01 : 7 + 19 = ?
บทนำ
ติง..
ในดินแดนอันเงียบสงัดไร้แม้เสียงลมหายใจ เพียงแค่เสียงหยดน้ำก็สามารถปลุกให้เด็กหญิงคนหนึ่งตื่นขึ้นจากฝัน ท่ามกลางป่าหนาทึบมืดมิดราวกับไร้ขอบเขตสิ้นสุด โซอีลืมตาขึ้นมาพบอะไรบางอย่างที่สว่างไสวอยู่รอบตัว
มันคือกิ่งก้านของต้นไม้ขนาดมหึมาที่ผลิใบเป็นสีขาวเรืองแสงอยู่ในความมืด เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบหันมองรอบทิศอย่างรู้สึกตื่นตา ความอ่อนล้าจากการวิ่งมายาวนานอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยได้ออกแรง
ใช่แล้ว โซอีนึกได้ว่าตัวเองแอบหนีออกจากที่นั่นเพื่อกลับบ้าน แต่วิ่งผ่านป่ามานานแล้วก็ไม่เห็นทางออกเสียที ฟ้ามืดแล้ว เธอหิว เธอเหนื่อย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเด็กหญิงอยากจะหนีออกจากนรกแห่งนั้นให้พ้น
โซอีลองเดินไปสัมผัสลำต้นสีขาวขนาดใหญ่ของต้นไม้พันปี ต้องเป็นต้นนี้แน่ๆ ที่ใครต่อใครก็พูดกันว่ามันคือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมไปสู่นรกกับสวรรค์ แน่นอนว่าผู้คนในคาเรมทุกคนเคยเห็นมัน เธอเองก็เช่นกันแต่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้เกินกว่าอาณาเขตหวงห้าม
“ต้นไวท์แอช…”
“ทุกคนเรียกข้าว่าเช่นนั้นหรือ”
ขณะพึมพำชื่อต้นไม้ที่จำได้ เสียงของชายคนหนึ่งก็ขานตอบรับจนโซอีสะดุ้ง เด็กหญิงหันมองรอบตัวก่อนจะเกิดเสียงหัวเราะจากเสียงๆ เดิม
“ไม่ต้องกลัว... ข้าไม่ทำร้ายใคร”
“คุณเป็นวิญญาณต้นไวท์แอชเหรอ อยู่ในนั้นมีนรกสวรรค์จริงรึเปล่า” เด็กหญิงโพล่งถามสิ่งที่อยากรู้ขึ้นมาก่อนในทันที
“อยากรู้ก็ลองเข้ามาดูเองไหมล่ะ”
“...ไม่เอา หนูยังไม่อยากตาย คนเราต้องตายก่อนถึงจะไปนรกกับสวรรค์ไม่ใช่เหรอ”
“ถึงยังไม่ตายนรกหรือสวรรค์ก็จะอยู่กับเจ้าทุกที่เช่นเดียวกัน มีเพียงนักสะกดวิญญาณที่สามารถแตะต้องต้นไม้นี้ได้ เจ้าเป็นนักสะกดวิญญาณหรอกหรือ”
“หนูไม่อยากเป็น แค่หนูมีพลังแปลกๆ ทุกคนก็บังคับให้หนูฝึกหนัก หนูไม่อยากอยู่ที่นั่นแล้ว หนูอยากกลับบ้าน หนูอยากกลับไปหาพ่อกับแม่”
“พลังแปลกๆ... แปลกอย่างไรล่ะ”
“ท่านอาจารย์บอกว่าหนูมีพลังในแบบที่คนอื่นไม่มี หนูคลายคาถาสะกดของคนอื่นได้ แต่หนูก็สะกดอะไรไม่ได้เลยเหมือนกัน หนูพยายามแล้วแต่ก็ทำไม่ได้”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เงียบนานจนเด็กหญิงเอียงคอสงสัย
“คุณต้นไม้หายไปไหนแล้ว”
“ข้าไม่ได้ไปไหน ข้าอยู่ที่นี่มานานแสนนาน และคงจะต้องอยู่ตลอดไป”
“แบบนี้ก็เหงาแย่เลยสิ เอาไว้ถ้าออกจากป่าได้แล้ว หนูจะกลับมาคุยกับคุณใหม่นะ”
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจ...เด็กน้อย ให้ข้าได้ช่วยเจ้าเถิด ข้ารู้ทางในป่าแห่งนี้ดี ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านดีไหม”
เด็กน้อยอ้าปากเหวอรีบตอบรับอย่างดีอกดีใจ เธอจะได้ออกจากป่านี้แล้วกลับบ้านซะที
“แตะมือทั้งสองไว้ที่ข้า ข้าจะส่งพลังความรู้เกี่ยวกับป่านี้ให้เพื่อไม่ให้เจ้าหลงทาง จงเปิดหัวใจ... แล้วทำตามที่ข้าบอกนะ”
ทว่า...ทันทีที่แตะสองมือลงบนเปลือกไม้สีขาว และทำตามคำกล่าวของวิญญาณต้นไม้ ระเบิดแสงก็ปะทุขึ้นเป็นวงกว้างพร้อมกับสติของเด็กหญิงที่ไม่ได้เป็นของตัวเองอีกต่อไป...
