02: KAREM CODE ZERO
02
KAREM CODE ZERO
“อุกกก”
ภาพ และ เสียง ที่เรียกความสนใจได้จากคนทั้งห้องคือชายหนุ่มคุ้นตาซึ่งเป็นสมาชิกของหน่วย พร้อมกับเด็กหญิงตัวน้อยที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลตัวโปรดของเฮคเตอร์ไว้ เสื้อซึ่งคลุมร่างกายที่ดูคล้ายว่าจะมีแค่ผ้าเช็ดตัว...
เด็กน้อยยกมือปิดปากที่กำลังจะพ่นทุกอย่างในร่างกายออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เฮคเตอร์หันไปมองโซอีแล้วนึกได้ ที่จริงเขาควรจะพาเธอหายตัวไปห้องน้ำก่อนมากกว่า แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้น คนที่รู้ตัวก่อนและไวกว่าเขาก็ได้พุ่งเข้ามาจับแขนเด็กหญิงไว้ แล้วพาพุ่งออกประตูไปยังห้องน้ำด้วยความไวแสง
จริงสินะ ขืนเขาพาเธอหายตัวติดกันอีกรอบคงจะแย่แน่ เพื่อนจอมแสนรู้คงนึกได้ทันก็เลยรีบมาฉกตัวโซอีไป ผลข้างเคียงจากการถูกเขาใช้พลังพาหายตัวครั้งแรกนั้น ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ จะหญิงหรือชาย ต่างก็อ้วกกันจนไส้แทบบิดทั้งนั้น และก่อนจะถูกท่านรองที่ยืนมองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลงพ่นคำถามประหลาดใส่ เฮคเตอร์ก็รีบหายตัวไปยังจุดที่คิดว่าโซอีถูกพาไปทันที
ทั้งสองคนอยู่ตรงอ่างล้างหน้าในห้องน้ำชาย ‘ชาเกล’ หนุ่มหล่อแห่งกองปราบวิญญาณกำลังช่วยอุ้มโซอีให้ยืดตัวไปจนถึงอ่างล้างหน้าที่สูงเกินไปสำหรับคนที่มีอายุทางร่างกายเจ็ดปี
“เป็นไงบ้าง” เฮคเตอร์ถามพลางมองสภาพดูไม่จืดนั่น
“ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ ยังดีที่มาทัน ไปหาเก้าอี้หรืออะไรที่ยืนได้มาหน่อย”
เฮคเตอร์ทำตามแบบไม่ยอมให้เสียเวลา เขาหายตัวไปเอาเก้าอี้ในสำนักงานมาก่อนจะวางให้โซอียืนบนนั้นเพื่อความสะดวกยิ่งขึ้น ชาเกลใช้มือช่วยจับรวบผมยาวสีดำของเด็กหญิงไว้ก่อนมันจะร่วงไปกองปนกับสิ่งที่อยู่ในอ่าง
เฮคเตอร์ช่วยโซอีเปิดน้ำเพื่อบ้วนปาก ล้างหน้า และพักหายใจเมื่อไม่เหลืออะไรให้ปล่อยออกมาอีกแล้ว
“มีของกินมั้ย” นั่นคือคำถามแรกจากสาวน้อยที่ดูไม่มีแรงเหลือ
“พักก่อนสักหน่อยดีกว่ามั้ย ถ้ายังไม่ดีขึ้นขืนกินเข้าไปอีกมันน่าจะออกมาอีกรอบนะ”
โซอีไม่โต้ตอบกลับ เพียงหันไปมองเฮคเตอร์ด้วยสายตาและสีหน้าที่บ่งบอกว่า ‘อย่าขัดใจคนกำลังอารมณ์เสียและหิว!’
