บทที่ 5 : แจกัน
บทที่ 5 : แจกัน
ประกายเยือกเย็นฉายผ่านดวงตากระด้างแข็งนิลสนิทบนใบหน้าไร้อารมณ์ สะท้อนภาพของเหลวสีแดงขุ่นข้นที่สาดกระเซ็นหยดย้อยลงมาตามสันจมูกเพราะความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น เขาวางมีดรูปตะขอโค้งในมือลงพลางหยิบผ้าขึ้นมาปาดลูบใบหน้า ย้อมผ้าขาวกลายเป็นสีเลือด
ทั่วไปชายหนุ่มหน้าตายไม่เคยยี่หระต่อความสกปรกหรือกลิ่นคาวของโลหิตเลย ทว่าทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะเมื่อกาลเวลาไหลผ่านไปแล้วนับพันปี มันมากพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ไปมากมาย อันที่จริงควรจะพูดว่ามันแทบจะไม่มีอะไรเหมือนเมื่อพันปีก่อนเลยต่างหาก ทุกสิ่งเปลี่ยนไปไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
บัดนี้ร่างกายที่เคยห่อหุ้มด้วยแก่นไม้เนื้อแข็งทนทานกลับกลายเป็นส่วนประกอบใหม่ที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่อย่างน้อยรูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงมนุษย์อย่างที่สุดนี้ก็ไม่ทำให้เขาดูแปลกแยกแตกต่างอีกต่อไป มันพรางความน่าเกรงขามพรั่นพรึงของหุ่นรบเอาไว้ในคราบของชายหนุ่มร่างกายบอบบางมีตำหนิรอยต่อคนนึงเท่านั้น แม้มันจะทำให้การเคลื่อนไหวขาดความเฉียบคมลงไปเล็กน้อยก็ตาม
และอาจจะเพราะการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นไปดั่งใจนั้นเองที่ทำให้หุ่นสงครามตนสุดท้ายนามว่า ฮอรัส เฉือนมีดลึกเกินกว่าที่ตั้งใจจนไปตัดโดนเส้นน้ำเลี้ยงของต้นเลือดปีศาจจนมันสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้จ้ะ เธอไปอาบน้ำเถอะ ฉันจะได้เอาเสื้อผ้าไปซักให้” เอลฟ์สาวส่งเสียงจากด้านหลังของฮอรัส ระหว่างที่เขากำลังจะหยิบมีดขึ้นมากรีดเปลือกต้นเลือดปีศาจต่อให้เสร็จตามคำไว้วานของเธอ
โดยที่เอลฟ์สาวไม่รู้ สำหรับหุ่นสงครามตนนี้แล้วทุกอย่างที่เธอขอหรือกระทั่งคำพูดลอยๆ มันถูกจัดเรียงลำดับความสำคัญเอาไว้เกือบจะเทียบเท่าคำสั่ง เป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยปฏิเสธเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่าบางครั้งมันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยมากก็ตาม
ฮอรัส หยุดสิ่งที่ทำอยู่ทันทีเมื่อได้ยินคำว่าพอ เขาหันกลับมามองใบหน้าเปื้อนยิ้มของสาวเจ้า ด้วยสายตานิ่งสนิทเยือกเย็นสีดำ
“อาบน้ำ? ...” ฮอรัสเอ่ยเสียงเรียบพลางเอียงคอเล็กน้อยเหมือนเป็นการทวนคำสั่ง พอเห็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มอบอุ่นของอีกฝ่ายดังนั้นเขาก็ปลดกระดุมคอถอดเสื้อฝ้ายเปาะเปื้อนที่ตัวเองสวมอยู่ยื่นให้สาวเจ้าเอาไปทำความสะอาดทันที
ทว่าตอนนั้นเองยังไม่ทันที่เอรีอาจะละออกไป หุ่นหลงยุคก็พลันปลดกางเกงทำเอาสาวเจ้าชะงักงันทำตัวไม่ถูก