ยามรุ่งสางที่ฟ้าเริ่มสว่างใส เสียงกรีดร้องของผู้คนในคฤหาสน์ชามันด์ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หยดเลือดไหลนองตามศพที่ล้มลงบนพื้นศพแล้วศพเล่า ไม่มีใครหยุดยั้งได้ ไม่มีใครคนใดหนีพ้น ไม่แม้แต่ผู้นำตระกูลที่ว่ากันว่าเป็นนักสะกดวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน
ชุดนอนกระโปรงมีฮู้ดเป็นหูหมีแสนน่ารักของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเต็มไปด้วยคราบเลือดที่สาดกระเซ็น เด็กน้อยหยุดยืนอยู่นิ่งเมื่อรู้สึกได้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่ในคฤหาสน์อันกว้างใหญ่แห่งนี้อีกแล้ว
รอยยิ้มที่มุมปากผุดขึ้นท่ามกลางดวงตาเลื่อนลอยซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตา ทันทีที่มีดทำครัวเปื้อนเลือดในมือหล่นลงพื้น เด็กหญิงที่ราวกับตื่นได้สติก็กรีดร้องสุดเสียงกับภาพที่เห็นรอบตัว ก่อนจะฟุบล้มลงตรงนั้นแล้วหมดสติไป
วิญญาณของเด็กหญิงดำดิ่งลงสู่ความมืด จมลงลึกสู่ก้นบึ้งจนไม่อาจหาทางกลับขึ้นมา...
01
7 + 19 = ?
19 ปีต่อมา
“นี่ก็ไม่ทัน บ้าจริง!”
เสียงสบถของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นอย่างหัวเสียเมื่อได้เห็นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า
สภาพชายวัยกลางคนที่นั่งแผ่หลาอยู่บนโซฟาด้วยสภาพซูบโทรม ปากที่ยังอ้าค้างจากความเจ็บปวดและหวาดกลัวนั้นยืนยันถึงสถานะการเป็นศพได้เป็นอย่างชัดเจน
ศพที่ไม่ได้ตายตามแบบปกติของมนุษย์ แต่โดนสูบกลืนกินวิญญาณจนหมดลมหายใจ ยิ่งถ้าผู้ตายคือ ‘นักสะกดวิญญาณ’ ชั้นกลางๆ ตามข้อมูลที่ระบุไว้แล้วล่ะก็ เป็นไปไม่ได้เลยที่ ‘ดิคเคนส์--วิญญาณที่กลายสภาพเป็นสีดำเมื่อดูดพลังชีวิตมนุษย์’ ทั่วไปจะจัดการเขาได้โดยง่าย หากไม่ใช่ดิคเคนส์ระดับสูง ก็คงเป็น ‘ผู้มีพลังวิญญาณ’ ด้วยกันนี่เอง
เฮคเตอร์ต่อโทรศัพท์หาเพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุด เมื่ออีกฝ่ายรับสายชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ก็พูดขึ้นในทันที
“รายชื่อทางนี้ครบแล้ว ไม่มีใครรอดเลย”
“ทางฉันเหลืออีกสามราย นายเอาไปหนึ่งชื่อแล้วกันเผื่อทันเวลา จะส่งข้อมูลให้เดี๋ยวนี้”
“โอเค”
หลังกดวางสายไม่กี่วินาที เสียงสัญญาณเตือนข้อมูลเข้าในโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเฮคเตอร์กดเข้าไปดูที่อยู่ หน้าตา และชื่อพอเป็นการยืนยันตัวเป้าหมายได้คร่าวๆ เงาร่างของ ‘นักปราบวิญญาณ’ สังกัด ‘Karem Zero’ ก็หายวับไปทันที