“เอ่อ...นายไปซื้อพวกขนมปังกับน้ำอัดลมหรือพวกเครื่องดื่มน้ำหวานๆ มาหน่อยก็แล้วกัน” ชาเกลไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ชายหนุ่มทั้งสองบุ้ยหน้าโยนใส่กันเล็กน้อยจนในที่สุดร่างของเฮคเตอร์ก็หายวับไป
ชายหนุ่มหายตัวไปโผล่ที่ท้องฟ้าเบื้องบนของสะดวกซื้อที่อยู่เขตรอบเมือง เมื่อสังเกตดีแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นเขาก็โผล่ตัวขึ้นที่ด้านหลังของร้านก่อนจะเดินอ้อมเข้าไปซื้อของ ผู้คนทั่วไปไม่รู้จักการมีตัวตนอยู่ของกองปราบวิญญาณ เขาจึงต้องระมัดระวังในเรื่องการใช้พลัง
ใช้เวลาไม่นานนักก็ได้ของกินเผื่อทุกคนในหน่วยไม่ใช่เฉพาะแค่ของโซอี และเมื่อหายตัวกลับเข้ากองปราบอีกครั้งทั้งชาเกลทั้งโซอีก็ไม่ได้อยู่ในห้องน้ำแล้ว มองตามออกไปนอกประตูก็เห็นได้ว่าเพื่อนของเขากำลังอุ้มยัยตัวเล็กนั่นเดินกลับไปทางสำนักงาน
โซอีนอนหลับตานิ่งในวงแขนของชาเกล พอไม่ได้ทำหน้าบึ้งตลอดเวลาแล้ว เธอก็ดูเป็นเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักจนอยากหยิกแก้มยุ้ยๆ นั่นเล่นทีเดียว ทั้งสามเดินกลับมาถึงกองปราบโดยไม่ได้พูดอะไรให้เกิดเสียงดังรบกวน
แต่แล้ว...
“พี่เฮคเตอร์! ช่วยมาได้หนึ่งคนใช่มั้ย!” เสียงของ เคนเซย์ ชายหนุ่มที่เด็กสุดในหน่วยเคซีโร่ด้วยวัยสิบเก้าปีเอ่ยปากต้อนรับพวกเขาเสียงดังลั่น
โซอีขยับตัวตื่น ในขณะที่เคนเซย์วิ่งเข้ามาใกล้พร้อมกับมองเด็กหญิงด้วยสายตาตื่นเต้น
“น่ารักจัง โชคดีจริงๆ ที่ไปช่วยไว้ทัน” ชายหนุ่มเชื้อสายญี่ปุ่นอมยิ้มแล้วทำท่าจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผู้รอดชีวิต เฮคเตอร์จับมือของรุ่นน้องให้หยุดไว้แล้วเตือนในทันที
“ถ้าไม่อยากตาย...อย่า เชื่อฉันเหอะ น่ากลัวสุดๆ”
โซอีลืมตาขึ้นมา ชาเกลพาเธอไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งของโต๊ะประชุมที่อยู่กลางห้อง เฮคเตอร์แยกไปพูดคุยกับหัวหน้าหน่วยเพื่อแจ้งเรื่องสำคัญ ขณะนี้ทุกคนในหน่วยกลับมากันครบแล้ว รวมถึงผู้บัญชาการสูงสุดของกองปราบวิญญาณที่เปิดประตูเข้ามาพอดี
ทุกคนไปรวมตัวกันที่โต๊ะประชุมกลางห้องโดยไม่ต้องพูดกันมากความ ของกินที่เฮคเตอร์ซื้อมาถูกวางไว้บนโต๊ะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน ส่วนใหญ่หยิบเครื่องดื่มกันไป มีเพียงโซอีที่หยิบขนมปังขึ้นมากินเอาๆ ราวกับหิวโหยมานาน
“โชคยังดีที่เราไปช่วยไว้ได้ทันสองคน อีกคนที่คุณฟอแกนด์พามาเป็นเด็กผู้ชายอายุสิบห้า แต่เขาได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยตอนนี้ก็เลยพาไปฝากไว้ที่แผนกแพทย์วิญญาณ” เมื่อรอจนโซอีกินขนมปังหมดก้อนและยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่มจนวางกลับไว้ตรงหน้า ผู้บัญชาการสูงสุดที่ดูเหมือนคุณลุงใจดีมากกว่าก็เปิดประเด็นขึ้น
