ตอนที่แล้ว02: KAREM CODE ZERO
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป04: พลังวิญญาณนอกระบบ

03: เรื่องที่ลืมไปได้ก็คงดี


 

03: เรื่องที่ลืมไปได้ก็คงดี

“เสร็จแล้วจ้ะ”

เสียงของแพทย์วิญญาณสาวทรวดทรงน่ามองดังขึ้น เธอเพิ่งปล่อยสองมือออกจากกล้ามท้องของเฮคเตอร์ที่นอนถอดเสื้ออยู่บนเตียงตรวจคนไข้ ชายหนุ่มลุกขึ้นสวมเสื้อแล้วกระโดดกับพื้นเบาๆ สองสามที หายตัวแวบไปแวบมาในห้องอีกหลายครั้งราวกับทดสอบพลังก่อนจะกลับมายืนที่เดิม

“ขอบคุณครับ”

หลังจบการ ‘ฟื้นฟู’ พลังวิญญาณเสร็จ ทั้งสองก็คุยสัพเพเหระอย่างยิ้มแย้มกันต่อราวกับเป็นคนสนิทสนมคุ้นเคย

ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของโซอีที่ถูกพาเข้ามาในห้องตรวจ หลังจากไปเจาะเลือด เอกซเรย์ทั้งร่างกาย ตรวจทุกสิ่งอย่างที่อุปกรณ์การแพทย์จะตรวจหาความผิดปกติได้

ส่วนสูง หน้าอก สะโพก เอวคอด มองรูปร่างของคุณหมอคนสวยแล้วโซอีก็ถอนใจ เพราะอย่างนี้เธอถึงไม่อยากเจอผู้คน ไม่อยากสุงสิงกับใครทั้งนั้น เพราะไม่อยากที่จะต้องรู้สึกแบบนี้เลย แม้ร่างกายจะเป็นแบบนี้มาสิบเก้าปี แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจให้ชินได้... ไม่มีวัน...

“อ้าวทางนั้นเสร็จแล้วเหรอ มานั่งตรงนี้ก่อนนะคะ”

เสียงเรียกของหมออนาเซียดังขึ้น หญิงสาวในร่างเด็กหญิงซึ่งอันที่จริงไม่น่ามีอายุห่างกันเท่าไรเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตรวจด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ปกติเอ็ดจังจะมองออกทั้งพลังของนักปราบวิญญาณกับนักสะกดวิญญาณ แต่หนนี้ท่านรองของเรายังส่ายหน้า คือรู้สึกได้มีพลังอะไรสักอย่างอัดแน่นอยู่ข้างใน แต่เหมือนมีกำแพงกั้นไว้ให้มองไม่เห็น”

“หือ แม้แต่คุณเอ็ดเวิร์ดก็มองไม่ออกเหรอ แล้วหนูรู้อะไรเกี่ยวกับพลังตัวเองบ้างจ๊ะ”

หัวคิ้วของโซอีขมวดเข้าเล็กน้อย หลังจากนิ่งไปไม่ตอบอีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ตัว

“ตายจริง ขอโทษด้วยนะคะ คุณโซอีไม่ใช่เด็กแล้วนี่นา”

โซอีรู้สึกได้ว่า...น้ำเสียงอะไรบางอย่างในคำพูดของคุณหมอดูจะไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ เลย

“ไม่ทราบค่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังอะไรแบบไหน หลังเหตุการณ์เมื่อสิบเก้าปีก่อนแล้วย้ายไปที่อังกฤษ บ้านเราก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่คาเรม หรือเรื่องพลังวิญญาณอะไรพวกนี้อีกเลย แต่มันก็คงจะมีอะไรสักอย่างนั่นแหละไม่งั้นร่างกายก็คงไม่เป็นแบบนี้ แต่เพราะฉันเองก็มองเห็นวิญญาณ พ่อก็เลยบอกแค่ว่าฉันมีเชื้อสายของตระกูลนักสะกดวิญญาณที่ได้รับมาจากทางพ่อเท่านั้นเอง”

