บทที่ 15 ตัวตนของชายปริศนา
บทที่ 15 ตัวตนของชายปริศนา
พอผ่านเส้นทางงูเลื้อยภายในอาณาเขตของตำหนักวายุมาได้ ทั้งฟาร์ชูลันและซิลเวอร์ก็พบกับซิลเฟร์ที่เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าทั้งคู่กำลังเดินทางมาที่นี่ เขานั่งอยู่บนบัลลังก์สีหยกลวดลายมังกรและใช้สายตาจ้องมองลงจากเบื้องสูงไปยังร่างทั้งสองที่โซซัดโซเซเข้ามาอย่างฉุกละหุก รอบข้างมีข้ารับใช้ชุดดำจำนวนมากที่แต่งกายมิดชิดเสียจนมองไม่เห็นใบหน้าและแยกแยะเพศไม่ออก
เป็นเพราะขี่หลังซิลเวอร์มาโดยตลอดทำให้ฟาร์ชูลันสามารถเก็บสะสมพลังกายเอาไว้ได้พอประมาณ แม้จะยังไม่หายเหนื่อยดีแต่ก็ยังพอมีแรงลงจากหลังของเพื่อนชายเพื่อลงมายืนอยู่เบื้องหน้าของซิลเฟร์ได้ ส่วนซิลเวอร์หลังจากที่ปล่อยฟาร์ชูลันลงไปแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งขดกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้าทันที ซิลเฟร์เหล่ตามองไปยังข้ารับใช้ชุดดำคนหนึ่ง คนผู้นั้นพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหายตัวไป โผล่มาอีกทีก็อยู่ข้างกายซิลเวอร์แล้ว คน ๆ นั้นเอามือสัมผัสไหล่ของเขาแล้วปล่อยพลังปราณออกไปกระแสหนึ่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ขณะนี้เป็นช่วงยามสี่ ซึ่งเป็นเวลานอนตามปกติของมนุษย์ทุกคน แต่กับบุคคลที่ชุมนุมกันอยู่ที่นี่แล้วกลับเป็นเวลาสำคัญที่ไม่ว่ายังไงก็หลับไม่ได้ อีกอย่างคือเหตุการณ์ศูนย์แพทย์ระเบิดเมื่อสักครู่ยังทำให้หลายคนได้ยินเสียงจนต้องตื่นขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทางแพทย์ของศูนย์ก็เริ่มติดต่อประสานงานกับเหล่านักรบปราณของจักรวรรดิเพื่อเร่งให้มาตรวจดูพื้นที่ดังกล่าวแล้ว แต่พวกเขาก็คงจะเจอแค่ร่างของเหล่านักเรียนทั้งสิบสองที่ยังคงสลบไม่ได้สติแค่นั้น
“สไปค์ไม่ใช่มาร มารตัวจริงก็คือ--”
“ฟาร์เชน”
ซิลเฟร์พูดขัดฟาร์ชูลันโดยไม่ลังเล สีหน้าของหญิงสาวดูประหลาดใจ
“เหลือเชื่อ นายรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่ก็ยังปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไปอีก” เธอกล่าวคำปรามาศเจ้าตำหนักวายุทันที
“ระวังปากของเจ้าหน่อย ไม่ใช่ว่าหากรู้ตัวบุคคลต้องสงสัยแล้วจะตามไปจับเมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นเจ้าตำหนักเหมือนกันยิ่งต้องวางแผนรัดกุมให้มาก อันดับแรกคือต้องหาหลักฐาน” ซิลเฟร์เริ่มบรรยายไปทีละข้อสองข้อ แต่ยิ่งเขาบรรยายเหตุผลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ฟาร์ชูลันหงุดหงิดใจมากขึ้นเท่านั้น
“ขณะที่นายรวบรวมหลักฐาน ป่านนี้สไปค์ก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้างแล้ว!”