“สวัสดีครับคุณโซอี ชามิลเลียร์ ผมคือผู้บัญชาการสูงสุดของกองปราบวิญญาณ ก่อนอื่นต้องขอโทษที่ทำให้ตกใจที่เราพาคุณมาที่นี่ ตอนนี้คุณพร้อมจะพูดคุยกับเราบ้างหรือยัง”
โซอีเหลียวมองผู้ชายต่างวัยหกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะประชุมที่จัดเรียงเป็นวงกลม ก่อนจะตอบออกมา
“ค่ะ ถ้าไม่รีบคุยให้จบฉันคงไม่ได้นอนพักซะที”
เสียงเล็กๆ ที่ฟังอย่างไรก็ยังเป็นเด็กแถมดูอ่อนแรง ช่างขัดกับลักษณะคำพูดของเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง
“ถ้าอย่างนั้นรีบเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ อยู่ๆ สัญญาณการเสียชีวิตของนักสะกดวิญญาณทั่วโลกก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนผิดปกติ และมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าสถานการณ์ฉุกเฉินนี้เกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ แต่ถึงยังไงเราก็ต้องส่งคนไปช่วยผู้ที่ยังมีสัญญาณชีวิตไว้ก่อน คุณถึงได้มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้”
“แล้วช่วยมาได้แค่นี้เหรอคะ ฉันกับเด็กผู้ชายที่ว่าอีกคน”
“นอกจากพวกคุณสองคนแล้ว หน่วยซีโร่ของอีกประเทศก็ช่วยไว้ได้อีกหนึ่งคน นักสะกดวิญญาณบางคนปฏิเสธการช่วยเหลือเพราะดูแลตัวเองได้ก็มี”
“หน่วยซีโร่ของอีกประเทศ... ประเทศอื่นก็มีหน่วยงานแบบนี้เหรอคะ”
“กองปราบวิญญาณมีอยู่ทั่วโลกทุกประเทศครับ แต่คนทั่วไปไม่เคยรับรู้เท่านั้นเอง”
“ทั้งๆ ที่มีกันอยู่ทั่วโลกแบบนั้นก็ยังช่วยคนกันได้แค่นี้เหรอคะ”
เป็นคำพูดที่ทำเอาทั้งโต๊ะเงียบกริบ จนกระทั่ง ฟอแกนด์ บุคคลที่มีภาพลักษณ์เหมือนคุณอาผู้มีไรหนวด หัวหน้าหน่วยเคซีโร่อธิบายขึ้น
“กองปราบวิญญาณมีอยู่ทั่วโลกก็จริง แต่นั่นคือกองปราบวิญญาณทั่วไป ทุกคนไม่ได้มีพลังเคลื่อนย้ายไปมาได้ว่องไวเหมือนเฮคเตอร์ มีแค่สองประเทศในโลกเท่านั้นที่มีนักปราบวิญญาณสายพิเศษเพียงพอที่จะก่อตั้งหน่วยที่ใช้โค้ดซีโร่ได้ ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวหน้าคืออักษรย่อของแต่ละประเทศ โค้ดเลขด้านหลังตั้งแต่เลขหนึ่งขึ้นไปจะเป็นหน่วยที่กำจัดวิญญาณร้ายที่รังควานมนุษย์ แต่โค้ดซีโร่มีหน้าที่จับ ‘คน’ ไม่ได้จับผี หน้าที่ของเราคือไล่ล่าจับกุมผู้มีพลังวิญญาณด้วยกันเองที่กระทำความผิดต่างๆ ดังนั้นในกรณีฉุกเฉินเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า จำนวนคนที่ทำงานออกค้นหาแบบรวดเร็วในระดับใกล้เคียงกับเฮคเตอร์ได้จึงมีน้อยมาก หน่วยของเราเองทั้งหมดรวมกันก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น คุณเอ็ดเวิร์ด จาง รองหัวหน้าหน่วยก็มีความสามารถเชิงวิเคราะห์ไม่ได้ออกภาคสนาม หน่วยซีโร่ของอีกประเทศก็มีแค่สี่คนเท่านั้น ดังนั้นโดยส่วนมากพวกเราจึงไปไม่ทันเวลา...”