“อือ...ยังไงก็ขอลองตรวจหน่อยนะคะ ส่งมือมาหน่อยค่ะ”

โซอีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเป็นเฮคเตอร์ที่จับมือเล็กๆ ของเธอขึ้นมาวางบนมือคุณหมอเสียเอง

“อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้วน่ะ คุณหมออนาเซียเก่งมากเลยนะ อาจจะรู้สาเหตุอาการของเธอก็ได้ ไม่ใช่การทดลองวิจัยอะไรแน่นอน”

โซอีไม่ตอบเฮคเตอร์ เพียงจ้องมองไปยังผู้ที่กำลังทำการตรวจเธออย่างลุ้นระทึก ยิ่งเมื่อคุณหมอทำท่าชะงักเล็กน้อยเหมือนเจออะไรบางอย่างขึ้นมา

“อืม... แปลกมากจริงๆ นั่นแหละ” เมื่อปล่อยมือจากโซอีแล้วลืมตาขึ้นมา แพทย์หญิงก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะทีเดียว

“แปลกยังไงครับ” เฮคเตอร์ดูจะตื่นเต้นรอฟังยิ่งกว่าเจ้าของอาการ

“จะว่ายังไงดี ฉันไม่เจออะไรผิดปกติค่ะ ยังไงก็...เอาเป็นว่าขอดูผลตรวจร่างกายจากส่วนอื่นๆ ประกอบด้วยก่อนก็แล้วกัน แต่อย่างน้อยพลังวิญญาณก็สมบูรณ์ดีค่ะ”

“งั้นเหรอครับ... ถ้าได้ผลตรวจเมื่อไหร่โทรบอกผมด้วยก็แล้วกัน”

เฮคเตอร์ทำตัวเป็นผู้ปกครองให้กับโซอีเสร็จสรรพ ทั้งๆ ที่เขาอายุน้อยกว่าเธอ

“ได้ค่ะ แล้วจะโทรหานะ”

“พวกคุณเป็นแฟนกันเหรอคะ” อยู่ๆ โซอีก็โพล่งถามขึ้นมาหลังจากที่นั่งเงียบมานาน คำถามที่ทำเอาคนฟังสะดุ้ง

“......ไม่ใช่หรอกค่ะ เราก็แค่ดูสนิทกันเพราะเฮคเตอร์ต้องคอยมาฟื้นฟูพลังวิญญาณบ่อยๆ เท่านั้นเอง บางทีเขาก็ไม่สะดวกมาในเวลางานบ้าง ก็เลยมีเบอร์โทรไว้ติดต่อนัดกันนอกเวลา”

โซอีรู้สึกได้ว่าจริตบางอย่างในคำพูดนั้นดูจะดีใจแปลกๆ ที่ถูกถามแบบนั้น ตั้งแต่ตอนแรกสุดที่มาแล้วเฮคเตอร์พูดว่าตอนนี้เขากำลังรับเธอไปดูแล การถูกปฏิบัติจากคุณหมอให้เธอดูเป็นเหมือนเด็กก็เริ่มขึ้นแม้จะรู้ประวัติเธอแล้วก็ตาม

“ตอนนี้คุณหมอมีแฟนรึเปล่าคะ”

“เอ๋...ตอนนี้เหรอคะ ไม่มีหรอก”

“แล้วเมื่อก่อนคุณหมอเคยมีแฟนมั้ยคะ”

“แหม...อายุขนาดนี้แล้วก็เคยมีมาบ้างนั่นแหละ ทำไมเหรอคะ หรือจะปรึกษาปัญหาหัวใจ”