จากกรุงโรมในอิตาลี สู่ลอนดอนที่อังกฤษในเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ พลังวิญญาณสายพิเศษที่สามารถ ‘หายตัวได้’ นั้นเป็นพลังหายากที่ไม่ปรากฏมาร่วมแปดร้อยปีแล้ว เฮคเตอร์หายตัวไปยังจุดแลนด์มาร์คซึ่งใกล้เคียงกับที่อยู่ตามข้อมูลที่สุด แม้หายตัวได้แต่มันก็มีข้อจำกัดว่าจะต้องเป็นสถานที่ที่เขารู้จักและเคยไปมาก่อนเท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรค เมื่อเฮคเตอร์ใช้พลังร่วมกับจีพีเอสค้นหาที่ระบุตำแหน่งเป้าหมายไว้ เพียงแค่หายตัวไปยังจุดสุดสายตาตามทิศทางที่ระบุเท่านั้น ใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็เดินทางมาถึงบ้านเดี่ยวสองชั้นย่านชานเมืองซึ่งเป็นจุดกะพริบบนเครื่องมือ เมื่อตรวจสอบที่อยู่ว่าถูกต้อง เฮคเตอร์ก็หายตัวเข้าไปในภายในชั้นล่างของบ้านที่เปิดไฟทิ้งไว้ทันที สถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้คงไม่ใช่เวลามากดกริ่งแน่นอน
กลิ่นหอมกรุ่นของขนมอบลอยคุ้งในอากาศ นอกจากเตาอบแล้วแม้จะไม่รู้เลยว่าเครื่องมือมากมายภายในห้องคืออะไร แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่ามันคือครัวที่เอาไว้ทำเบเกอรี่แน่นอน เมื่อไม่พบเงาร่างของใครเขาจึงเคลื่อนย้ายตัวไปยังชั้นสองซึ่งน่าจะเป็นห้องนอนของบ้าน อีกหนึ่งจุดที่เปิดไฟสว่างจากที่สังเกตตอนก่อนเข้ามา
เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้นพร้อมกันกับที่เงาร่างของเฮคเตอร์ปรากฎขึ้นในห้องพอดี
“.............”
และความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กหญิงตัวเล็กน่ารัก อายุไม่น่าเกินสิบขวบ หัวเปียก ที่พันเพียงผ้าเช็ดตัวปกปิดกาย กับชายหนุ่มมาดเท่ ผมสีน้ำตาล ผิวสีแทน โตเต็มวัยยี่สิบสี่ คือระเบิดเวลาถอยหลังให้เด็กหญิงได้หยิบทุกอย่างที่คว้าได้ขว้างใส่ผู้บุกรุก!
“แกเป็นใคร! ไอ้บ้า! ไอ้โรคจิต! ถ้าไม่อยากตายออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
“เดี๋ยว! ฟังที่ฉันพูดก่อน ฉันไม่ใช่คนร้าย อย่าร้องสิ เดี๋ยวข้างบ้านแตกตื่นกันหมด” เฮคเตอร์เพียงยกแขนปัดป้องข้าวของที่ปาเข้ามา ดูท่า... เด็กน้อยคงตกใจจนไม่ฟังเขาง่ายๆ แน่
“หยุดนะ! อย่าเข้ามานะ! ออก...” คำพูดของเด็กหญิงชะงักไป เมื่อร่างของผู้ชายตรงหน้าหายไปดื้อๆ ก่อนจะปรากฏตัวที่ด้านหลัง แล้วรวบตัวเธอเข้าไปปิดปากไว้
เด็กหญิงดิ้นสู้สุดชีวิต และกัดมือของเฮคเตอร์เข้าอย่างแรงจนเขาต้องปล่อยมือออกมา
“ปล่อยฉัน!”