“ฉะ ฉันบอกแล้วไงว่าเราไม่แก้ผ้าต่อหน้าคนอื่น ถึงเธอจะเป็น... เป็นอะไรก็ไม่ควรทั้งนั้นแหละ” เธอกล่าวน้ำเสียงกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรกับสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ดี
แม้ว่าเธอจะเป็นคนสอนให้หุ่นตนนี้รู้จักใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจอะไรอีกหลายอย่างที่คนธรรมดาควรจะเข้าใจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความกระดากอายซึ่งมันคงไม่ได้สอนกันง่ายๆ นัก
“ผมไม่เข้าใจ…” ฮอรัสเอ่ยเสียงเรียบ หน้านิ่งสนิท หยุดมือที่กำลังจะปลดกางเกง
กลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วสำหรับเธอ ฮอรัส มีความเป็นเด็กมากกว่าภาพลักษณ์ของหุ่นสงครามที่เขาแสดงออกมากนัก หากว่าตอนที่พบกันเขาไม่ได้ฉีกร่างอสูรที่บุกเข้ามาในสวนขาดเป็นสองท่อนด้วยมือเปล่าต่อหน้าต่อตา เธอก็คงไม่เชื่อแน่ว่าเขาถูกสร้างมาให้ฆ่า เพราะสิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจคือชายหนุ่มมีหัวใจอ่อนโยนซ่อนอยู่
คนอื่นอาจพูดได้ว่าการที่หุ่นสงครามจากยุคบรรพกาลจัดการอสูรที่กำลังจะทำร้ายเธอนั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เพราะยังไงมันก็คงจะฆ่าอสูรตนนั้นอยู่แล้ว แต่สำหรับเธอแล้วมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขาฆ่าอสูรโดยการหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอบาดเจ็บซ้ำยังไม่ทำให้พิษของไวเปอร์หลุดลอดออกมาเป็นอันตรายใครเลยแม้แต่หยดเดียว และมันคงไม่บังเอิญที่เธอเห็นบางอย่างในแววตาสีนิลสนิทยามที่เขาพูดถึง ‘ผู้สร้าง’
บางที ฮอรัส อาจเป็นเพียงเด็กที่หลงทางและสูญเสียคนหนึ่งเท่านั้น ทุกสิ่งที่เขาเล่าเกี่ยวกับอดีตกาลอาจฟังดูสับสนจับใจความอะไรมากไม่ได้ เว้นแต่ความน่ากลัวของสงคราม แต่มันก็ล่วงผ่านเวลาและจบลงแล้ว สิ่งที่หลงเหลือจากไม้ใหญ่ที่ใหม้ไฟสงครามคือกล้าต้นใหม่บนกองเถ้าซึ่งจะแตกยอดงดงามกว่าเดิม
“อะไรก็เถอะ เธอไม่ควรแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นโดยเฉพาะผู้หญิงเข้าใจมั้ย” เอรีอาเปลี่ยนเสียงพูด กำชับกับชายหนุ่มให้แน่ใจว่าเขาจะไม่แก้ผ้าให้ใครเห็นอีก โดยเฉพาะกับเอเดลยิ่งห้ามเด็ดขาด แค่ต้องกลับบ้านมาแล้วเจอชายหนุ่มแปลกหน้าอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับแม่ตัวเองก็เป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายมากพออยู่แล้ว “ไปถอดใส่ตะกร้าหน้าห้องอาบน้ำนะ”
“…ผมเข้าใจแล้ว” โดยไม่แสดงอารมณ์หรือสีหน้าใดๆ ฮอรัสขานตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเดินจากไปยังห้องอาบซึ่งสร้างจากอิฐเรียบง่ายใช้บังสายตาติดกับบ้านหิน แม้ไม่หรูหราแต่ก็จัดว่าใช้งานได้ดีด้วยอ่างไม้สำหรับอาบและแช่ซึ่งลักน้ำมาจากลำธารที่ไหลผ่านสวนสมุนไพร ทั้งหมดนี้เป็นผลงานการออกแบบจากช่างของสมาคม
“เห้อ…” เธอส่ายหน้าถอนใจ เงยหน้ามองกลุ่มเมฆที่เริ่มก่อตัวขึ้นช้าๆ เป็นสัญญาณว่าเธอคงต้องยกเลิกแผนเรื่องซักผ้าเอาไว้ก่อน แล้วรีบเดินเก็บถ้วยรองน้ำเลี้ยงต้นเลือดปีศาจทันที
สาวเจ้าใช้เวลาเพียงไม่นานนักในการเก็บของเหลวสีโลหิตขุ่นข้น หนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของโพชั่นเพิ่มเลือด ด้วยสรรพคุณในการเร่งการสร้างเลือดอย่างฉับพลันของมันทำให้สามารถใช้ได้ทั้งเชิงรุกเพิ่มความอึด และเชิงรับช่วยรักษาอาการขาดเลือด ทว่ามันก็มีข้อเสียหากใช้ไม่ระวังก็อาจเสพติด หรือซ้ำร้ายก็ถึงตายเลยทีเดียว เช่นนั้นเองมันจึงถูกจัดเป็นโพชั่นควบคุมชนิดหนึ่ง
แต่ด้วยความที่เธอเป็นนักปรุงยาเพียงคนเดียวในเทรียลที่มีความพร้อมในการปรุงโพชั่นคุณภาพสูง นอกจากนั้นโพชั่นก็จำเป็นสำหรับนักผจญภัย เอรีอาจึงมีใบอนุญาตพิเศษสามารถปรุงโพชั่นได้ทุกประเภท
กระนั้นก็ใช่ว่าเธอจะสามารถทำอะไรได้อย่างใจ เพราะส่วนผสมของโพชั่นควบคุมหลายชนิดมักจะมาจากอสูร รวมทั้งโพชั่นเพิ่มเลือดด้วย หากไม่มีวัตถุดิบจากสมาคมเธอก็ปรุงยาไม่ได้ มันจึงเป็นการควบคุมการผลิตไปด้วยกลายๆ
เพราะสมาคม ส่วนหนึ่งก็เปรียบเสมือนคนกลางรับซื้อชิ้นส่วนวัตถุดิบและอื่นๆ ที่นักผจญภัยหาได้ มาส่งให้ผู้ผลิตอย่างนักปรุงยา ช่างตีเหล็ก หรือนักแปรธาตุ แล้วนำกลับไปขายคืนให้นักผจญภัยอีกทีในราคาและจำนวนที่สมเหตุสมผลกับภารกิจ หรือบางครั้งให้เปล่าไปเลยก็มี ด้วยว่าหลักการของสมาคมนักผจญภัยท้องถิ่นนั้นตั้งอยู่บนประโยชน์ของชุมชนมากกว่าผลกำไร เพราะอย่างไรก็ได้รับการสนับสนุนจากส่วนกลางตามความเหมาะสมอยู่แล้ว มันคือระบบการป้องกันตนเองซึ่งได้รับการยอมรับมาหลายร้อยปีแล้วว่ามีประสิทธิภาพ
ทว่าสำหรับโพชั่นที่เอรีอาตั้งใจจะปรุงครั้งนี้คงไม่จำเป็นต้องง้อวัตถุดิบเพิ่มเติมจากสมาคมแต่อย่างใด คงต้องขอบคุณฮอรัสที่ช่วยเธอเอาไว้ เพราะมันได้เปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นโชคดี จากที่จะถูกอสูรทำร้ายก็กลายเป็นได้วัตถุดิบทำโพชั่นชั้นเลิศมาเสียอย่างนั้น
สาวเจ้าเก็บวัตถุดิบครบก็เข้าบ้านไปทำโพชั่นทันที เพราะอย่างไรก็ทำอะไรมากไม่ได้หากฝนตก ยิ่งเป็นฝนหลงฤดูเช่นนี้ด้วยแล้วจะรองมาใช้ก็คงไม่เหมาะ
หยดน้ำเริ่มกระทบหลังคาดัง’ เปาะแปะ’ เป็นจังหวะเบาๆ พร้อมเสียงฟ้าลั่นสนั่นหวั่นไหว คล้ายเป็นการให้สัญญาณก่อนฝนจะเทลงมาห่าใหญ่เป็นพายุ
ต้นเมเปิลใหญ่และสมุนไพรในไร่ถูกลมกระโชกพัดเอาก็ถึงกับโอนโยกน่ากลัวจะโค่น โชคดีที่ป่าอาเคนช่วยรับแรงลมเอาไว้ส่วนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหลังคาบ้านของเอลฟ์สาวคงได้ปลิดปลิวไปหมดไม่เหลือแน่
“พายุแรงจัง… สวนจะเป็นอะไรมั้ยนะ” เอลฟ์สาวเอ่ยในคอ เดินถือตะเกียงคริสตัลเข้ามาวางในห้องปรุงยาเพิ่มอีกสองดวงให้มีแสงสว่างมากขึ้นสำหรับทำงาน