“หืม...การมีหน้าอกใหญ่ๆ ไม่ได้ช่วยทำให้มีความรักที่ยั่งยืน หรือทำให้ผู้ชายรักเรามากขึ้นสินะคะ ขอบคุณที่ตรวจร่างกายให้ค่ะ” พูดจบโซอีก็กระโดดลงจากเก้าอี้ตรวจแล้วเดินออกไปนอกห้องทันที

เฮคเตอร์หันไปมองหน้าคุณหมออนาเซียที่เหมือนจะช็อคไปแล้วก่อนจะยิ้มแหยๆ แล้วรีบเดินตามโซอีออกไป

 

หลังจากทั้งสองขนของกลับมาจากบ้านที่อังกฤษ ร่างกายของเด็กหญิงก็อ่อนเพลียจนสลบยาวไปอีกรอบ เมื่อจัดแจงที่ทางคร่าวๆ ในห้องว่างให้โซอีนอนจนหลับไปแล้ว เฮคเตอร์เองก็นอนพักเอาแรงด้วยเช่นกัน ตอนที่รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเวลาที่คาเรมก็เดินไปถึงบ่ายสามโมงเย็นแล้ว เฮคเตอร์เข้าไปที่ออฟฟิศสักพักก่อนจะซื้อของกินกลับมาให้คนที่ต้องกินทุกครั้งแน่ๆ หลังตื่นนอน

แล้วโซอีก็กินทันทีจริงๆ หลังจากงัวเงียตื่นขึ้นมา เฮคเตอร์สังเกตได้ว่าเธอเป็นพวกกินไม่เยอะ แต่กินบ่อยมากแทบจะทุกสองหรือสามชั่วโมงในช่วงเวลาที่ตื่น ขนาดบอกว่าทางกองปราบอยากให้โซอีเข้าไปตรวจร่างกายเย็นนี้เลย ยัยตัวเปี๊ยกก็ยังพกของกินใส่กระเป๋ารูปหัวหมีสีน้ำตาลติดตัวไปด้วย

นั่นไง...คิดไม่ทันไรเขาก็เห็นโซอีก็หยิบขนมในกระเป๋าออกมากินระหว่างทางเดินกลับออฟฟิศของหน่วยซีโร่

“เอ่อ...ทำไมเธอถึงได้พูดแบบนั้นกับคุณหมอล่ะ”

“......เรื่องของผู้หญิง”

“เฮ้อ... เอาเถอะๆ แต่เธออาจจะต้องเจอคุณหมออนาเซียอีกบ่อยๆ ยังไงก็ผูกมิตรกันไว้ดีกว่านะ”

“ฉันไม่ต้องการมิตรภาพอะไรจากใครทั้งนั้น”

เฮคเตอร์ได้แต่ถอนใจอีกครั้ง คงไม่ง่ายที่จะทำให้เธอเปิดใจขึ้นบ้าง

“ว่าแต่ เย็นนี้ชาเกล...อ่า คนที่หล่อๆ ที่พาเธอไปห้องน้ำแล้วอุ้มออกมาน่ะ จำได้มั้ย”

“ผู้หญิงจำคนหล่อที่สุดได้ก่อนอยู่แล้ว”

แม้เฮคเตอร์จะรู้สึกหมั่นไส้ไอ้คนหล่อนั่นขึ้นมาแปลกๆ แต่ก็ต้านทานข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้

“เย็นนี้ชาเกลชวนเธอกับฉันไปหามื้อเย็นกินด้วยกัน เธออยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย แพ้อาหารอะไรรึเปล่า”

“......ไปกินที่ไหน”

“ก็คงเป็นพวกตามร้านอร่อยๆ ในตัวเมือง ไม่ก็ตามห้างสรรพสินค้านั่นแหละ”

“พวกนายไปกันเถอะ... ปล่อยฉันไว้ที่ห้องก็คงไม่เป็นไรใช่มั้ย นายบอกเองว่าบ้านพักของเจ้าหน้าที่ในเขตกองปราบวิญญาณมีม่านพลังป้องกันพวกดิคเคนส์อยู่แล้วนี่”