รอบข้างสั่นสะเทือนเลือนลั่นหลังจากที่ฟาร์ชูลันตวาดเสียงดังออกมา ข้ารับใช้ชุดดำถึงกับตกใจกันเป็นแถบเมื่อสัมผัสได้ถึงอำนาจพลังบางอย่างที่หญิงสาวแอบปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงเมื่อสักครู่ ส่งผลให้อาคารทั้งหลังเกิดอาการสั่นสะเทือนราวกับโดนแผ่นดินไหว แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นซิลเฟร์ก็ยังคงเยือกเย็นอยู่เช่นเดิม เขาดูจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงสหายของเจ้า แต่ไม่ต้องกังวลหรอก เพราะหมอนั่นยังสุขสบายและปลอดภัยดี” ซิลเฟร์ตอบเพื่อคลายความสงสัย
“อะไรนะ นายรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน?”
“อืม เขาอยู่ในจักรวรรดิซีนี่แหละ แต่คงอีกสักพักกว่าที่จะกลับมาที่นี่ได้”
“ทำไมล่ะ เขาสามารถกลับมาที่นี่ได้ทันทีถ้าพวกเราร่วมมือกันกำจัดเจ้ามารตัวจริงนั่นไปซะเดี๋ยวนี้”
“อย่างที่ข้าบอกไปเมื่อข้างต้น เรายังเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ฟาร์เชนพลาดพลั้งโดนเปิดโปงไปครั้งหนึ่งย่อมต้องมีแผนเจ้าเล่ห์ไว้รองรับอีกหลายชั้น ดังนั้นการเคลื่อนไหวโดยไม่คิดอะไรให้ถี่ถ้วนก่อนจึงเป็นการกระทำที่โง่เขลา” ซิลเฟร์สลับขาขึ้นไขว่ห้างพลางกล่าวต่อไป “อีกอย่างคือฟาร์เชนเองก็เป็นถึงระดับเจ้าตำหนักเหมือนกับข้า ถ้าจะการันตีว่าจะเอาชนะฟาร์เชนได้จำเป็นจะต้องมีพลังของระดับเจ้าตำหนักด้วยกันไม่น้อยไปกว่าสองคนรุม แต่เจ้าตำหนักอีกสองคนที่เหลือยังไม่รู้เรื่องนี้ และยังรับประกันไม่ได้ว่าทั้งสองคนนั้นจะยอมช่วยเหลือหรือเปล่า ส่วนพวกเจ้าเองก็ยังบาดเจ็บหนัก คงยังช่วยเหลืออะไรข้าไม่ได้”
“เฮอะ ฉันได้ยินมาว่านายชอบการต่อสู้นักนี่ พอจะได้สู้กับคนฝีมือระดับเดียวกันก็เกิดกลัวขึ้นมารึไง”
“ข้าแยกแยะออกระหว่างการต่อสู้เพื่อตอบสนองกิเลศกับการต่อสู้เพื่อบรรลุเป้าหมาย ซึ่งในตอนนี้เป็นอย่างหลัง มันจำเป็นต้องมีการคิดอีกหลายลำดับ” ซิลเฟร์ตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย นั่นทำให้ฟาร์ชูลันยิ่งยัวะเข้าไปอีกเมื่อรู้ตัวว่ายุอีกฝ่ายไม่ได้
“งั้นฉันขอถามหน่อยว่านายมีแผนยังไง”
คราวนี้ซิลเฟร์ไม่ตอบทันที เขาหลบสายตาฟาร์ชูลันเพื่อหันไปมองยังทิศทางนอกบานประตูที่ในตอนนี้ยังคงปิดสนิท ราวกับกำลังคิดถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ภายนอกนั้น
“ข้าไม่สามารถต่อสู้กับฟาร์เชนได้ในตอนนี้ ทางเดียวที่จะกำจัดฟาร์เชนได้คือต้องพึ่งพาพวกเจ้าเท่านั้น” ในที่สุดซิลเฟร์ก็ตอบฟาร์ชูลันไปจนได้ สีหน้าของเขาแอบแฝงความลังเลเอาไว้อยู่บ้าง “ข้าเห็นเวทมนตร์ของเจ้าแล้ว ถ้าในสภาวะสมบูรณ์พร้อม ไม่แน่ว่าแค่เจ้าคนเดียวก็คงปราบฟาร์เชนได้ ข้าพูดถูกต้องมั้ย?”