สาวเจ้าได้แสงจนพอใจแล้วก็ก้มลงหยิบอุปกรณ์เครื่องแก้วสำหรับทำยาขึ้นมาวางเรียงบนโต๊ะ แต่ละชิ้นใสสนิทและได้รูปทรงสมบูรณ์แบบ บางชิ้นเชื่อมต่อซับซ้อนหลายขั้นจนไม่น่าเชื่อว่าจะทำออกมาได้ บางชิ้นดูธรรมดาแต่แฝงความละเอียดแม่นยำ วัดตวงไม่ผิดพลาดแม้เพียงหนึ่งหยดน้ำ และบางชิ้นก็ลงอักขระเวทควบคุมความร้อนและตัวแปรต่างๆ เอาไว้อย่างละเอียด เป็นชุดเตรียมยาที่สมบูรณ์แบบโดยแท้
เอรีอาไม่ปล่อยให้มันไร้ค่าสูญเปล่า เธอเริ่มตั้งเตรียมกระบวนการต่างๆ อย่างชำนาญ วัตถุดิบหลากหลายถูกจับวางใส่ตาชั่งซ้ำแล้วซ้ำอีกจนได้ปริมาณพอใจจึงนำไปผ่านขั้นตอนหลากหลาย ทั้ง บด คน ผสม ละลาย กรอง กลั่น สกัด ทั้งหมดมีการวัดปริมาณอย่างละเอียดทุกขั้นตอน เป็นกุญแจสำคัญในคุณภาพ
สำหรับนักนักปรุงยาแล้วตาชั่งและหลอดตวงปริมาตรถือเป็นหัวใจ เปรียบกับนักผจญภัยแล้วมันก็คงเป็นอาวุธและชุดเกราะ จะขาดไปเสียไม่ได้
หลังจากที่การเตรียมวัตถุดิบทั่วไปสมบูรณ์ดีแล้ว จึงถึงเวลาของส่วนผสมหลัก เมื่อเอรีอายกโหลดินที่เก็บไว้อย่างดีขึ้นมาเปิดออก พลางใช้แท่งแก้วคีบเอาต่อมพิษรูปร่างเหมือนถุงสีดำขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วใส่ลงไปในถ้วยกลมสำหรับให้ความร้อน เตรียมสกัดเอาเฉพาะส่วนประกอบที่ต้องการจากพิษของไวเปอร์
สิ่งที่ได้หลังกระบวนนี้คือของเหลวสีเขียวมรกตซึ่งจะถูกนำผสมกับส่วนประสมอื่นๆ อีกครั้งจนได้เป็นโพชั่นชั้นสูงที่นอกจากจะเร่งการเร่งรักษาอาการบาดเจ็บจากที่ต้องใช้เวลาหลายวันให้เหลือไม่กี่ชั่วโมงแล้วยังเพิ่มความต้านทานพิษเกือบทุกชนิดไปอีกนานหลายปีด้วย แต่จะทำให้พิษกลายเป็นยาได้แน่นอนว่าต้องใช้ชำนาญอย่างสูง และสำหรับเอลฟ์สาวแล้วประสบการณ์กว่าหกสิบปีที่นางมีคงมากเกินคำว่าพอ
ขั้นตอนที่ควรจะต้องเป็นงานละเอียดอ่อนยุ่งยากเมื่ออยู่ต่อหน้าเอรีอามันก็กลายเป็นเพียงของเด็กเล่น ส่วนประกอบสีเขียวกลั่นตัวแยกชั้นกับเลือดปีศาจเหมือนน้ำมันลอยบนน้ำ ก่อนที่ฉับพลันอักขระเวทที่ข้างถ้วยแก้วจะเรืองแสงอ่อนระเรื่อสร้างฟองอากาศเล็กๆ ในส่วนผสม อึดใจเดียวฟองอากาศก็หายไปพร้อมกับของเหลวในถ้วยที่รวมกันกลายเป็นยามหัสจรรย์สีใสสนิทรซึ่งมีค่ามหาศาล
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดั่งใจ เธอก็จัดการใช้หลอดตวง ดูดยาในถ้วยแก้วมาบรรจุลงขวดโพชั่นเล็กๆ ตามขนาดใช้งานได้กว่าสิบขวดเก็บลงกล่องยาซึ่งทำจากไม้เนื้ออ่อนหุ้มหนังสัตว์กันกระแทกอย่างดี เตรียมไว้ส่งมอบให้กับสมาคม แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะปันส่วนเก็บเอาไว้เองสำหรับยามฉุกเฉิน
เอลฟ์สาวทำความสะอาดจัดเก็บอุปกรณ์ดีแล้วก็ถือตะเกียงคริสตัลเดินออกจากห้องปรุงยาไปยังโถงหมายจะพักผ่อน ดื่มชารวมทั้งอาจจะอ่านหนังสือคร่าเวลารอพายุฝน
แต่ในบรรยากาศอึมครึมมืดครึ้มนั้นเอง แสงจากตะเกียงพลันซัดถูกร่างหนุ่มของฮอรัส เผยใบหน้านิ่งเฉยกับดวงตาสีนิลสนิทที่กำลังจ้องมองแจกันดินเผาเคลือบแก้วขนาดเล็กวางอยู่กลางชั้นยกสูงติดกำแพงห้องโถง
มันอาจไม่วิจิตรงดงามเป็นงานศิลป์เลอเลิศ แต่สร้อยหยกที่คล้องบนแจกันทรงมนก็เข้ากันดีกับลวดลายสีน้ำเงินแบบดั้งเดิม ดอกไม้สีขาวในแจกันยังสดงดงามไม่แสดงร่องรอยโรยราบ่งบอกความเอาใจใส่จากเจ้าของ เพียงแต่ครั้งนี้คนที่ดูแลมันไม่ใช่เอลฟ์สาว หากแต่เป็นตุ๊กตาสงครามที่ยังยืนถือดอกไม้เก่าเอาไว้ในมือ
แม้การแสดงออกจะนิ่งเฉยเหมือนไม่เคยยี่หระกับสิ่งใดแต่เอลฟ์สาวที่เห็นใบหน้านั้นรู้ว่าไม่ใช่ ฮอรัสอาจไม่เข้าใจความหมายของแจกันและการอาลัยจาก กระนั้นเขาก็ใส่ใจและรู้ว่าเธอจะคอยดูแลมันอยู่เสมอ
“เราเอาเถ้าของเขาไปโปรยบนยอดผาหมดแล้วก็เลยมีแต่แจกันเปล่าๆ น่ะจ้ะ..” เอรีอาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนขณะเดินไปหยุดยืนข้างหุ่นสงคราม
เธอสัมผัสจี้หยกที่แขวนบนแจกันอย่างแผ่วเบา ใบหน้าสะคราญปรากฏรอยยิ้มบางๆ หากแต่ต่างจากยิ้มทั่วไปที่นางมักแสดงออก เป็นยิ้มที่เกิดภายหลังความโศกาแสนสาหัสผ่านพ้นไปเหลือเพียงความอาลัยและความทรงจำให้ระลึก
ตุ๊กตาสงครามฮอรัส แม้มองเห็นความแตกต่างในรอยยิ้มของเอลฟ์สาว แต่ก็ยากจะรู้ว่าเขาเข้าใจความหมายนั้นจริงหรือไม่ เมื่อดวงตาสีนิลไม่ปรากฏสิ่งใดนอกจากความว่างเปล่า
“เขาเป็นพ่อของเอเดล เป็นสามีของฉัน พวกเราโตมาด้วยกัน เล่นด้วยกัน รักกัน… แต่นั่นมันก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้วล่ะ” เอลีอากล่าวน้ำเสียงนุ้มพร้อมรอยยิ้มอาลัย เล่าถึงความทรงจำในอดีตอันน่าคิดถึงระหว่างเธอกับคนรักที่บัดนี้เหลือเพียงแจกันกับดอกไม้ให้ดูต่างหน้า
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่เรื่องที่เธอเล่านั้นทำให้หุ่นสงครามตนสุดท้ายจากบรรพกาลแสดงท่าทีสนใจ “รัก… ผู้สร้างเองก็เคยพูดถึงมัน นางว่าวันนึงผมอาจเข้าใจ”
“ฉันก็หวังว่าอย่างงั้นเหมือนกันจ้ะ”
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา” ฮอรัส เอ่ยเสียงเรียบเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับคำถามนั้นเท่าไหร่นัก ทว่ามันกลับทำให้เอลฟ์สาวนิ่งงันไปชั่วอึดใจก่อนตอบ
“เขาก็แค่เป็นมนุษย์น่ะจ้ะ มนุษย์แก่และอ่อนแอลงทุกวันแตกต่างกับเอลฟ์… ไม่มียาที่สามารถรักษาความชราของมนุษย์ได้.. ไม่มีเลย” เอลีอากล่าวน้ำเสียงแอบซ่อนความหวั่นไหว ไม่มีรอยยิ้มปรากฏในคราวนี้เพราะแม้แต่ความทรงจำดีๆ ก็ยากช่วยให้ลืมความเจ็บปวดในยามนึกถึงภาพสุดท้ายของการลาจาก โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์ซึ่งรักเพียงครั้งเดียวตลอดชีวิตอย่างเอลฟ์
ทว่าระหว่างนั้นเองฮอรัสพลันแสดงท่าทีผิดแปลกไป เมื่อเขาหันศีรษะออกไปทางหน้าต่างอย่างฉับพลัน ดวงตาสีดำสนิทสะท้อนประกายบางอย่างพร้อมกับมือที่กำแน่น “มีคนกำลังมาที่นี่... ชาวเกล็ด จิ้งจอก มนุษย์... ปีศาจ?”