“ทำไมไม่อยากไปล่ะ เผื่อเธอจะซื้อของอะไรๆ ที่จำเป็นไปด้วยเลยไง”

“ฉันใช้ให้นายกลับไปเอาที่บ้านในอังกฤษก็ได้ ไม่ได้อยากได้อะไรเพิ่ม”

เมื่อเฮคเตอร์หยุดเดินมองเด็กงอแงข้างๆ ทั้งสองก็มาถึงหน้าประตูทางเข้าออฟฟิศของหน่วยซีโร่พอดี

“เธอคง...ไม่อยากกลับมาที่นี่ขนาดนี้เลยสินะ”

โซอีที่กำลังจะผลักประตูกระจกเข้าห้องชะงักไปเช่นกัน แต่ก่อนจะได้ตอบอะไรออกมานั้น คนในห้องที่รอทั้งสองอยู่ก็เปิดประตูออกมา

“เสร็จเรียบร้อยดีแล้วใช่มั้ย ไปกันเลยรึยัง คุณโซอีอยากทานอะไรครับ”

“เธอไม่อยากไป” เป็นเฮคเตอร์ที่ตอบคำถามนั้นกลับไปแทน

ชาเกลก้มลงมองโซอีชั่วขณะ ก่อนจะย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน

“เห็นเฮคเตอร์บอกว่าปกติคุณทำขนมส่งขาย ถ้างั้นเราเปลี่ยนไปเป็นตระเวนชิมเบเกอรี่ร้านดังๆ ทั่วคาเรมเลยดีมั้ยครับ”

เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มกับคำพูดของเทพบุตรประจำกองปราบวิญญาณจัดการสาวๆ ได้อยู่หมัดเช่นเคย หญิงสาวในคราบเด็กหญิงอึ้งไปเล็กน้อยราวกับประมวลผลหาทางตั้งรับ ก่อนจะพยักหน้าสองสามครั้งด้วยสีหน้าตื่นเต้น ยัยเปี๊ยกที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นเด็กโดนล่อซื้อด้วยขนมไปแล้ว!

 

คาเรม ประเทศซึ่งเป็นเกาะตั้งอยู่ใจกลางทะเลญี่ปุ่น มีเนื้อที่ประมาณหนึ่งหมื่นตารางกิโลเมตร โดยหกสิบเปอร์เซ็นเป็นเขตป่า ภูเขา แหล่งน้ำพุร้อนตามธรรมชาติอันขึ้นชื่อ และเคยมีจุดแลนด์มาร์คอันลือลั่นดังระดับโลกที่นักท่องเที่ยวต้องจดในลิสต์ห้ามพลาด ......เคยมีมาจนกระทั่งเมื่อสิบเก้าปีก่อนหน้านี้

การเดินทางดูครั้งนี้ดูเป็นมนุษย์ปกติกว่าที่ผ่านมาเมื่อทั้งสามไปโดยรถยนต์คันหรูของชาเกล แต่แล้วในขณะที่กำลังจะเปิดประตูไปนั่งด้านหลัง เฮคเตอร์ก็เปิดประตูข้างคนขับแล้วดึงตัวเธอให้ไปนั่งข้างหน้าแทน

“เฮคเตอร์นั่งรถไม่ได้ครับ เขาเป็นโรคเมารถเมายานพาหนะทุกอย่าง จะไปด้วยต้องนอนเบาะหลังสถานเดียว”

โซอีถึงกับหลุดขำพรืดออกมา แม้จะเล็กน้อย... แต่ก็สร้างความแปลกใจให้กับชายหนุ่มทั้งสองที่เห็นเธอหัวเราะเป็นครั้งแรก

“ทำอะไรใครไว้ก็คงได้รับผลอย่างนั้น”

“นี่เธอ...ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้ใครอ้วกแบบนั้นนะ มันช่วยไม่ได้นี่...อุก”