สิ้นเสียงของซิลเฟร์ ปฏิกิริยาของข้ารับใช้ชุดดำถึงกับลนลานขึ้นมาทันที แม้กระทั่งซิลเวอร์ที่ยังคงเหนื่อยล้าอยู่ก็ยังตกใจกับคำพูดประโยคเมื่อครู่
นั่นมันหมายความว่าแท้จริงแล้วฟาร์ชูลันอาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าตำหนักอีกงั้นเหรอ?
“ก็ถ้าเตรียมตัวพร้อมก็คงพอไหว”
ฟาร์ชูลันพูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค นั่นหมายความว่าเธอมีความมั่นใจในเรื่องนี้มากพอดู
แต่นั่นก็ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยว่าแท้จริงแล้วขีดจำกัดเวทมนตร์นั้นมีอยู่ที่ขอบเขตไหนกันแน่?
“เวทมนตร์สุดยอด” ซิลเวอร์เอ่ยออกมาเบา ๆ ในขณะที่อาการบาดเจ็บเริ่มทุเลาลงเรื่อย ๆ
ซิลเฟร์เผลอหลุดรอยยิ้มออกมานิดหน่อย เขามองดูสีหน้าที่ไม่ยี่หระอะไรของหญิงสาวเบื้องล่างแล้วก็รู้สึกว่าแท้จริงแล้วตนเองก็นึกอยากลองสู้กับเธอคนนี้ดูบ้างเหมือนกัน ไม่สิ ความจริงเป้าหมายที่จะท้าดวลกับนักเรียนใหม่นั้นควรจะเป็นกับเธอคนนี้ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่กับเจ้าสไปค์คนนั้น แต่เรื่องนั้นไว้ค่อยคิดทีหลัง
“อีกไม่ถึงสามสัปดาห์จะมีการจัดงานประลองยุทธ์เพื่อชิงสิทธิในการท้าดวลกับเจ้าตำหนักขึ้น” ซิลเฟร์กล่าวออกมาเพื่อทำลายช่องว่างของความเงียบ “ข้าอยากให้เจ้าเข้าร่วมงานประลองนั้นและเอาชัยชนะมาให้ได้เพื่อสิทธิการท้าดวลกับเจ้าตำหนัก เพราะถ้าได้สิทธินั้นล่ะก็ ต่อให้เป็นฟาร์เชนก็หลีกหนีการต่อสู้ไม่พ้น”
“จะบอกให้ใช้โอกาสนั้นเพื่อเปิดโปงและกำจัดฟาร์เชนสินะ”
“ใช่ เจ้าคงจะมีเวทมนตร์ที่ใช้เพื่อเปิดโปงตัวตนของมารอยู่ใช่มั้ย”
“แน่นอน”
“งั้นก็ดี ระหว่างนี้ก็พักรักษาตัวเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน บอกหน่อยได้มั้ยว่าตอนนี้สไปค์อยู่ที่ไหน” ฟาร์ชูลันถามคำถามที่สงสัยมานาน
“หมอนั่น...” ซิลเฟร์เกิดความลังเลที่จะตอบขึ้นมา “มันค่อนข้างพูดยาก สถานที่ที่หมอนั่นอยู่อาจอยู่ในเขตของจักรวรรดิซีก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในจักรวรรดิซีด้วย”
“อย่าพูดให้งงได้มั้ย มันหมายความว่ายังไงกัน”
“จะบอกว่าเป็นพื้นที่ที่แม้แต่เจ้าตำหนักอย่างข้าก็รุกล้ำเข้าไปไม่ได้ เพราะมันเป็นเขตแดนพิเศษสำหรับบุคคลผู้หนึ่ง”
ซิลเฟร์กล่าวพลางเอามือเท้าคาง ในหัวพลันคิดถึงใบหน้าของชายคนหนึ่งขึ้นมา สีหน้าและแววตาของซิลเฟร์ดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หากก่อนหน้านี้เขามีท่าทีขึงขังและดุดันมากแค่ไหน ในตอนนี้ระดับความดุดันกลับลดลงจนไม่ต่างไปกับสีหน้าของคนธรรมดา แสดงว่าคนที่เขากล่าวถึงนี้จะต้องเป็นคนที่พิเศษมาก
“ถ้าเขาไม่อนุญาตก็ไม่มีใครเข้าไปยังพื้นที่ของเขาได้ แต่วางใจเถอะ เขาไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกเราแน่นอน เมื่อถึงเวลาสไปค์จะกลับมาเอง ระหว่างนี้ให้พวกเจ้าพักผ่อนและรักษาตัวเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับคู่ต่อสู้จำนวนมากในงานจะดีกว่า”
ชายหนุ่มยืนอยู่กลางห้องแคบขนาดเสื่อผืนหมอนใบ เขาผ่อนปรนลมหายใจอย่างเหนื่อยล้า บรรยากาศอึดอัดบีดรัดเข้ามา ความร้อนอบอ้าวส่งผลให้เกิดเหงื่อไหลออกมามากมาย แม้ก่อนหน้านี้ห้องที่เขายืนอยู่จะเป็นห้องใหญ่โตกว้างขวางเพียงใด ยามนี้ห้องกว้างใหญ่นั้นกลับบีบรัดเข้ามาเสมือนว่าอีกไม่นานคงจะบีบจนร่างกายเขาแหลกเละ
สไปค์ทำทุกวิถีทาง แต่ยิ่งพยายามหาวิธีออกจากห้องนี้มากเท่าไหร่ ห้องก็ยิ่งบีบรัดเข้ามาเรื่อย ๆ มันมากจนทำให้อุปกรณ์หลายอย่างภายในห้องเริ่มถูกกำแพงห้องดันเข้ามาหาตัวเขา สไปค์ตัดสินใจทำลายสิ่งของพวกนั้นทิ้งเป็นเศษซากให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องให้มากขึ้น แต่ก็ยังมิวายโดนห้องบีบรัดเข้ามาอย่างหาทางเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็อีกไม่นานเขาจะต้องถูกแรงบดจากกำแพงรอบข้างจนร่างกายแหลกเละแน่ ๆ
กำแพงหนาที่ทำลายไม่ได้ ทั้งยังบีบรัดเข้ามาจนสร้างแรงกดดันมหาศาล สไปค์รู้สึกอับจนหนทางจนไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรต่อ เขาใช้พลังปราณฮึดขึ้นสู้ก็แล้ว ออกกระบวนท่าทั้งสามเพื่อทำลายก็แล้ว แต่ก็ไม่มีวิธีไหนได้ผล ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิมจนชวนให้รู้สึกท้อในใจ
เวลาแม้ผ่านมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่กลับรู้สึกเหมือนยาวนานติดต่อกันหลายวัน
ความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการใช้พลังปราณอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแรงกดดันจากสภาวการณ์ดังกล่าวทำให้สติของสไปค์ในตอนนี้เริ่มที่จะแยกแยะไม่ออกว่าตนเองกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ และทำไปเพื่ออะไร
“นานแล้วนะ ยังหาทางออกไม่เจออีกรึไง”
เสียงของบุรุษปริศนาคนนั้นดังก้องขึ้นในห้องแคบ ๆ ห้องนี้ เสียงนั้นไม่มีผลต่อสไปค์อีกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เขามักจะได้ยินเสียงของชายคนนี้ดังเป็นระยะจนหมดความรู้สึกที่จะไปสนใจอีก ในยามนี้มีแต่เพียงความคิดว่าจะทำยังไงถึงจะหลุดออกไปจากห้องบ้า ๆ นี่ได้
ชั่วจังหวะนั้นพลันเหลือบไปเห็นเงาตัวเองในกระจก
“เดี๋ยวนะ”
เขาพึมพำออกมาเบา ๆ และใช้สมาธิจ้องไปยังกระจกบานนั้น พลางคิดไปว่าก่อนหน้านี้กระจกบานนี้มันอยู่ตรงส่วนใดของห้องนี้กัน ทำไมพอกำแพงบีบรัดเข้ามามันถึงยังวางตั้งอยู่ได้โดยไม่ล้ม แล้วมันรอดจากการที่เขาทำลายข้าวของมาก่อนหน้านี้ได้ยังไง
คำตอบคือไม่รู้ เขาไม่ได้สังเกตเห็นถึงกระจกบานนี้เลย...