จบคำอธิบายยาวเหยียดห้องก็เงียบไปอีกชั่วขณะ โซอีเห็นทุกคนรอบตัวมีสีหน้าไม่ดีนักจึงตัดบทไป
“เข้าใจแล้วค่ะ หวังว่าพวกคุณจะจับคนร้ายได้ไวๆ”
“ว่าแต่...” ชาเกลเกริ่นขึ้นมาแต่ก็ดูเหมือนลังเลเล็กน้อย “ผมอ่านประวัติคุณแล้ว คุณคือเด็กอายุเจ็ดขวบที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเรื่องน่ากลัวเมื่อสิบเก้าปีก่อน แต่มันผ่านมาสิบเก้าปีแล้วทำไมคุณยังดูไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย”
เคนเซย์ซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังไม่รู้เรื่องนี้ถึงกับหันขวับไปมองเด็กหญิงอย่างตกตะลึง
โซอีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนใจออกมา กิริยาที่คนอื่นมองดูแล้วรู้สึกว่าน่ารักมากกว่าจะเห็นว่าหนักใจ
“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ ก็แค่ไม่โตขึ้นเลย”
“ครอบครัวของคุณย้ายไปที่อังกฤษหลังเกิดเหตุการณ์นั้น เราต้องแจ้งอะไรกับพวกเขามั้ยที่พาคุณกลับมาที่นี่” ยังคงเป็นชาเกลที่ถามต่อ
“คงไม่ต้องค่ะ พวกเขาไม่มีใครมีชีวิตอยู่แล้ว”
ทั้งห้องเงียบกริบไปโดยอัตโนมัติ ชาเกลรีบเอ่ยขอโทษออกมาทันที
“...เธอ ...เอ่อ คุณโซอีอาจจะยังเพลียมากเพราะผลกระทบการหายตัวนะครับ อย่าเพิ่งถามเรื่องหนักๆ แบบนี้
เลยให้เธอพักก่อนดีมั้ย” เคนเซย์ทักขึ้นเพื่อทำลายความน่าอึดอัดนี้
“ผมเห็นด้วย ให้เธอหายดีก่อนแล้วลองให้แพทย์วิญญาณของเราตรวจดูก่อนดีกว่า เราอาจจะรู้สาเหตุที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็ได้” เฮคเตอร์ที่เงียบมานานมีโอกาสได้พูดเสียที
“นั่นสินะ แบบนั้นคงจะดีกว่า ยังไงอยู่ที่นี่ก็น่าจะปลอดภัย จนกว่าเราจะคลี่คลายคดีไล่ล่านักสะกดวิญญาณได้ คงต้องให้คุณโซอีอยู่ที่นี่ไปก่อน ที่แผนกแพทย์วิญญาณกับแผนกวิจัยดูเหมือนจะมีห้องรับรอง ผมว่าเราน่าจะให้......”
เมื่อได้ยินคำว่าแผนกวิจัยของผู้บัญชาการสูงสุด โซอีก็หันไปจ้องหน้าเฮคเตอร์ในทันที แต่คนที่ขัดขึ้นมากลับกลายเป็นชาเกล
“ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นะครับ จริงอยู่คุณหมออนาเซียก็เป็นผู้หญิงอยู่ด้วยคงสะดวกใจกว่า แต่งานของแพทย์วิญญาณก็ยุ่งตลอด และเราก็ควรให้เธออยู่กับคนที่มีพลังคุ้มกันเธอได้ดีกว่าครับ”
“ก็จริงนะ ถ้าอย่างนั้นคงต้องฝากไว้กับพวกคุณแล้วล่ะ ในกองปราบวิญญาณทุกคนต่างก็ยุ่งพอกันหมด แต่มีแค่คนในหน่วยเคซีโร่เท่านั้นที่มีความสามารถในการติดตามที่สะดวก แถมยังคุ้มกันคุณโซอีได้อีกด้วย แล้วก็ยังมีเด็กหนุ่มคนนั้นอีกคนด้วย ทั้งสองคนอาจจะเป็นนักสะกดวิญญาณที่เหลือเพียงไม่กี่คนในโลก คนร้ายก็ยังจับตัวไม่ได้ เราจะปล่อยให้พวกเขาคลาดสายตาไม่ได้เด็ดขาด ฝากพวกคุณด้วยก็แล้วกัน”
“งั้น...หัวหน้ารับเด็กผู้ชายที่พามาไปดูแลเถอะครับ ส่วนคุณโซอีก็ให้ไปอยู่กับเฮคเตอร์” เป็นชาเกลคนเดิมที่จัดแจงทุกอย่างให้เสร็จสรรพ
“ทำไม” ฟอแกนด์ หัวหน้าหน่อยถามอย่างข้องใจ
“ก่อนอื่นคือผมไม่ได้อยู่คนเดียวเลยไม่สะดวก เคนเซย์เองช่วงกลางวันก็ติดเรียนคงไม่ว่างดูแลตลอด ท่านรองเองก็คงจะดูแลความปลอดภัยได้ยาก เหลือแค่หัวหน้ากับเฮคเตอร์เท่านั้น แต่...ทุกคนก็รู้ใช่มั้ยว่าไม่ควรปล่อยหญิงสาว เด็กสาว โดยเฉพาะ ‘เด็กหญิง’ ไปอยู่กับหัวหน้าจอมลามกของเรา”
“เดี๋ยวๆ...พวกแกนี่ไว้หน้าฉันบ้าง” ไม่มีใครสนใจคำประท้วงของฟอแกนด์
“ดังนั้นก็ให้เด็กผู้ชายไปอยู่กับหัวหน้า คุณโซอีไปอยู่กับเฮคเตอร์ที่คล่องตัวที่สุดในหน่วยเราก็น่าจะลงตัวแล้ว”
เฮคเตอร์หันไปมองโซอีก่อนจะอมยิ้มเหมือนคนได้ของเล่นชิ้นใหม่
“ไม่มีที่ให้อยู่คนเดียวได้เหรอคะ ฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับใคร”
“ผมเพิ่งย้ายออกจากห้องพักเก่าที่เคยอยู่กับเฮคเตอร์เมื่อไม่นานมานี้ ที่นั่นมีสองห้องนอน อย่างน้อยคุณก็จะมีห้องนอนส่วนตัว…” โซอีถอนใจออกมาอีกครั้ง ราวกับยอมรับเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้นี่แล้ว
“ฉันต้องกลับไปเอาของค่ะ ตอนนี้ฉันไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะใส่สักชิ้น…”
ทุกคนมองที่โซอีก่อนจะหันกลับไปที่เฮคเตอร์ด้วยสายตาเคลือบแคลง มันน่าสงสัยแต่แรกแล้วว่าทำไมโซอีถึงโผล่มาในสภาพนี้ได้
“ทำไมไม่ให้คุณโซอีเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยพามา” หนนี้เป็นเสียงของรองหัวหน้าหน่วยที่รอถามเรื่องนี้มานาน
“เอ่อ...ผมรีบไปหน่อยเลยลืมไป เดี๋ยวจะพากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
“แต่ถ้าขืนหายตัวอีกรอบตอนนี้ร่างกายคุณโซอีอาจจะไม่ไหว ตอนนี้ก็ยังดูไม่ดีขึ้นเท่าไหร่เลย” ชาเกลท้วงขึ้นมา
“จริงแฮะ ถ้าไม่พักฟื้นอีกสักหน่อยแล้วไปเลยอีกรอบ มีหวังไส้บิดกลับหัวกลับหางจนอ้วกไม่ออกแน่ๆ เดี๋ยวฉันจะกลับไปเอามาให้เธอเปลี่ยนก็แล้วกันนะ”
โซอีหันไปมองตาขวางใส่เฮคเตอร์ และท่านรองของหน่วยที่ถึงกับขว้างปากกาใส่ผู้ยกข้อเสนอนั้นมา
“อะไรเนี่ย! เอ็ดจัง”
เอ็ดเวิร์ด จาง หรือที่เด็กๆ ในหน่วยชอบเรียกอย่างสนิทสนมว่าเอ็ดจังใส่กลับทันที
“ไอ้เด็กบ้า แกลองคิดถึงจิตใจคุณโซอีตอนที่ต้องใส่ชุดชั้นในที่แกเลือกหยิบมาให้หน่อยสิ เธอไม่ใช่เด็กนะ”
“เอ่อ...”