ทันทีที่ชาเกลออกรถ เฮคเตอร์ก็หยุดพูดเมื่อรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา เขานอนราบลงบนเบาะหลังแล้วหลับตาหันหน้าหนีไปอีกด้านทันที

หลังจากวางแผนการเดินทางแล้ว ทั้งสามก็แวะตระเวนไปยังร้านเบเกอรี่ขึ้นชื่อหลายร้าน เพื่อซื้อแบบแพ็คกลับบ้านไปให้โซอีค่อยๆ ชิม ชาเกลเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดและเผาเพื่อนรักให้โซอีฟังว่า เฮคเตอร์มักจะมาเกาะเขาขอกินข้าวฟรีเป็นประจำ สุดท้ายทั้งสามก็แวะเข้ามายังร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งหนุ่มหล่อสายเปย์แนะนำว่ามีเมนูของหวานที่ห้ามพลาด

เฮคเตอร์สั่งอาหารจำพวกสเต๊กเนื้ออย่างดีกับของทอดกินเล่น ในขณะที่ชาเกลสั่งสลัดผักผลไม้เพราะเป็นพวกกินมังสวิรัติประเภทไม่เคร่งนัก โซอีเลือกสั่งชุดอาหารสำหรับเด็กที่มีปริมาณอาหารที่พอเหมาะ เพราะเธอยังรอชิมของหวานตามคำแนะนำ และยังมีขนมอีกมากมายรอให้กลับไปชิม ระหว่างรับประทานทั้งสามไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก คงเพราะความหิวที่ต้านทานไม่ได้อีกแล้วนั่นเอง

หลังจบจากมื้อเย็นแสนอร่อย ทั้งสามก็ออกจากร้านโดยมีชาเกลคนเดิมเป็นผู้จ่ายเงิน

“อยากไปไหนอีกรึเปล่า” เฮคเตอร์หันมาถามโซอีก่อนที่พวกเขาจะเดินกลับไปขึ้นรถ

โซอีหยุดเดินแล้วนิ่งมองสภาพเมืองโดยรอบ ขณะนี้เป็นเวลาเพียงสามทุ่มกว่าแต่ผู้คนก็เริ่มบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด ที่นี่คือคาเรมซิตี้ เมืองหลวงของคาเรมซึ่งโดยภาพรวมก็ถือว่าเป็นเมืองที่เจริญแล้ว ใจหนึ่งโซอีก็นึกอยากจะกลับไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง แต่เพราะในตอนนั้นยังเด็กมากและเกิดเรื่องนั้นขึ้น ความทรงจำเกี่ยวกับ ‘บ้าน’ จึงลางเลือนไปด้วยโดยปริยาย เธอจำไมได้ด้วยซ้ำว่าบ้านหลังเก่าของตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน

“คราวหลังถ้าได้วันหยุด เราไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนดีมั้ย น้ำพุร้อนที่นี่ก็ชื่อดังไม่แพ้ของญี่ปุ่นนะ”

โซอีถอนใจ ก่อนจะหันไปมองเฮคเตอร์ด้วยสายตาเอือมระอา

“นายก็คงคิดได้แต่เรื่องลามกแบบนี้สินะ”

“หา...นี่ฉันตั้งใจชวนเธอดีๆ นะ ก็แค่อยากพาไปเที่ยว บ่อน้ำพุร้อนดีต่อร่างกายด้วย”

“ฉันไม่เคยไปบ่อน้ำพุร้อนก็จริง แค่รู้ว่ามันต้องถอดเสื้อผ้าออกทุกชิ้น แต่พวกนายบอกเองว่าห้ามไม่ให้ฉันคลาดสายตา มีทางเดียวที่ทำอย่างนั้นได้คือต้องแก้ผ้าลงแช่บ่อเดียวกันไม่ใช่รึไง”

“เอ่อ...” เฮคเตอร์เถียงไม่ออก เขาไม่เคยมีเจตนาอะไรแต่ทำไมความหวังดีทุกอย่างของเขาถึงได้กลายเป็นเรื่องลามกไปได้