“เธอใช่มั้ย โซอี ชามิลเลียร์”
“ใช่แล้วยังไง ต้องการอะไร ปล่อยนะ ถ้าไม่อยากตายอย่ามาแตะต้องตัวฉัน!”
“ปล่อยก็ได้แต่เลิกโวยวายแล้วมาคุยกันดีๆ ก่อน ถึงจะยังเด็กแต่เธอก็เป็นนักสะกดวิญญาณใช่มั้ย”
เด็กหญิงเลิกดิ้น เลิกร้อง เมื่อได้ยินคำว่านักสะกดวิญญาณ เฮคเตอร์ปล่อยตัวหนูน้อยเมื่อเห็นว่าเธอน่าจะสงบลงแล้ว ทว่า...ทันทีที่เขาปล่อยมือ ผ้าเช็ดตัวที่พันตัวเด็กหญิงไว้ก็หลุดลงพื้นเช่นกัน
“............”
แรงลมที่พัดผ่านเข้าในห้องจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้คือเสียงเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ก่อนจะ...
เพียะ! โซอีที่ทั้งอายทั้งโมโห รีบรวบผ้าเช็ดตัวขึ้นก่อนจะหันกลับไปตบหน้าชายหนุ่มสุดแรง
“เอ่อ...โทษที ฉันไม่ได้......!”
ทว่า ขอโทษไม่ทันจบเฮคเตอร์ก็หยุดพูดแล้วก้าวออกมายืนอยู่หน้าเด็กหญิง โซอีได้แต่มองตามไป ก่อนจะพบชายหนุ่มผมสีทองหน้าตาดีมากคนหนึ่ง ซึ่งโผล่มาจากทางไหนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบ แขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกคนในวันนี้
“แย่จริง...”
ผู้มาเยือนใหม่สบถออกมาทันทีราวกับเจอเรื่องน่ารำคาญ
“แกเองสินะ ที่กำลังออกไล่ล่านักสะกดวิญญาณทั่วโลกตอนนี้”
“เล่นถามตรงๆ แบบนี้คือจะให้ยอมรับแล้วแอบอัดคลิปไว้เป็นหลักฐานจับฉันรึไง”
“ฮึ โชคร้ายหน่อยนะที่แกดันมาเจอฉัน ต่อให้ไม่ยอมรับตอนนี้แกก็จะถูกจับให้ไปรับสารภาพเองนั่นแหละ”
ก่อนที่เฮคเตอร์จะได้พุ่งเข้าใส่ เงาร่างของชายหนุ่มผมทองก็กระโดดถอยหลังออกไปยังริมหน้าต่างที่เปิดอยู่ เกิดแสงสีดำขึ้นตรงหน้าก่อนจะกลายร่างเป็นเงาสีดำวูบไหวลักษณะคล้ายมนุษย์
เมื่อได้เห็นพลังนั้นเฮคเตอร์ก็ระงับอาการของตัวเองไว้ไม่ให้แตกตื่น! นี่สินะ เจ้าตัวการรายใหญ่ที่กองปราบวิญญาณพยายามควานหามานาน จะต้องเป็นหมอนี่แน่ๆ ถึงได้ปล่อยดิคเคนส์ตัวเป็นๆ ออกมาต่อหน้าต่อตากันขนาดนี้ได้
“มีแต่พวกโง่มากไม่ก็บ้าไปแล้วเท่านั้นแหละ ที่คิดจะสู้กับพวกเคซีโร่อย่างนายตัวต่อตัว ฝากไว้ก่อนเถอะ แล้วฉันจะกลับมารับเธอ...โซอี”
พูดจบร่างของชายหนุ่มผมทองก็เลือนหายไปในทันที เฮคเตอร์ขมวดคิ้วอย่างมีข้อสงสัยถึงขีดสุดกับรูปแบบของพลังเมื่อครู่
แต่สิ่งที่คนร้ายทิ้งไว้ก่อนจากก็ดึงสติของเฮคเตอร์กลับมา เขาปล่อยดิคเคนส์ไว้แบบนี้ไม่ได้ ต่อให้ใช้เวลาไม่นานในการพาเด็กคนนี้ไปส่งที่กองปราบก่อนจะกลับมาที่นี่ใหม่ แต่ในเสี้ยววินาทีจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ทั้งนั้น ผีร้ายอาจจะลอยหายไปสูบวิญญาณผู้คนบ้านอื่นไปแล้ว ต้องกำจัดมันที่นี่ตอนนี้เท่านั้นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
“มีใครอยู่ในบ้านอีกมั้ย” เฮคเตอร์ถามขึ้น
“ไม่มี” โซอีที่เริ่มหน้าซีดตอบกลับในขณะก้าวถอยหลังไปจนชนประตู
ชายหนุ่มกระชับถุงมือที่ใช้เป็นอาวุธแล้วปลดล็อคเร่งพลัง ก่อนจะพุ่งไปชกใส่ดิคเคนส์ที่ยังนิ่งไม่ขยับเต็มแรง
แต่แล้วมันกลับไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาด จุดที่ชกเหมือนมีรอยไหม้เป็นควันสีขาวลอยฟู่ขึ้นเพียงเบาบาง มิหนำซ้ำการโจมตีเมื่อกี้กลับกลายเป็นการกระตุ้นให้การต่อสู้ที่แท้จริงเริ่มขึ้น ดิคเคนส์ที่นิ่งเริ่มขยับแล้วพุ่งเข้ามาในทันที
เฮคเตอร์หายตัวตามมาปัดออกให้มันลอยไปอีกทางได้ทัน ดิคเคนส์เริ่มเคลื่อนไหวไปมาเร็วขึ้นทั่วห้องราวกับรอจังหวะโจมตี จนโซอีที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เริ่มมองตามไม่ทัน
“ซวยแล้ว” นั่นสิคำเดียวที่เฮคเตอร์นึกได้และพูดออกมา เขายังยืนบังอยู่ด้านหน้าโซอี จ้องการเคลื่อนไหวนั้นเพื่อเตรียมรับการจู่โจมพร้อมกับค้นหาทางเลือก
เฮคเตอร์เป็นคนที่ว่องไวที่สุดในหน่วย ซึ่งตอนนี้เกือบทุกคนออกปฏิบัติภารกิจฉุกเฉินนี้กันหมด เขาน่าจะเป็นคนแรกที่ค้นหาคนจนครบตามรายชื่อ ต่อให้ติดต่อใครตอนนี้คนอื่นก็น่าจะยังตามหาเป้าหมายของตัวเองกันอยู่
นักปราบวิญญาณสายพิเศษอย่างเขาไม่ได้มีพลังในการสลายวิญญาณร้ายพวกนี้เหมือนนักปราบวิญญาณทั่วไป จึงต้องอาศัยอุปกรณ์ต่างๆ และเทคโนโลยีเข้าช่วยอย่างที่เขาใช้ถุงมือ เหล่าวิญญาณไม่เคยกลัวเขา คนร้ายที่เป็น ‘คน’ ด้วยกันเองต่างหากที่เห็นเขาแล้วต้องรีบหนีไปให้ไกล
และแม้อุปกรณ์ต่างๆ จะอัดพลังสลายวิญญาณให้เป็นอาวุธได้ แต่มันก็มีพลังจำกัดและกำจัดได้แค่ดิคเคนส์ระดับต่ำจนถึงระดับกลางๆ เท่านั้น เมื่อครู่เขาลองใช้พลังจากถุงมือไปเกือบครึ่งแต่กลับไม่ส่งผลอะไร ดิคเคนส์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้เรียกได้อยู่ในระดับ 3 หรือ 4 ที่เป็นเลเวลกลางค่อนไปสูงแล้วแน่ๆ เขามีโอกาสใช้ถุงมือชาร์จใส่ไอ้ตัวเด้งดึ๋งสีดำนี่แบบเต็มแรงอีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
เฮคเตอร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อค สวมหูฟังบลูทูธอย่างว่องไว ใช้คำสั่งเสียงต่อสายหาใครหนึ่งก่อนจะโยนโทรศัพท์ให้โซอีถือ
“โซอี เธอชื่อโซอีสินะ ถ้ามีคนรับสายเมื่อไหร่ให้พยายามจับภาพวิดีโอไอ้ตัวดำๆ นี่ให้นิ่งที่สุดนะ ทำได้ใช่มั้ย”
โซอีไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพียงแต่มองโทรศัพท์สลับกับคนที่โยนสิ่งนี้ให้เธอไปมาเหมือนทำอะไรไม่ถูก
“ท่านรอง เหตุฉุกเฉิน ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลมันหน่อย”
เมื่อปลายทางรับสายเฮคเตอร์ก็พูดขึ้นทันที อีกสองมือก็คว้าปืนพกเก็บเสียงอัดพลังวิญญาณสองกระบอกที่คาดไว้ตรงเข็มขัดออกมายิงสกัดใส่ดิคเคนส์ที่พยายามพุ่งเข้ามา กระสุนแต่ละนัดที่โดนนั้นเพียงแค่ทำให้ชะงักได้ชั่วคราว ก่อนจะเริ่มต้นจู่โจมใหม่ในทันที
“ภาพสั่นเกินไปประมวลผลไม่ได้ ทำให้นิ่งกว่านี้ได้มั้ย” เมื่อปลายสายบอกเช่นนั้น เฮคเตอร์ก็หันไปมองเด็กน้อยที่ยืนถือโทรศัพท์มือสั่นอยู่ด้านหลัง จริงสินะ เขาเองก็ลืมไปว่าโซอียังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่ไม่ร้องไห้งอแงดังลั่นก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
เฮคเตอร์ยิงปืนรัวออกไปอีกหลายนัดจนกระสุนหมดเพื่อถ่วงเวลาให้ดิคเคนส์ชะงักนานขึ้น ก่อนจะก้าวถอยหลังมาจับมือที่จับโทรศัพท์ของเด็กหญิงไว้
“ไม่ต้องกลัวนะ ทุกอย่างจะไม่เป็นไร เชื่อฉันสิ”
ในเสี้ยววินาทีที่ไม่ใช่เวลามาพูดจาหวานซึ้ง โซอีได้แต่ยืนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกเมื่อร่างวิญญาณสีดำกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เฮคเตอร์เห็นเงาสะท้อนบางอย่างในดวงตากลมใส ก่อนจะหันไปใช้ถุงมือยับยั้งได้ทัน
การต่อสู้หลังจากนั้นเป็นสิ่งที่โซอีไม่คิดฝันมาก่อนว่าจะได้เห็นในชีวิตจริงนอกจากในหนัง ทั้งวิญญาณสีดำ ทั้งผู้ชายที่พยายามช่วยเธอนั้นเหมือนหายตัววุบวับไล่ล่ากันไปมาอยู่ภายในห้องของเธอเอง
โซอีจับโทรศัพท์ไว้แน่นก่อนจะพยายามเล็งกล้องไปยังการต่อสู้ครั้งนี้ และใช้เวลาราวๆ สามสิบวินาทีก่อนที่เสียงผู้ชายจากปลายสายจะตอบกลับมาเสียงดังลั่น
“ได้ข้อมูลแล้ว! ดิคเคนส์ประดิษฐ์ระดับสาม มีพลังโจมตีต่ำ แต่ว่องไวและเชียวชาญการหลบหลีก ขอแค่มีพลังเหลือสักครึ่งในถุงมือแล้วอัดเข้าจุดตายที่ท้ายทอยทีเดียวก็น่าจะเรียบร้อย”
“ท้ายทอยนะ ขอบคุณท่านรอง”
เฮคเตอร์ถอยกลับออกมาหยุดยืนนิ่งเพื่อตั้งหลัก เขากระชับถุงมือพร้อมกับเร่งพลังสูงสุดอีกครั้งก่อนจะเข้าโหมดสมาธิขั้นสูงเพ่งมองการเคลื่อนไหวของร่างสีดำตรงหน้า การที่มันไม่มีทีท่าว่าจะหนีเลยแบบนี้ คงเป็นดิคเคนส์ประดิษฐ์ที่โดนโปรแกรมคำสั่งมาให้จัดการเขากับเด็กผู้หญิงคนนี้จริงๆ
การเคลื่อนไหววนไปมารอบห้องจรดทั้งเพดานทั้งพื้นไม่ได้ทำให้เฮคเตอร์ตาลาย มันคือการเคลื่อนไหวเพื่อให้คู่ต่อสู้สับสนแล้วหาจังหวะเข้าโจมตีก็จริง แต่ในอีกด้านหนึ่งมันคือระบบป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกโจมตีก่อนด้วยเช่นกัน จะเรียกว่าโชคดีก็คงได้เพราะเขาบังเอิญได้ฝึกการต่อสู้กับคนที่มีพลังลักษณะคล้ายกันนี้ แต่รวดเร็วและทรงพลังกว่านี้กว่าหลายเท่ามานานแล้วถึงแปดปี!
โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น... ตรงนั้นแหละ!
ร่างของเฮคเตอร์หายไปโผล่กลางอากาศก่อนจะง้างแขนรอ หากเปิดภาพในโหมดสโลว์โมชั่นคงจะเห็นได้ว่าเขาหายตัวไปยังจุดที่ร่างวิญญาณสีดำพุ่งผ่าน ก่อนจะอัดเข้าที่ด้านหลังตรงจุดที่คล้ายคอเข้าสุดแรงเกิด! ดิคเคนส์ร่วงตุบลงบนพื้นห้องนอน เกิดระเบิดแสงสีขาวขึ้นชั่วขณะก่อนที่ทุกอย่างจะสลายหายไป
เฮคเตอร์ถอนใจอย่างโล่งออก ก่อนจะหายตัวกลับมานั่งพักอยู่ข้างๆ โซอีที่ยืนมองทุกอย่างด้วยสายตาตกตะลึง
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ อีกอย่าง...เห็นแล้วใช่มั้ยว่าฉันมาช่วยเธอจริงๆ”
“......เกิดอะไรขึ้น พวกนั้นเป็นใครทำไมถึงได้มาที่นี่”
“เรื่องมันยาว เอาไว้กลับไปที่กองปราบแล้วค่อยเล่าทีเดียวละกัน”
“กองปราบไหน”
“คาเรม เอ่อ...เธอยังเด็กอาจจะยังไม่รู้จักสินะ คาเรมเป็นชื่อประเทศแห่งหนึ่ง เป็นเกาะที่อยู่ตรงใจกลางทะเลญี่ปุ่น พอนึกภาพออกมั้ย”
เมื่อได้ยินคำว่าคาเรม สีหน้าของโซอีก็สลดวูบลงไปทันที
“ที่นั่นเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของกองปราบวิญญาณของโลกด้วย... เอาเถอะไปถึงก็รู้เอง”
“ขอบคุณที่ช่วยไว้ แต่ฉันไม่ซาบซึ้งหรอก”
“หะ...หา?”
“ฉันคงไปกับนายไม่ได้ ฉันไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว”
โซอีตัดบทก่อนจะเดินไปปิดหน้าต่างที่ยังคงเปิดทิ้งไว้ให้เรียบร้อย อย่างน้อยก็เพื่อให้รู้สึกปลอดภัยขึ้น
“เมื่อกี้เธอบอกว่าไม่อยากกลับไปอีกแล้ว งั้นก็แปลว่าเธอเคยอยู่ที่นั่นมาก่อนงั้นเหรอ”
โซอีเพียงหันกลับมาจ้องมองเฮคเตอร์ด้วยสายตาว่างเปล่า และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกได้ถึงข้อผิดสังเกตอย่างร้ายแรงของเด็กคนนี้ว่า... ลักษณะท่าทางคำพูดคำจาของเธอไม่เหมือนเด็กเท่าที่เห็นอยู่เลยสักนิดเดียว
เฮคเตอร์กดดูข้อมูลประวัติของโซอีอีกครั้ง เพราะความรีบเร่งก่อนมาที่นี่ทำให้เขากวาดสายตาดูแค่ชื่อ รูปถ่าย และที่อยู่คร่าวๆ เพื่อการยืนยันเป้าหมายเท่านั้นเอง รูปของเธอในข้อมูลกับตัวจริงในปัจจุบันนั้นเหมือนกันทุกประการ
แต่ว่า
เกิดปี 1992... แม้ในข้อมูลจะไม่ระบุอายุปัจจุบันไว้ แต่เมื่อคิดง่ายๆ จากตัวเขาที่เกิดปี 1994 ซึ่งตอนนี้มีอายุยี่สิบสี่ปีแล้วล่ะก็...
“เธออายุยี่สิบหก!”
“......ใช่” โซอีตอบเสียงเรียบ แล้วเดินมายืนกอดอกประจันหน้ากับเฮคเตอร์ตรงๆ
“แล้ว...”
“แล้วทำไมฉันถึงตัวแค่นี้สินะ นั่นสิ ฉันเองก็อยากรู้เรื่องนี้เหมือนกัน”
เฮคเตอร์เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าลักษณะท่าทีโตเกินตัวเหล่านั้นไม่ใช่ความแก่แดด แต่เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ แม้จะสูงแค่เอวเขาก็เถอะ!
“ยิ่งเป็นแบบนี้เธอยิ่งต้องไป เจ้านั่น...ไอ้คนที่หนีไปก่อนทิ้งดิคเคนส์ไว้น่าจะต้องการตัวเธอแน่ๆ”
“โลกนี้ไม่มีใครเชื่อได้ทั้งนั้น เอาอะไรมารับประกันว่าถ้าฉันไปกับนายแล้วฉันจะไม่โดนพวกนายจับไปเป็นหนูทดลองอะไรแปลกๆ เข้า”
“แต่อยู่ที่นี่ไปก็อันตรายกว่าอยู่ดี”
โซอีถอนใจออกมาอีกครั้ง ราวกับโต้แย้งข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้
“เอาอย่างนี้ ฉันรับรองว่าจะไม่ให้ใครเอาเธอไปทำการทดลองอะไรเด็ดขาด แต่ยังไงเธอก็ต้องไปตรวจร่างกายกับแพทย์วิญญาณของเรา เผื่อจะหาทางรักษาหรือทำอะไรได้บ้าง”
“นายเป็นใคร ยิ่งใหญ่ขนาดงัดข้อกับคนใหญ่คนโตของพวกนายไม่ให้เอาฉันเข้าห้องทดลองได้รึไง”
“เธอนี่...ไม่รู้จักฉันซะแล้ว ไม่เห็นเหรอว่าเจ้านั่นเห็นฉันปุ๊ปยังรีบเผ่นไปเลย”
“ก็ใช่ไง ฉันไม่รู้จักนาย ชื่ออะไรยังไม่รู้เลย”
เฮคเตอร์ได้แต่กะพริบตาปริบๆ จะว่าไปก็จริง เพราะเจอกันครั้งแรกด้วยสถานการณ์แบบนั้น เขาลืมไปสนิทเลยว่ายังไม่ได้แนะนำตัวกับเธอสักคำ
“เฮคเตอร์ คาเรนไคลน์ สังกัดหน่วยเคซีโร่ ถึงหน่วยงานต้นสังกัดของฉันจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่รับรองได้ว่าจะไม่มีใครพาเธอไปขังในห้องทดลองได้แน่นอน หรือต่อให้มีใครพยายามจะทำแบบนั้น ฉันจะตั๊นหน้ามันให้เอง ตกลงมั้ย”
โซอีสบตาเฮคเตอร์ เธอไร้ซึ่งปฏิกิริยาร้อนหน้าหรือขวยเขินต่อความพยายามทำเท่ของเขาโดยสิ้นเชิง
‘โลกใบนี้ไม่มีอะไรไว้ใจได้ทั้งนั้น’
หญิงสาวในร่างเด็กกลับให้ความรู้สึกสนใจท่อนแรกของประโยคมากกว่า
“เค...ซีโร่?”
“หรือเรียกเต็มๆ ว่า คาเรมซีโร่”
“แล้วมันคือหน่วยงานแบบไหนถึงได้ดูยิ่งใหญ่ขนาดนั้น”
เมื่อเริ่มขี้เกียจนั่งตอบคำถามของอีกฝ่ายเฮคเตอร์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วถอดเสื้อแจ็คเก็ตตัวยาวออก โซอีตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนที่เสื้อตัวนั้นจะถูกคลุมลงบนร่างของเธอเอง หันไปมองเจ้าของเสื้อชายหนุ่มก็เพียงยิ้มที่มุมปาก...
“อยากรู้ก็ตามมา”