ชายหนุ่มทุกคนทำหน้าบอกไม่ถูกขึ้นมาทันที
“งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยู่ไปแบบนี้ไปก่อนก็ได้ รอให้ดีขึ้นแล้วค่อยกลับไป ตอนนี้ฉันแค่อยากหาที่นอนพักเท่านั้น”
เมื่อเจ้าตัวออกปากมา ทุกอย่างจึงเป็นตามนั้นไปโดยปริยาย
“งั้นเดี๋ยวเบรกกันสักหน่อย เรายังต้องประชุมเรื่องสำคัญกันต่อคุณจะช่วยนอนรอที่นี่ก่อนได้มั้ย เสร็จจากนี้เดี๋ยวเฮคเตอร์จะพาคุณกลับที่พักเอง” ผู้บัญชาการสูงสุดกล่าวปิดประเด็น
“ยังไงก็ได้ค่ะ ขอแค่มีที่นอนกับของกินตอนตื่นขึ้นมาเท่านั้น”
จบประโยคนี้ทุกคนก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ฟอแกนด์เดินไปดูอาการของเด็กหนุ่มอีกคนที่แผนกพยาบาล เอ็ดเวิร์ดกับเคนเซย์ เดินไปเก็บข้าวของที่วางรกบนโซฟาตัวยาวออก ชาเกลเหมือนจะเดินไปหาขนมกับเครื่องดื่มมาเพิ่ม เฮคเตอร์อยู่เป็นเพื่อนโซอีจนกระทั่งโซฟาจัดแจงเสร็จ แล้วหญิงสาวในร่างเด็กหญิงก็ขึ้นไปนอนขดอยู่บนนั้น
เห็นภาพนั้นแล้วเฮคเตอร์ก็นึกขึ้นได้ เขารีบหายตัวกลับไปยังบ้านของโซอีที่อังกฤษแล้วหยิบหมอนกับผ้าห่มขึ้นมา ก่อนจะเหลือบไปเห็นตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลที่อยู่บนเตียง พิจารณาอยู่เล็กน้อยแล้วก็หยิบติดมือกลับมาด้วย
โซอีที่ใช้แขนหนุนหัวตัวเองอยู่ลืมตาขึ้นเมื่อเฮคเตอร์สะกิดเรียก เขาสอดหมอนให้เธอหนุนวางตุ๊กตาไว้ใกล้ๆ ก่อนจะห่มผ้าให้เสร็จสรรพ
“...ขอบคุณ”
“พักผ่อนเถอะ ยังไงก็คงต้องพาเธอกลับไปเก็บของอีกรอบ ถ้าไม่ดีขึ้นจะแย่เอา”
พูดจบเฮคเตอร์ก็หันหลังเดินกลับไปยังโต๊ะประชุมที่เก่า ซึ่งตอนนี้ฟอแกนด์ใช้พลังสร้างผนังกระจกชั่วคราวขึ้นมาเพื่อไม่ให้เสียงไปรบกวนคนพักผ่อน โซอีได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไปจนกระทั่งตาปิดลงอีกครั้งเมื่อนอนได้สบายขึ้น
เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าเริ่มสว่างและคนในห้องก็หายกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงเฮคเตอร์ที่นั่งกดมือถืออยู่บนเก้าอี้ทำงานพาดขาไว้บนโต๊ะ
“ตื่นแล้วเหรอ” ชายหนุ่มทักขึ้นเมื่อหันมาเห็นว่าเด็กหน้าบึ้งตื่นนอนแล้ว
“ฉันดีขึ้นแล้วกลับไปเอาของเลยก็ได้” พูดจบโซอีก็หยิบคุกกี้ที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมากินสองชิ้นก่อนจะดื่มน้ำตาม
“เตือนไว้ก่อนนะ ถ้าหายตัวกลับไปที่อังกฤษ เธออาจจะเป็นเหมือนเมื่อคืนอีกรอบ”