“นอกจากบ่อน้ำพุร้อนแล้วคาเรมก็ยังมีอีกหลายที่ที่น่าไปนะครับ ผมกับเฮคเตอร์ก็ไปปืนเขากันอยู่บ่อยๆ”

“จริงด้วย แบบนั้นก็ดีนะ เอาไว้ไปปืนเขากัน”

“......ฉันต้องอยู่ที่นี่นานขนาดต้องวางแผนเที่ยวระยะยาวเลยใช่มั้ย”

ชายหนุ่มทั้งสองนิ่งอึ้งไป เพราะยิ่งโซอีต้องอยู่ที่นี่นานเท่าไร นั่นก็ยิ่งแปลว่าพวกเขาทำงานได้ช้ามากเท่านั้น

“ไม่ได้หมายความว่าจะโทษพวกคุณ เท่าที่ฟังข้อมูลมาหลายอย่างฉันพอรู้แล้วว่านี่เป็นคดีที่ยากมาก แต่แทนที่จะนึกอยากไปเที่ยว ฉันแค่ห่วงว่าตัวเองจะขาดรายได้เท่านั้น”

“หา...” เฮคเตอร์อุทานขึ้นอย่างงุนงง

“ฉันอยากทำขนมขาย คิดดูสิ มาอยู่ที่นี่ฉันต้องเสียลูกค้าประจำที่อังกฤษหมดเลย แล้วฉันจะเอารายได้ที่ไหนมาใช้ แถมไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่ไปจนถึงเมื่อไหร่ ถ้าไม่ได้ทำงานเงินเก็บที่มีก็คงค่อยๆ หมดไปด้วย”

“เอ่อ...ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ฉันซื้อข้าวให้เธอกินทุกมื้อได้นะ”

“เลิกเกาะเพื่อนกินแล้วค่อยมาพูดคำนี้เถอะ ฉันก็แค่ไม่อยากเกาะใครกินเหมือนนายต่างหาก”

“นี่เธอ...” ให้ตายเถอะ ที่หงุดหงิดกว่าโดนแซะ คือการที่เฮคเตอร์เถียงอีกฝ่ายไม่ออกเช่นเคย!

“ปกติที่นี่เงียบเร็วแบบนี้เลยเหรอคะ เพิ่งจะสามทุ่มแต่ดูไม่ค่อยมีคนแล้ว” โซอีหันไปคุยกับชาเกลที่ดูจะเป็นเรื่องเป็นราวกว่าแทน

“ครับ ปกติที่นี่ก็เป็นแบบนี้แหละ ยกเว้นพวกร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว พวกร้านค้าร้านอาหารต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เปิดดึกสุดแค่สามทุ่มเท่านั้นเอง”

“ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนก็ไม่เงียบขนาดนี้หรอก แต่เหมือนเศรษฐกิจช่วงสิบกว่าปีมานี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คาเรมเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติก็จริง ที่สิ่งที่ดึงดูดที่สุดก็คือจุดแลนด์มาร์คระดับโลกอย่างต้นไวท์แอช...”

เฮคเตอร์หยุดพูดเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรลงไป โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ผู้คนในโลกวิญญาณเชื่อกันว่า ต้นไวท์แอชที่หายไปทั้งต้นอย่างไร้ร่องรอย คือวิญญาณร้ายที่มีแรงอาฆาตต่อตระกูลนักสะกดวิญญาณซึ่งกักขังตนเองไว้มานับพันปี จึงทำให้เกิดเรื่องน่าเศร้านั้นที่มีเพียงโซอีคนเดียวที่รอดชีวิต