ตัวเขาในกระจกแสดงสีหน้าเหลอหลาเหมือนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก กระจกบานนั้นเป็นกระจกบานยาวสำหรับตั้งพื้น กรอบของมันมีสีทองอร่ามดูงดงามเลิศหรูไม่ธรรมดา เนื้อกระจกก็เรียบสวยไม่มีรอยปนเปื้อนของสิ่งสกปรก สไปค์มองหน้าตัวเองในกระจกเงาบานนั้น พบว่าสีหน้าของตนดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ทันใดนั้นเอง ภาพของตนในกระจกก็หมุนควงเข้าด้วยกันเหมือนลักษณะของก้นหอย หากเป็นตัวเองในยามปกติคงไม่เป็นไร แต่เพราะความเหนื่อยล้าผสมกับความกดดันหลายอย่างทำให้ภูมิต้านทานต่ำลง เขารู้สึกมึนหัวเมื่อได้เห็นภาพของตนเองหมุนควงไปมาแบบนั้น
ร่างของเขาเซไปกระทบกับผิวกำแพงด้านหลัง สติพลันดับวูบ แล้วก็หมดสติไป...
เมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องพบกับทัศนียภาพที่แปลกตาไปจากเดิม เขาลุกขึ้นมายืนสองขาและใช้สายตาทั้งคู่จับจ้องไปยังดวงอาทิตย์สีส้มแดงซึ่งอยู่ไกลลิบ ที่นี่มีเสียงดังรายล้อมมาจากรอบทิศทาง เขาหันซ้ายหันขวาและก็ต้องพบกับกองทัพมนุษย์จำนวนมากกำลังวิ่งตรงเข้ามาเป็นแถว พอหันสายตาไปอีกทางก็พบกับกองทัพอีกหนึ่งกองทัพ แต่นั่นไม่ใช่กองทัพของมนุษย์ หากแต่เป็นกองทัพของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปลักษณ์แตกต่างออกไป
กองทัพมาร...
“ม...มาร เยอะขนาดนี้เลย!” สไปค์เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว จำนวนที่มองเห็นผ่านดวงตาทั้งคู่มีไม่ต่ำไปกว่าหลายร้อยพันตนแน่ ๆ พวกมันกำลังวิ่งตรงเข้ามาพร้อมทั้งส่งเสียงคำรามดังลั่นสนามรบแห่งนี้ สไปค์หันไปมองทางมนุษย์อีกฟากหนึ่ง พวกเขาส่งเสียงเรียกความฮึดมาไม่แพ้กัน นี่ไม่กลัวพวกมารเลยหรือยังไง
“ย...แย่แล้ว หนีไป!” สไปค์ตะโกนบอกกองทัพมนุษย์เหล่านั้น ทว่าก็ยังไม่มีเสียงใดตอบกลับ ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงที่สไปค์ตั้งใจตะโกนออกมา
สไปค์รีบวิ่งออกไปจากจุดศูนย์กลางระหว่างเวทีสงครามของทั้งสองกองทัพ ไม่นานนักทัพทั้งสองก็เข้าประสานงาและรบพุ่งกันอย่างดุเดือดจนกลายเป็นภาพที่ไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่
เห็นอะไรบ้างล่ะ
แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมาในใจ
สิ่งที่เจ้าเห็นจะสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเอง
“พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจ!”
สไปค์ตอบกลับไปยังเสียงดังกล่าว แน่นอนเขาไม่เข้าใจ ตัวตนอะไรทำไมต้องเป็นภาพการรบพุ่งของมนุษย์กับมารแบบนี้
อย่ามาถามข้า นี่คือคำตอบที่เจ้าต้องค้นหาเอาเอง
.“แล้วเจ้าเป็นใครกัน?” สไปค์ถามกลับเสียงปริศนานั้น
ข้าก็คือ ‘กระจก’ ของเจ้า
ไม่ทันที่สไปค์จะได้ถามอะไรกลับ ทัศนียภาพที่มองเห็นก็เริ่มหมุนวนเป็นเกลียวไปอีกครั้ง อาการมึนหัวไหลแทรกเข้ามาอย่างหนักหน่วงจนชายหนุ่มต้องเอามือทั้งสองกุมศีรษะและงอตัวลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาเปล่งเสียงร้องออกมาจากลำคอราวกับกำลังจะขาดใจตาย
ปวดหัวจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว!
แต่ใครกันเล่าจะได้ยินเสียงรำพึงรำพันในใจของชายผู้น่าสงสารคนนี้...
“สวัสดี”
มีเสียงทักทายขึ้นจากใกล้ ๆ
“ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว เป็นยังไงบ้าง ขอถามความรู้สึกหน่อยสิ” คนพูดขยับเข้ามาใกล้พลางโน้มตัวลง
“แกมันโรคจิต” สไปค์ตอบกลับหลังได้สติ อาการปวดหัวเริ่มทุเลาลงช้า ๆ เขาจ้องมองใบหน้าของชายปริศนาที่ช่วยชีวิตเขาไว้ด้วยสายตาเคียดแค้น
“รู้หรือยังว่าข้าเป็นใคร” ชายคนนั้นถาม
“ไม่อยากรู้” สไปค์ตอบอย่างหัวเสีย “ข้าเกลียดกระจกบ้า ๆ นั่นของเจ้า” เมื่อนึกถึงสิ่งที่เจอก็รู้สึกปวดหัวตุ้บขึ้นมาอีกรอบ นี่น่าจะนับเป็นเรื่องใหม่ที่ชวนให้รู้สึกเกลียดเข้าไส้ไปโดยปริยายหลังจากนี้
ทว่าคำพูดของสไปค์กลับทำให้ชายคนนั้นเบิกตากว้างขึ้น
“ด่าว่ากระจกบ้า ถือเป็นคำชมเลยนะนั่น” เขายิ้มออกมาจากใจจริง แสดงให้เห็นว่าไม่ได้พูดหยอกเล่น
“เมื่อเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จะบอกข้าได้หรือยัง เจ้าเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน และมันเกิดอะไรขึ้น” สไปค์ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิกับพื้นพลางใช้สายตาจ้องสำรวจไปทั่วทั้งห้อง พบว่าห้องกว้างห้องเดิมกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ก็ยังคงสมบูรณ์ดีเช่นเดิม ไม่มีร่องรอยความเสียหายเกิดขึ้น
แต่มีสิ่งหนึ่งที่หายไปจากห้อง
สิ่งนั้นคือ ‘กระจก’
“เจ้าเป็นอะไรกับกระจก”
เมื่อรวมกับอาการดีใจต่อคำพูดที่บอกไปว่ากระจกบ้ายิ่งทำให้พอจะคาดเดาได้ว่าชายคนนี้มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกระจกเป็นแน่
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับกระจก” แต่คำตอบที่ได้กลับชวนให้รู้สึกผิดคาด “กระจกต่างหากที่เป็นอะไรกับข้า”
“เลิกเล่นลิ้นกับข้าสักที!” สไปค์เริ่มทนไม่ไหว เขาตวาดใส่เสียงดังลั่นห้อง
“ใจร้อนจริง ๆ เลยนะวัยรุ่นสมัยนี้นี่ แต่ข้าก็ไม่ได้รังเกียจคนแบบเจ้านักหรอก” ชายคนนั้นพริ้มตาหลับลงพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า เขาหันหลังกลับไปหาบานกระจกเพียงหนึ่งเดียวที่ตั้งอยู่ในห้องกว้างขวางแห่งนี้ “เจ้าเคยได้ยินเรื่องของหน่วยรบที่เก่งกาจที่สุดแห่งจักรวรรดิไหม?”
หลังจากได้ยินคำถามนั้นสไปค์ก็ส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่เคยได้ยินสินะ...แย่จัง ต้องบอกเยอะเลยสิเนี่ย”
“บอกแค่ว่าเจ้าเป็นใครชื่ออะไรก็พอ”
ชายแปลกหน้ายิ้มออกมาอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นแสดงออกถึงความสวยงามมากกว่าคำว่าหล่อเท่ที่ควรจะเป็นรอยยิ้มในแบบของผู้ชาย อาจเป็นเพราะใบหน้าของชายคนนี้ดูหวานและอ่อนเยาว์จนชวนให้คิดว่าถ้าจับไปแต่งหญิงน่าจะรุ่ง
“ข้าชื่อว่ามีลาร์”
กล่าวพลางเอามือลูบกระจกที่มีความยาวร่วมครึ่งของส่วนสูงทั้งหมด
“สมญานามว่า ‘กระจก’ และเป็นหนึ่งในสี่บุคคลที่เก่งกาจที่สุดแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังไงล่ะ”