“ถ้าฉันลุกมาเก็บของไม่ไหว ฉันจะนั่งสั่งให้นายเก็บให้ก็แล้วกัน”
เฮคเตอร์ได้แต่นิ่งฟังตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะแล้วยักไหล่ราวกับมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
ทั้งสองหายตัวกลับไปยังบ้านที่อังกฤษอีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาแต่โซอีก็รู้สึกว่ามันเหมือนการวิ่งทะลุผ่านมิติอะไรสักอย่าง ที่รอบตัวมีแต่โพรงที่มีลายเป็นเส้นสายเคลื่อนไหวได้ย้ายไปมาตลอดเวลา และน่าเวียนหัวที่สุด
เมื่อถึงห้องนอนของโซอี ร่างของเด็กหญิงก็หน้ามืดจนเหมือนจะวูบไปเลยทีเดียว แต่เธอก็ถูกเฮคเตอร์หอบหิ้วขึ้นมาแล้วพาไปที่ห้องน้ำเมื่อทำท่าปิดปาก หลังปล่อยทุกอย่างออกจนโล่งแล้ว อาการของโซอีก็ดูจะดีขึ้นกว่าการหายตัวครั้งแรกอยู่มากพอตัว
“ไหวมั้ย จะเอาอะไรบ้างบอกมาให้ฉันเก็บให้ก็ได้ เอาที่พอใช้ก่อนสักอาทิตย์ ให้เธอชินกับพลังนี้มากขึ้นแล้วจะพากลับมาเก็บใหม่”
“ไม่เป็นไร ขอพักห้านาที แต่ก่อนเก็บของฉันคงต้องหาของกินก่อน”
ถึงจะแปลกใจไม่น้อยที่เธอดูจะ ‘กิน’ ตลอดเวลา กินขนาดนี้ทำไมถึงไม่โตขึ้นเลย แต่เขาก็ไม่ได้ท้วงติงอะไรแล้วเดินตามโซอีลงไปที่ห้องครัวชั้นล่างของบ้านหลังจากห้านาทีผ่านไป
อาหารง่ายๆ อย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองกระป๋องถูกหยิบออกมา เฮคเตอร์ให้โซอีนั่งพักก่อนที่เขาจะจัดแจงทุกอย่างให้ ระหว่างรอน้ำร้อนเดือดชายหนุ่มจึงได้มีโอกาสมองสำรวจสภาพโดยรอบของห้อง เมื่อมองอุปกรณ์ทำขนมต่างๆ แล้วหันกลับไปมองร่างของเด็กหญิงที่กำลังนั่งหลับตานิ่งแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกทึ่งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
เธอคงอยู่ที่นี่คนเดียวจริงๆ ใช้ชีวิตกับห้องครัวที่มีสภาพเหมือนโรงงานทำเบเกอรี่ย่อมๆ โซอีเองก็คงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาเลี้ยงตัวเองด้วยสองมือเล็กๆ นั่น
“โซอี... คดีไล่ล่านักสะกดวิญญาณนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ฉันจะพยายามจับตัวพวกที่ตามล่าพวกเธอให้ได้เร็วที่สุด เธอจะได้กลับมาใช้ชีวิตอิสระได้อีกครั้ง”
ผู้ถูกเรียกลืมตาขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองเฮคเตอร์ด้วยสายตาว่างเปล่าเช่นเคย...
“ไม่ว่านายจะจับคนร้ายได้เมื่อไหร่ ต่อให้ฉันอยู่ที่ไหนก็ตาม สำหรับฉัน...ทุกๆ ที่ก็คือนรกเหมือนกันนั่นแหละ...”