คดีที่ยังปิดไม่ได้ ตัวฆาตกรก็ยังตามหาไม่เจอจนถึงทุกวันนี้ และมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่จะเป็นฆาตกรรายเดียวกับที่ออกไล่ล่านักสะกดวิญญาณไปทั่วโลกเมื่อวันก่อน จนพวกเขาต้องไปพาโซอีมาเพื่อคุ้มครองความปลอดภัย

“ขอโทษที ฉันมันปากไม่ดีเอง”

แต่แล้ว...จากที่คิดว่าจะได้เจอคำพูดจิกกัดแสบๆ คันๆ จนรู้สึกเหมือนถูกยิงจนพรุนแล้ว เอคเตอร์ก็ต้องแปลกใจเมื่อโซอีแทบไม่มีปฏิกิริยากับเรื่องนี้เลย

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรือพยายามไม่พูดถึงหรอก เพราะอันที่จริงฉันก็จำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยเกี่ยวกับเรื่องนั้น พ่อกับแม่ก็ไม่เคยพยายามรื้อฟื้นมันขึ้นมา คงคิดว่าปล่อยให้ลืมๆ แบบนี้คงดีแล้ว พ่อเคยบอกว่า หมอวินิจฉัยว่าที่ฉันจำอะไรไม่ได้เลยคงเป็นเพราะฉันช็อคมาก ถึงตื่นอยู่ก็เหมือนคนไม่มีสติไม่รู้สึกตัวไม่คุยอะไรกับใคร เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พ่อกับแม่ตัดสินใจย้ายไปอยู่บ้านของแม่ที่อังกฤษ อาการของฉันเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตใหม่เหมือนจะเริ่มจากตรงนั้น  แต่สุดท้ายแล้วมันก็จบลงที่ตรงนั้นเหมือนกัน เพราะฉันไม่เคยได้ใช้ชีวิตมากเกินกว่าการเป็นเด็กเจ็ดขวบอีกเลย”

เฮคเตอร์อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก กลัวว่าปากพล่อยๆ พูดไม่คิดของตัวเองจะทำให้โซอีรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าเธอต้องใช้ชีวิตตลอดเวลาที่ผ่านมายังไง ยิ่งหลังจากที่พ่อแม่จากไปแล้วต้องใช้ชีวิตในสภาพแบบนี้ตามลำพัง ชายหนุ่มเริ่มพอเข้าใจแล้วว่าทำไมโซอีถึงได้มีสีหน้าไร้อารมณ์แบบนั้นตลอดเวลา ทุกสิ่งรอบตัวเธอคงพรากความสดใสจากชีวิตของผู้หญิงคนนี้ไปหมดแล้ว

ไม่สิ...คงไม่ใช่แค่รอยยิ้ม แต่น้ำตาของเธอก็คงจะแห้งเหือดไปหมดแล้วเหมือนกัน

“โซอี ฉัน...”

“หืม ตัวติดกับพวกนี้ตลอดเวลาแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ฉันจะพาเธอไปได้ซะทีล่ะ... โซอี”

เฮคเตอร์พูดไม่ทันจบ อยู่ๆ ก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา ทั้งสามคนหันกลับไปมองก่อนจะได้พบกับชายหนุ่มผมสีทองหน้าตาดีคนเดิมกับที่เคยเจอในบ้านของโซอีตอนนั้น

“...แก!” ร่างของเฮคเตอร์หายไปทันทีก่อนจะปรากฏขึ้นตรงหน้าคนร้าย พร้อมกับชาเกลที่พุ่งเข้าไปแทบจะพร้อมเพรียงกัน แต่แล้ว... ต่อให้ทั้งสองไวแค่ไหนก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า เมื่อร่างๆ นั้นเลือนหายไปเหลือเพียงอากาศในเสี้ยววินาทีเดียวกัน

ก่อนที่เงาร่างนั้นจะไปปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านหลังของโซอี ย่อตัวลงต่ำ... กระซิบบางอย่างที่ข้างหูของหญิงสาวในร่างเด็กหญิงผู้ไม่ทันได้ตั้งตัว...

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด