บทที่ 27 ถูกลดระดับเป็นตระกูลaสาขา
บทที่ 27
ถูกลดระดับเป็นตระกูลสาขา
การเอาชนะผู้เข้าแข่งขันชั้นนำด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ความแข็งแกร่งของหลี่ฟู่เฉินที่แสดงออกมาตอนนี้แข็งแกร่งกว่าที่เคยมีมาสองหรือสามเท่า ราวกับว่าเขาเป็นคนอื่น
“ทำไมถึงแข่งแกร่งเพียงนี้!”
ในตอนแรกจือฮงซิ่วคิดว่านางมีโอกาสชนะหลี่ฟู่เฉิน แต่หลังจากได้เห็นแรงขับเคลื่อนนี้ นางรู้ว่าไม่มีหนทางชนะอีกต่อไป
แรงผลักนี้เข้าครอบงำและไร้ความปราณีมาก
เป็นความจริงที่ว่าดาบไม้ที่ใช้ในการแข่งขันครั้งนี้มีความทนทานอย่างยิ่ง สามารถทนต่อแรงหนึ่งพันกิโลกรัมได้ โดยทั่วไปแล้วมันเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับเจ็ดของขอบเขตพลังลมปราณที่จะทำลายดาบ แต่ด้วยดาบพลังลมปราณหลี่ฟู่เฉินออกแรงให้หักได้ นั่นเป็นวิธีการควบคุมอย่างที่มันเป็น
“ช่างน่าสนใจ จริง ๆ แล้วเขาสำรองความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาไว้”หยางไคมองด้วยสายตาเย็นชา
“หลี่ฟู่เฉิน ผู้นี้ไม่อาจดูหมิ่นได้และมีค่าพอที่จะฟูมฟัก” เฉินจงหมิงคิดกับตัวเอง
ถ้าหลี่ฟู่เฉินมีโครงกระดูกสองดาวเขาคงไม่ทำให้ตกใจ แต่ความจริงหลี่ฟู่เฉินมีเพียงโครงกระดูกปกติและยังเกินความสามารถของโครงกระดูกสองดาวโดยเฉลี่ย นี่สิที่ทำให้เขาสนใจ
นิกายคังเหลียน ผู้ปกครองแคว้นไม่ได้ตระหนักถึงคุณภาพของกระดูกเท่านั้น พวกเขาให้ความสนใจและให้โอกาสกับผู้ที่มีโครงกระดูกปกติที่มีความสามารถพิเศษเช่นกัน
โครงกระดูกเป็นตัวกำหนดศักยภาพที่มีมา แต่ด้วยความพยายาม ผู้มีโครงกระดูกปกติบางคนที่มีความสามารถพิเศษยังคงมีโอกาสก้าวหน้าไปสู่ขอบเขตปฐพี เฉินจงหมิงรู้ว่าผู้มีโครงกระดูกปกติอย่างน้อยสิบคนเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตปฐพี
แน่นอนว่าข้อจำกัดของโครงกระดูกปกติคือขอบเขตปฐพี ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้มีโครงกระดูกปกติจะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
“ท่านไม่รักษากฎและไม่เคารพ”
หลี่ซวนเฟิงสั่นสะท้านด้วยความโกรธ ในฐานะผู้ก่อตั้งตระกูลหลี่ เขาไม่ทนกับใครก็ตามที่ต่อต้านเขา ด้วยอำนาจของเขาที่สามารถยกเลิกสถานะผู้นำตระกูลของหลี่เทียนฮั่นได้เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีกลุ่มผู้เยาว์อย่างหลี่ฟู่เฉินเพิกเฉยต่อคำแนะนำของเขา ไม่เพียงเท่านั้นจุดประสงค์ของเขายังแสดงความแข็งแกร่งไร้คู่แข่งเพื่อเอาชนะหลี่หยุนไห่อีกด้วย
“หลี่เทียนฮั่นดูบุตรชายที่ท่านพามาด้วย” หลี่ซวนเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
หลี่เทียนฮั่นและเฉินหยู่หยวนไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงใด ๆ แต่พวกเขารู้สึกถึงภาคภูมิใจและพอใจสูงสุดที่บุตรชายเหนือความคาดหมาย แม้จะต่อต้านการข่มขู่จากผู้ก่อตั้ง แต่นี่คือเครื่องหมายของจอมยุทธ์อย่างแท้จริง
จอมยุทธ์ตัวจริงไม่กลัวแม้จะเผชิญหน้ากับสวรรค์หรือโลกก็ตาม พวกเขาไม่ใช่จอมยุทธ์ที่แท้จริง แต่บุตรชายของพวกเขาเป็น
“ข้าขอประท้วง ท่านผู้ก่อตั้งเราไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปได้” หลี่ตี้ชานโกรธจัดแววตาแดงกล่ำ
หลี่เทียนฮั่นไม่กล้าถกเถียงผู้ก่อตั้ง แต่ไม่ใช่กับหลี่ตี้ชาน หลี่ตี้ซานไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย“หลี่ตี้ชานระวังตัวเถอะ หลังจากการแข่งขั้นครั้งนี้ บุตรชายของข้าจะกลายเป็นศิษย์ของนิกาย แล้วท่านจะกล้าแตะต้องเขาเหรอ?”
ศิษย์ของนิกายคังเหลียนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้ว่าเจ้าเมืองต้องการลงโทษสาวกของนิกาย ก็ต้องได้รับการอนุมัติก่อน ไม่มีการลงโทษโดยไม่มีเหตุผล ยิ่งตระกูลที่ละเมิดศิษย์ด้วยความตั้งใจ ถึงอย่างนั้นเจ้าเมืองสามารถลงโทษได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับผู้ที่ทำเรื่องร้ายแรงยังต้องได้รับการอนุมัติ
“หลี่เทียนฮั่นอย่าปล่อยให้ความสำเร็จเล็ก ๆ นี้อยู่ในหัวท่าน ถ้าเขาเป็นสาวกของนิกาย สาวกจะถูกให้คะแนนหลังจากการแข่งขัน หากเขาไม่ผ่านการทดลอง เขาจะเป็นเพียงแค่สาวกตัวเล็กๆ ที่ไม่มีอนาคต เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะดูว่าศีรษะของท่านจะวางอยู่ตรงไหน”
สาวกของนิกายด้านนอกถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท คือสาวกด้านนอกและสาวกรับงานเป็นชิ้น ๆ พวกเขามีงานหลายอย่างที่ต้องดูแลดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาสได้รับการเลี้ยงดูมากนัก สาวกพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับโอกาสดี
ใบหน้าของหลี่ซวนเฟิ่งหม่นหมอง เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ “หลังจากที่ตระกูลได้สนับสนุนครอบครัวของท่านเป็นเวลาหลายปี ข้าไม่คิดว่าข้าได้อุปถัมภ์เจ้าพวกหมาป่าตาบอดไว้มาก! หลี่เทียนฮั่น จากนี้ไปครอบครัวของเจ้าจะถูกลดระดับเป็นแค่ตระกูลสาขา”
เมื่อได้ยินประโยคนั้น สีหน้าของหลี่เทียนฮั่นและเฉินยู่หยางรู้สึกราวกับหัวใจร่วงหล่น
ทุกตระกูลจะมีครอบครัวหลักและครอบครัวสาขา ครอบครัวหลักมีอำนาจเหนือตระกูล ขณะที่ครอบครัวสาขาต้องปฎิบัติตามครอบครัวหลัก ความแตกต่างในการปฎิบัติ ห่างไกลดั่งท้องฟ้ากับทะเล พวกเขาไม่คิดว่าผู้ก่อตั้งจะเหี้ยมโหดถึงกับลดระดับพวกเขาเป็นแค่ตระกูลสาขา ซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่าการถูกถอดจากตำแหน่งผู้นำตระกูล
ท่าทีการแสดงออกเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลีเทียนฮั่นต้องการขอความเมตตา แต่ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้แม้แต่คำเดียว
บางทีนี่อาจเป็นผลมาจากการไม่เชื่อฟังผู้ก่อตั้งที่พวกเขาไม่สามารถคัดค้านได้
“ข้าเพิกเฉยคำสั่งของผู้ก่อตั้ง ไม่แน่ใจว่าท่านแม่และท่านพ่อจะได้รับการลงโทษเยี่ยงไร” หลี่ฟู่เฉินก้าวลงมาจากเวที จ้องมองไปทิศทางของหลี่ซวนเฟิงอีกครั้ง
ในสายตาของเขา หลี่ซวนเฟิงดูขุ่นเคือง หลี่ตี้ชานแสดงความโกรธและพ่อแม่ของเขายังคงนิ่งเงียบ
เฮ้อ ..
หลี่ฟู่เฉินสูดลมหายใจอย่างแรง คิดลึก ๆในใจ “มันไม่สำคัญเลย การขอให้ข้าจงใจยอมแพ้ในการเข้าร่วมนิกายคังเหลียนนั้นเป็นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องน่าเศร้าถ้าตระกูลหลี่วางเดิมพันทั้งหมดกับหลี่หยุ่นไห่ ความสามารถทั่วไปของเขา สามารถเป็นเพียงผู้ต่ำต้อยในนิกาย บุคลิกภาพของเขาจะทำลายจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาเท่านั้น”
***
ในตอนท้ายของรอบที่สิบ มีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 8 คนถูกตัดออก
รอบที่สิบเอ็ด หลี่ฟูเฉินเจอกับจือฮงซิ่ว
จิแฮงซิ่วมีทักษะที่ดี ในสิบรอบที่ผ่านมาดูเหมือนว่านางจะแพ้หยางไค และ เฉินตูจิวแต่ไม่ใช่กับ เหอปิงเมื่อนางแสดงวิชาดาบนกยูงรำแพนรูปแบบของทั้งคู่ดูสง่างามและน่าเกรงขาม
อย่างไรก็ตามตอนนี้นางกำลังเผชิญหน้ากับหลี่ฟูเฉิน
หลี่ฟู่เฉินโดดเด่นในการแข่งขันเมื่อมาพร้อมกับทักษะดาบ แม้ว่าวิชาดาบนกยูงรำแพนของ จือฮงซิ่วจะงดงาม แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นบรรลุ ในสายตาของของหลี่ฟู่เฉินรูปแบบดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่และหากเขาต้องการเขาสามารถพิชิตการเคลื่อนไหวของดาบได้อย่างง่ายดาย
รปแบบวิชาคมดาบในวายุ เป็นดังสายลมที่อ่อนโยนแม้ว่ามีแสง มันสามารถโจมตีได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้ทำให้จือฮงซิ่วไม่สามารถบังคับวิชาดาบนกยูงของนางได้
ตามที่คาดไว้จือฮงซิ่วแพ้ในเกมนี้
“เจ้าแข็งแกร่ง ข้าเชื่อว่าโครงกระดูกปกติจะไม่จำกัดอนาคตของเจ้า”
จือฮงซิ่วมีโครงกระดูกระดับสามดาว ในการแข่งขันนี้มีผู้แข่งขันเพียงสองคนเท่านั้นที่มีโครงกระดูกระดับสามดาว คนหนึ่งคือหยางไคและอีกคนคือนาง นางรู้สึกว่าเป็นเรื่องเสียเปล่าที่หลี่ฟู่เฉิน มีเพียงแค่โครงกระดูกปกติ แต่โครงกระดูกที่ไม่มีดาวนั้นไม่ได้หมายความว่ามีการรับรู้ที่อ่อนด้อย บางทีเขาอาจมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนหรือด้านอื่น ๆ
สำหรับจอมยุทธ์ การบ่มเพาะนั้นเป็นพื้นฐาน สำหรับผู้ฝึกฝนวิชาขอบเขตพลังลมปราณ ไม่ว่าทักษะดาบของเขาจะยอดเยี่ยมหรือน่าอัศจรรย์เพียงใด เขายังคงเป็นผู้ฝึกฝนพลังลมปราณและจอมยุทธ์ก่อกำเนิดจะกำจัดได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
นางต้องการให้หลี่ฟู่เฉินดำเนินต่ออย่างราบรื่น ถ้าไม่เช่นนั้นมันช่างน่าเสียดาย
หลี่ฟู่เฉินหัวเราะอย่างเต็มที่และไม่ได้แสดงความเห็นใด ๆ
ในมุมมองของทุกคนเขามีเพียงโครงกระดูกปกติที่กำหนดไว้ว่าจะไม่มีอนาคตที่ดี แต่หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถอธิบายได้เลย ว่าเขาจะมีอนาคตหรือไม่
ด้วยเครื่องรางทองคำที่อยู่ภายใน หลี่ฟู่เฉินรู้สึกราวกับเขาเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างด้วยลำแข้งตัวเอง แต่เขารู้สึกไม่จำเป็นที่จะต้องอวด
ทรัพย์สินของเขา ปัจจุบันดวงจิตวิญญาณสีเขียวอ่อนพัฒนาเป็นดวงจิตวิญญาณสีเขียวสมบูรณ์ เขาไม่ทราบว่าการรับรู้ที่เหลือเชื่อของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด ส่วนใหญ่หลังจากที่มันพัฒนาเป็นดวงจิตวิญญาณสีเขียวและจะวิวัฒนาการต่อไปในระดับที่สูงขึ้น…..