดาๆ เขาเดินออกจากห้องนั้นแล้วเปิดประตูเข้าไปยังห้องนอนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และได้พบกับชายหนุ่มผมสีทองอีกคนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการ กำลังนอนกินขนมพร้อมกับชมรายการแข่งขันฟุตบอลของลีกส์ชื่อดังระดับโลกบนทีวีจอยักษ์
“หืม เสร็จแล้วเหรอเป็นไง ได้เด็กเพิ่มรึเปล่า”
“หนนี้ผ่าน เดี๋ยวคงต้องใช้นายให้พาไปห้องทดสอบพลัง”
“วิธีอื่นมีเยอะแยะ แบบปาดเลือดกรอกปากฉันเนี่ย ทำไมไม่ทำแบบนั้นแล้วบังคับคนกินเยอะๆ แทนเลยล่ะ”
“พวกผู้ชายแบบนายมันน่ารำคาญจะตาย สร้างฮาเรมสาวๆ ที่เอาไว้ใช้งานได้ไม่ดีกว่ารึไง”
“เรื่องมากแบบนี้เมื่อไหร่จะได้กองทัพไปครองโลกสมใจซะทีล่ะ”
“จะบ้ารึไงใครมันจะอยากครองโลก มีแต่เรื่องปวดหัวทั้งนั้น ฉันก็แค่อยากใช้ชีวิตสบายๆ เท่านั้นแหละ เพื่อสิ่งนั้นแล้วพวกเราถึงจำเป็นต้องมี โซอี ชามิลเลียร์ ยังไงล่ะ”
“หนทางสู่ความอมตะที่นายว่านั่นจะช่วยซิโมนได้จริงๆ สินะ”
“แล้วนายเคยเห็นเขามีแรงลุกขึ้นมาทำอะไรได้ขนาดนี้รึไง”
มิฮาอิล ชายหนุ่มผู้กำลังดูฟุตบอลกดรีโมทปิดโทรทัศน์ ก่อนจะเตรียมตัวออกไปเก็บกวาดงานที่ถูกทิ้งไว้อีกห้อง
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนอีกครั้ง หญิงสาวที่ยังอ่อนเพลียอย่างหนักก็พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะถามชายหนุ่มผมสีทองคนเดียวกับที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้
“เกิด...เกิดอะไรขึ้นกับฉัน”
“เธอปะทุพลังวิญญาณ”
“ปะทุพลังวิญญาณ? มันคืออะไร ฉันจะตายรึเปล่า คุณทำแบบนี้กับฉันทำไม”
หนุ่มหล่อผมทองเดินมานั่งข้างหญิงสาวบนเตียง ใช้สองมือสัมผัสแก้มของเธอไว้ก่อนจะเริ่มต้นใช้พลังวิญญาณที่สามารถควบคุมผู้คน...
“ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น เธอแค่เชื่อฟังจิตวิญญาณแห่ง ‘อีซีโอ’ ก็พอ...”