ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 : หุ่นไล่กา

บทที่ 1 : กอดของอาร์มุน


ปฐมบท : ตุ๊กตาสงคราม

 

“ครั้งหนึ่งเมื่อยังเด็กฉันมักจะถูกสอนอยู่เสมอว่า เอ็นวี่ จิตวิญญาณแรกเริ่มแห่งการกำเนิดได้รังสรรค์ทุกสิ่งและสร้างทุกอย่างด้วยความรักและเมตตา ทั้งหมดจึงสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่มีสิ่งใดจะสมบูรณ์ได้มากกว่านั้นอีก ทว่านั่นอาจเป็นเพียงคำโกหกให้ความหวังมวลมนุษย์ว่าวันนึงทุกสิ่งจะจบลงและกลับคืนสู่ความสมบูรณ์พร้อมอย่างที่มันควรจะเป็น เพราะพวกเราต่างก็รู้ดี ความสมบูรณ์แบบของเอ็นวี่นั้นด่างพร้อยเต็มไปด้วยรอยตำหนิ ชีวิตไม่เคยสมบูรณ์แบบและจะไม่มีวันสมบูรณ์ตลอดไปตราบใดเรายังมีชีวิต” - อาร์มุน มารดาแห่งปฐมเวท

 

สิบปี ก่อนการนับศักราช ปลายยุคมหาสงคราม ช่วงเวลาที่ถูกลบจากประวัติศาสตร์

ในความวิเวกเงียบงันยามค่ำ จันทร์เสี้ยวเดียวทอแสงนวลอ่อนพอให้วิสัย มันดูคล้ายรอยยิ้มจากท้องฟ้าส่งลงมาอย่างปีติแก่ผู้ชนะในสมรภูมิ แม้มันจะเป็นชัยชนะเหนือกองซากศพนับหมื่นนับแสนที่ชโลมล้างผืนดินด้วยเลือดและธุลีเถ้า

กระนั้นใครเล่าจะสนใจ เมื่ออย่างไรชีวิตเหล่านี้ก็อุบัติขึ้นในความต่ำช้าเดรัจฉาน เป็นสิ่งที่เกิดมาเพื่อทำลายล้างและฆ่าฟัน การมีอยู่ของพวกมันเพียงหนึ่งก็มากพอจะพรากชีวิตได้อีกร้อย พวกมันคืออสูร สิ่งมีชีวิตอันไม่อาจนับได้ว่าเป็นชีวิต พวกมันคือสาเหตุของมหาสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานจนไม่มีใครจำได้ว่าเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่

และเช่นกัน อีกฝั่งหนึ่งนั้นคือผู้ชนะ แม้จะเหลือร่างเพียงหนึ่งยืนอยู่เหนือกองซากของศัตรูและพวกพ้อง ทว่านั่นเพียงพอแล้วสำหรับชัยชนะ และอาจเป็นชัยชนะเด็ดขาดซึ่งไม่สูญเสียสิ่งใดเลยก็ว่าได้ อย่างน้อยที่สุดก็ในความคิดของผู้ที่ครอบครองมัน เพราะเศษซากชิ้นส่วน นับร้อยนับพันในกองศพนั้นไม่นับเป็นชีวิต

เฉกเช่นเดียวกับเหล่าอสูร พวกมันเป็นเพียงก้อนดิน หิน และไม้เท่านั้น เป็นอาวุธที่ถูกสร้างให้รบ เป็นแค่ตุ๊กตาสงคราม ไร้ชีวิต ไร้จิตวิญญาณ เป็นความสมบูรณ์แบบแท้จริงที่มนุษย์สร้างขึ้น

ร่างสูงที่หลงเหลือแม้รูปกายจะไม่แตกต่างจากมนุษย์เพศชายทั่วไป หากแต่บัดนี้ร่องรอยของการต่อสู้เผยให้เห็นร่างแท้จริงของมัน นัยน์ตาที่สร้างจากนิลสีดำทมิฬไม่สะท้อนสิ่งใดและไม่อาจรู้ว่ามันกำลังจ้องมองอะไรอยู่ ไม่มีอาการเหนื่อยหอบหรือเจ็บปวดแสดงออก แม้ร่างกายจะดูสาหัสไม่น่าอยู่รอด

ด้วยกายเนื้อครึ่งร่างซ้ายที่เคยเป็นไม้เรียบเนียนนั้นถูกไฟจนไหม้เป็นถ่าน ทั้งยังระอุร้อนอยู่บนโครงกระดูกโลหะที่ส่องประกายสีแดงฉาน ส่วนอีกฝากนั้นก็แตกระแหงเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวจากการต่อสู้ โดยเฉพาะส่วนอกที่หลงเหลือเพียงซีโครงเหล็กปกป้องชิ้นส่วนประหลาดรูปหัวใจมนุษย์ที่กำลังเต้นตุ๊บๆ อยู่ด้านใน ดูวิปริตน่ากลัวเกินจะกล่าว ขณะเดียวกันก็ชวนให้ฉงนว่าหัวใจนี้มีไว้เพื่อสิ่งใด เมื่อเจ้าของร่างนั้นไร้โลหิต มีเพียงเส้นสายสีม้วงที่ร้อยเรียงไล่ตามโครงโลหะดั่งเส้นชีพจรประหลาด

ร่างนั้นหันหน้ากวาดศีรษะไปรอบบริเวณคล้ายว่ากำลังมองหาบางสิ่งและหยุดนิ่งไปชั่วขณะ มันก้มลงมองมือข้างซ้ายของตนที่บัดนี้เหลือเพียงถ่านบางๆ ติดแน่นอยู่บนโครงเหล็ก สิ่งที่มันเห็นคือบางอย่างที่ผิดแปลกไปจากปกติ

ไม่ใช่ความเสียหายของร่างกายหากแต่เป็นเพราะบางสิ่งที่มันไม่เข้าใจ มือข้างนั้นกำลังสั่นไหวอย่างประหลาด มันจึงขยับมืออีกข้างหมายจะฉีกกระฉากข้างที่มีปัญหาออก ทว่ามืออีกข้างนั้นกลับมีอาการเดียวกัน ทั้งยังขยับเคลื่อนไหวลำบากคล้ายว่ามีบางสิ่งรั้งเอาไว้

นับแต่มันถูกสร้าง เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้กระทั่งในกระบวนการฝึกฝนเรียนรู้รูปแบบการต่อสู้ที่ร่างกายต้องเพชิญกับความเสียหายมากมายก็เพียงแค่ถอดส่วนที่เสียออกและสร้างขึ้นใหม่เท่านั้น แต่ไม่มีครั้งไหนที่อวัยวะเกิดการสั่นไหวจนควบคุมไม่ได้เช่นนี้เลย จนกระทั่งไม่กี่ชั่วอึดใจที่ผ่านมา

“มันคืออะไรกัน...” เสียงทุ้มต่ำดังเบาๆ ผ่านลำคอแตกร้าวเพียงลำพัง นัยน์ตาสีนิลแม้ยากจะเข้าใจ แต่เต็มเปี่ยมด้วยความสงสัย กระทั่งในที่สุดห้วงเวลาแห่งความว่างเปล่าก็จบลงเมื่อดวงตะวันค่อยๆ ฉายแสงย่ำรุ่งพร้อมกับเสียงฝีเท้ามากมายที่ดังขึ้นไม่ไกล เป็นสัญญาณว่าหน้าที่ของหุ่นไม้อย่างมันได้จบลงแล้ว

………………………………..

สายลมเอื่อยพัดผ่านยามสายเป็นกลิ่นแมกไม้ให้สดชื่น แต่น่าเสียดายว่าร่างหนึ่งนั้นไม่อาจรับกลิ่นหรือสัมผัสสายลมเย็น มันเพียงย่างก้าวช้าๆ ผ่านกลุ่มทหารนับร้อยซึ่งตั้งค่ายอยู่บนเขาในชัยภูมิได้เปรียบทางรับ

ท่ามกลางเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบของเหล่าทหาร หัวเรื่องหลักคงไม่พ้นตุ๊กตาปีศาจที่เดินผ่านพวกเขาไปว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในสนามรบบ้าง ใครเล่าจะเชื่อว่าหุ่นไม้เป็นพันๆ เหลือรอดกลับมาได้แค่หนึ่ง แต่หากคิดกลับกันอสูรหลายหมื่นที่พวกมันต้องประมือต่อให้เกณฑ์เอาชาวบ้านชาวนาทั้งหญิงชายมารวมกับทหารทั้งหมดที่มีก็คงไม่มีแม้เพียงหนึ่งที่จะรอดกลับมา มวลมนุษย์คงสูญสิ้นเผ่าพันธุ์แน่แท้

ถึงจะรู้แบบนั้นแต่พวกเขาก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าควรขอบคุณหุ่นไม้ที่ทำให้สงครามอันแสนยาวนานนี้จวนจะจบลงเต็มที เหตุนั้นคงเพราะตัวมันและผู้ที่สร้างมันขึ้นล้วนแต่น่ารังเกียจในสายตาของคนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ศรัทธาในองค์เอ็นวี่ เทพีผู้สร้างแล้ว หุ่นไม้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกอสูร เป็นสิ่งแปลกปลอมบนโลกของเอ็นวี่ ยิ่งกับคนที่สร้างสิ่งแปลกปลอมพวกนี้ขึ้นมาด้วยแล้ว แม้ความตายก็คงยังไม่สาแก่ความบาปที่นางกระทำต่อโลก

หุ่นไม้ตนสุดท้ายเดินตรงไปยังกระโจมของแม้ทัพด้วยสภาพยับเยินพร้อมกับทหารฝีมือโชกโชนอีกสิบคน ซึ่งเตรียมจะชักดาบบั่นคอหุ่นไม้ตนนี้ทุกเมื่อหากมีโอกาส แต่พวกเขาคงทำเช่นนั้นไม่ได้ตราบใดที่ยังมีคำสั่งค้ำคอ

ทั้งหมดยืนรออยู่หน้ากระโจมเพียงไม่นานนัก ร่างของชายกำยำแข็งแกร่งภายใต้ชุดเกราะโลหะหนาก็ปรากฏขึ้น แม้อายุจะกร้านโลกแล้วแต่ฝีมือและทักษะในการรบกับอสูรก็ยังถูกนับว่าเป็นที่หนึ่ง ทั้งมันสมองก็ชาญฉลาดเต็มเปี่ยมด้วยความเป็นผู้นำ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สนับสนุนให้นำหุ่นไม้มาใช้ในสงครามนี้ตั้งแต่แรก ถึงใจจะเกลียดชังหุ่นเหล่านี้มากกว่าใครจะเข้าใจก็ตาม

“แกรอดมาได้ยังไง” แม่ทัพใหญ่เอ่ยเสียงดังแข็งขัน เขาเหลือบมองร่างผุพังของหุ่นไม้ครู่หนึ่งอย่างแปลกใจ เพราะรู้แต่แรกแล้วว่าหุ่นทั้งหมดที่เหลือในทัพของตนไม่เพียงพอจะรบกับกองทัพอสูรจนถึงขั้นตัดสินแพ้ชนะได้ เขาเพียงส่งพวกมันทั้งหมดเข้าไปทำภารกิจฆ่าตัวตาย ตัดกำลังข้าศึกให้มากที่สุด ให้พวกอสูรบอบช้ำจากการรบแล้วจึงส่งกองทัพของตนเข้าไปจัดการส่วนที่เหลือให้สิ้นซาก ทว่าหุ่นตนนี้ยังกลับมาได้จึงนับว่าแปลก แต่เป็นผลดี อย่างน้อยก็ยังเหลือยอดอาวุธไว้ใช้ในศึกหน้าที่อาจเกิดขึ้น “ช่างเถอะ รีบรายงานความเสียหายมา ข้ามีแขกคนสำคัญรอพบอยู่”

เขาเอ่ยขณะละสายตาไปยังทหารหนุ่มของตัวเองที่ยืนอยู่ข้างๆ หุ่นรบตรงหน้า ด้วยฝีมือ ไหวพริบและวินัยต่อคำสั่งเฉกเช่นยอดทหาร ทำให้เขาไว้ใจให้ทหารหนุ่มผู้นี้เป็นคนคุมกองทัพเก็บกวาดในศึกที่ว่า

“เราเสียหุ่นเกือบทั้งหมดตามที่คาดการณ์ไว้ครับ ยกเว้นแต่หุ่นตัวนี้เท่านั้นที่ผิดจากแผน ด้วยปัจจัยบางอย่างทำให้ศึกนี้จบลงก่อนที่หน่วยของผมจะไปถึง พวกเราเป็นฝ่ายชนะโดยไม่เสียทหารเลยแม้แต่คนเดียว จำนวนศพของอสูรที่นับได้คือแปดหมื่นบวกลบไม่มาก และในจำนวนนั้นเราพบอสูรระดับสูงหกศพ และระดับจักรพรรดิอีกหนึ่งครับท่าน” ทหารหนุ่มตอบฉะฉานตามรูปการที่เขาเห็นตอนไปถึงสมรภูมิ ถึงส่วนหนึ่งจะเจ็บใจที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลยในศึกนี้ แต่การไม่สูญเสียชีวิตทหารย่อมดีกว่า

ขณะเดียวกันฝั่งแท้ทัพใหญ่เมื่อได้ฟังคำรายงานดังนั้นก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจในศักยภาพของหุ่นรบที่เขาเองก็คาดคิดไม่ถึง แม้จะเคยใช้พวกมันในศึกก่อนหน้ามาหลายครั้งหลายครา ได้รู้ว่าหุ่นเหล่านี้ทรงพลังและน่ากลัว ทว่าคราวนี้มันต่างออกไปมาก ลำพังแค่จำนวนศัตรูก็มากกว่าถึงหลายสิบเท่าแล้ว ยังไม่นับเหล่าอสูรระดับสูงซึ่งหากเป็นมนุษย์ธรรมดาคงต้องใช้ยอดฝีมือมากกว่าครึ่งร้อยถึงจะกำราบอยู่

“อืม… ถือเป็นโชคของเรา ศึกนี้ให้ผลลัพธ์ดีกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก ถึงจะเสียขุมกำลังรบไปเกือบหมดแต่ก็ถือว่าคุ้มค่าเกินกว่าที่คิด เอาไว้ข้าจะไปรายงานให้องค์ราชาทราบด้วยตัวเองที่หลัง… พวกเจ้าไปได้แล้ว” แม้ทัพสั่งการ พลางหันหลังหมายจะละกลับไปรับแขกคนสำคัญที่ว่าไว้ แต่ไม่ทันไรทหารหนุ่มก็ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน

“แล้วจะให้ทำยังไงกับหุ่นนี่ครับ” ทหารหนุ่มว่า เพราะคำสั่งนั้นยังไม่ชัดไม่เจน หุ่นทั้งหมดความจริงควรจะต้องถูกทำลายในศึกคราวนี้แล้ว เช่นนั้นการที่หุ่นยังเหลืออยู่จึงเป็นความไม่แน่ชัดและหุ่นตนนี้เองก็ต้องการคำสั่งต่อไป

“ถึงจะเหลือตัวเดียวแต่มันยังมีประโยชน์ พามันไปหานางแม่มด ให้นางซ่อมแซมมันซะ” แม้ทัพกล่าวโดยไม่หันกลับมา เขาเดินกลับเข้าโจมเหมือนสิ่งที่สั่งไปนั้นไม่ได้สลักสำคัญใดๆ แม้บนใบหน้าจะแฝงรอยยิ้มเล็กๆ ที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวก็ตาม

เหตุนั้นไม่ใช่เพราะเขาหลงใหลในความสามารถของหุ่นรบเหล่านี้ เขาเกลียดมันเสียยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก แต่การมีอยู่ของมันอย่างน้อยก็ทำให้คนที่สร้างมันขึ้นมา ยังมีประโยชน์ในฐานะช่างซ่อมหุ่นของกองทัพ

ทันทีที่เสร็จเรื่อง แม้ทัพใหญ่จึงเดินมานั่งลงข้างโต๊ะกลมสำหรับวางแผนที่บัดนี้แผนผังทั้งหมดถูกนำออกไปเหลือเพียงเชิงเทียนและแก้วโลหะสองใบ ใบหนึ่งว่างเปล่าสำหรับเขา อีกใบเป็นไวน์หมักบ่มอย่างดีสำหรับแขกซึ่งนั่งรออยู่พักหนึ่งโดยไม่แตะต้อง ลิ้มลองรสของไวน์นี้เลย

“ข้าคิดว่าเราน่าจะคุยกันก่อนที่ท่านจะออกไปสั่งการลูกน้องนะ แบบนี้เห็นทีท่านอาจกลายเป็นเจ้านายที่ออกคำสั่งเลื่อนลอย กลืนน้ำลายตัวเองได้” พลันเสียงนุ่มฟังดูหวานละมุนปานน้ำตาลอ้อยก็ดังขึ้นผ่านริมฝีปากสีขาวซีดของแขกผู้มาเยือน ใบหน้าของเขาดูหนุ่มแน่นแต่เกลี่ยงเกลาราวหญิงสาว ผมสีเทายาวสง่าถูกมัดรวบอย่างดีเผยให้เห็นใบหูรูปแหลมดูประหลาดกับเขากวางใหญ่บนศีรษะบ่งบอกอายุ ว่าแท้จริงเขาอาจแก่กว่าเจ้าบ้านมากถึงสองรอบ

“ท่านหมายความว่ายังไง” แม้ทัพใหญ่เอ่ยเบาๆ พลางเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย ก่อนที่เอลฟ์หนุ่มผู้นั้นจะหยิบกระบอกสารออกมายื่นให้กับแม้ทัพและเริ่มอธิบายช้าๆ

“นี่คือราชสารจากราชาของท่าน ลงนามร่วมกับองค์ราชาของข้า รวมทั้งชาวช่าง เผ่าเกล็ด และเผ่าจิ้งจอก พวกเราจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรต่อสู้ในสงครามอสูรอย่างเป็นอย่างเป็นทางการ โดยมีเงื่อนไขคือทางมนุษย์จะต้องทำลายหุ่นสงครามทั้งหมดและประหารผู้ที่สร้างมันได้ รวมทั้งต้องเผาทำลายเอกสารและบันทึกทั้งหมดที่มีการพูดถึงหุ่นอันตรายพวกนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสามารถสร้างสิ่งที่ร้ายกาจและอาจเป็นภัยใหญ่หลวงแบบนี้ได้อีกในอนาคต...” เขากล่าวน้ำเสียงนุ่มขณะที่แม่ทัพอ่านสารในมือซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด ดวงตาดูเหม่อลอยครุ่นคิดถึงคำสั่งที่ได้รับ ทั้งที่ในฐานะนักรบแล้วการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งย่อมดีกว่า แต่ด้วยเหตุผลในเงื่อนไขนั้นทำให้เขาต้องชะงักงัน

ฝ่ายเอลฟ์หนุ่มด้วยรู้ดีว่าแม้ทัพนั้นกำลังคิดอะไรจึงพูดต่อ “ข้ารู้ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับนางแม่มดอาร์มุน ข้ารู้ยังมีบางส่วนของท่านที่ยังรักนางอยู่ ถึงนางจะฆ่าลูกตัวเอง... ข้าหมายถึงลูกของท่าน แต่อย่าได้ตัดสินใจนานนักเลย อย่าลืมว่าคนที่ออกคำสั่งนี้คือองค์ราชา คงไม่มีใครบนโลกจะเสียใจมากกว่าพ่อที่ต้องสั่งประหารลูกสาวของตัวเองอีกแล้ว”

 

 

 

บทที่ 1 : กอดของอาร์มุน

ศักราชที่หนึ่งพันหนึ่งร้อยหนึ่ง ยุคแห่งอัตตะศิลา

ตะวันดวงเด่นส่องประกายอาบฉายริ้วเมฆหนาเปลี่ยนฟ้าเป็นสีส้มอมม่วงบอกกาลเลื่อนผ่านจากวันเป็นคืน ในความวิเวกเงียบงัน สายลมเอื่อยแปรเปลี่ยนพัดหอบเอาความเย็นเยียบหนาวเหน็บเข้ามาแทนที่

“พวกเจ้ารู้สึกรึเปล่า ข้าว่าที่นี่มันแปลกๆ …” เสียงหวานนุ่มดังขึ้นผ่านสายลมกลางป่าหนาทึบ นัยน์ตาสีส้มกลมโตสอดส่ายมองรอบกายขณะนั่งยันเข่าใช้มือสัมผัสผิวดิน หูแหลมใต้ขนฟูนุ่มสีส้มขยับยักยืดไปมาคล้ายกำลังระแวดระวังบางอย่าง ในทางเดียวกันพวงหางของนางพลันลดต่ำและเริ่มฟูออกด้วยสัญชาตญาณเก่าแก่ไม่อาจควบคุม

“ไม่ต้องมีสัญชาตญาณจิ้งจอก ฉันก็รู้อยู่หรอกว่ามันแปลก ที่นี่เงียบมาก... เงียบเกินไป” เสียงทุ้มหนักหน่วงตอบรับจากชายร่างกำยำ สูงใหญ่ในเกราะหนังและโซถักเชนเมลไม่ไกลกัน

ด้วยการแต่งการที่ดูทะมัดทะแมงแต่แข็งแกร่ง พร้อมมีดแบบ โคปิส (Kopis) คมเดียวขนาดใหญ่ทรงโค้งมนเว้าแหว่งข้างเอวซ้ายซึ่งถูกลงรักอักขระเวทมาอย่างดี บ่งบอกความถนัดในการต่อสู้ระยะประชิดที่เน้นความรวดเร็วดุดันไม่ยืดเยื้อ

“เราเองก็เห็นเช่นกันกับพวกท่าน ป่าแห่งนี้พิศวงน่าขนลุกจริงๆ ... ถึงเราจะไม่มีขนให้ลุกก็เถอะ” ตอนนั้นเองที่เสียงแหบแห้งหยาบสากอย่างกับเสียงโรยทรายลงกระเบื้องดังขึ้นร่วมบทสนทนาด้วยสำเนียงเป็นเอกลักษณ์

หากเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักกันมาก่อนคงไม่มีใครคิดถึงแน่ว่าชนเผ่า ชาวเกล็ด หรือที่บางคนเรียกว่า มนุษย์จระเข้ ตัวสูงสองเมตรผู้นี้จะมีอารมณ์ขันพูดจาทีเล่นทีจริงในเวลากดดันเช่นนี้ได้

เพราะแม้แต่ในหมู่ชาติพันธุ์นักล่าแห่งบึงน้ำด้วยกัน รูปลักษณ์ของเขาก็ยังนับว่าน่าเกรงขาม ด้วยเกล็ดสีดำสนิททั่วร่าง ตัดริ้วขาวใต้ดวงตาบ่งบอกสายเลือดแห่งผู้นำ อีกทั้งบนหน้าอกเปลือยเปล่ายังมีรอยสลักที่แสดงให้รู้ว่าเขาคือผู้สำเร็จขั้นสูงสุดในวิชาต่อสู้ของเผ่าครบทุกรูปแบบ

ทว่าสำหรับจิ้งจอกสาวและชายหนุ่มที่รู้จักสหายชาวบึงผู้นี้ดีอยู่แล้วนั้น ก็ได้แต่หันไปถอนหายใจพร้อมกันเบาๆ อย่างเสียไม่ได้

“ว่าแต่เธอแน่ใจนะว่าเราตามรอยอสูรนั่นมาถูกทาง…” ชายหนุ่มเอ่ยถามจิ้งจอกสาวถึงภารกิจที่ได้รับ เพราะว่ากันตามตรงนี่ก็ผ่านมาได้ร่วมสัปดาห์แล้วที่ร่องรอยของอสูรตนนั้นหายไป ได้แต่พึ่งพาสัมผัสจิ้งจอก

ซึ่งก็ไม่มีใครนอกจากเจ้าตัวจะรู้ว่ามันแม่นยำแค่ไหน หากเป็นนักล่ากลุ่มอื่นคงตีความว่าการล่าล้มเหลวไปนานแล้ว เหตุผลเดียวที่กลุ่มนี้ไม่ คงมีแต่ความไว้ใจกันเท่านั้น

“หุบปากน่า ก็ข้าบอกแล้วไงว่าที่นี่มันแปลก... มันควรจะอยู่ใกล้ๆ นี้เองสิ” จิ้งจอกสาวตอบเสียงแข็ง

“ใกล้? ใกล้แค่ไหน เรากำลังพูดถึงอสูรยักษ์ตัวสูงแปดเมตรกันอยู่นะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วประชด เมื่อได้ฟังคำตอบของสาวเจ้า เพราะสิ่งที่พวกเขาล่าอยู่ ไม่ใช่อสูรอย่างสไลม์หรือเกรมลิน หากแต่เป็น หมาป่ายักษ์เฟนรีส ลำพังแค่ขนาดตัวของมันก็ใหญ่โตมหึมาเห็นได้จากที่ไกลๆ แล้ว

“สัมผัสของข้าไม่เคยพลาด ต้องมีอะไรผิดปกติแน่”

.จิ้งจอกสาวแม้จะพูดเช่นนั้น แต่น้ำเสียงเริ่มแฝงความไม่มั่นใจ ทั้งสีหน้าก็แสดงความเคร่งเครียด นางขมวดปมคิ้วและขบเคี้ยวกัดฟันพยายามเพ่งสมาธิกดดันตัวเองหาว่าสิ่งใดผิดพลาด สัมผัสจิ้งจอกของนางจึงบอกว่าหมาป่าเฟนรีสอยู่แถวนี้

ฝ่ายชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงผ่อนลมหายใจ พลางเดินเข้าไปใช้มือลูบหัวจิ้งจอกสาวอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน

สาวเจ้าไม่ทันตั้งตัวก็เผลอแยกเขี้ยวออกมาชั่วพริบตา ก่อนเปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลันกลายเป็นหลุบคอโอนอ่อน เมื่อรู้ว่ามือนั้นเป็นของใคร

“ขอโทษนะ ฮารุ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะกดดัน... บางทีเราน่าจะพักสักหน่อย” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงค่อย ขณะลูบหัวจิ้งจอกสาวไม่วางจนนางเผลอทำหน้าตาประหลาด ม้วนหางตัวเองอย่างขวยเขิน

เพียงเข้าใจธรรมชาติของเผ่าจิ้งจอกก็บอกได้ไม่ยากว่านั่นคือทาทีที่พวกนางจะแสดงออกต่อคนรักเท่านั้น

ทำเอาอีกคนที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ต้องเบือนหน้าหนี แล้วคิดในใจว่าสถานการณ์ที่เขากลายเป็นก้างขวางคอคนมีความรักแบบนี้มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่

ต่อสู้ฝ่าฟันอันตราย ผ่านเป็นผ่านตายด้วยกันสามคนมานับสิบปี อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนกลายเป็นคนนอกเสียอย่างนั้น

ทว่านั่นไม่ได้กวนใจเขาเท่าไหร่นัก เพราะอย่างไรทั้งสองก็เปรียบได้กับครอบครัวของเขา หากว่าสุดท้ายวันหนึ่งทั้งสองคนเลือกจะวางมือจากการผจญภัย ละทิ้งกลุ่มนี้ไปใช้ชีวิตคู่จริง มันก็คงเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเขามากกว่าจะมานั่งเสียดาย

“หากพวกท่านจะพัก เช่นนั้นเราอาสาไปหาเสบียงดีกว่า” เจ้าชายแห่งลุ่มน้ำเอ่ยด้วยสำเนียงเป็นเอกลักษณ์ ตั้งใจจะปลีกตัวออกไปหาฟืนล่าสัตว์เป็นอาหารสำหรับคืนนี้เพียงลำพัง

ทว่าในชั่วขณะที่เขาหันหลัง ก้าวขาออกไปนั้นเองที่ภาพของป่ารอบกายพลันวับไหวราวกับผืนผ้าม่านถูกลม บรรยากาศเงียบงันประหลาดในตอนแรกยิ่งตอกย้ำความวิเวกชัดเจน ใต้เท้าที่ควรจะเป็นผืนดินก็กลับกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มของโลหิตแห้งกรัง

“มิติลวงตา!!” เจ้าชายแห่งลุ่มน้ำตะโกนลั่น ขณะกระโจนถอยหลังออกจากม่านลวงตานั้นอย่างฉับพลัน มือสองข้างปรากฏขวานหินสีเทาขุ่นแต่คมกริบจากอากาศธาตุด้วยอาคมอัญเชิญอาวุธ

โดยไม่ต้องให้อธิบาย ทั้งนักรบหนุ่มและจิ้งจอกสาวได้เห็นการวับไหวของมิติลวงตาขนาดยักษ์นั้นพร้อมกันก็จัดแนวรบประจำหน้าที่ตนทันที

โดยมีจิ้งจอกสาวอยู่ตรงกลางระหว่างชายหนุ่มทั้งสองที่หันหลังให้กัน มองผิวเผินเหมือนพวกเขากำลังปกป้องสาวน้อย แต่แท้จริงมันกลับกันเลยต่างหาก เพราะสาวเจ้าที่นั่งชันเข่าแยกเขี้ยวอยู่ตรงกลางนั้นกำลังปกป้องพวกเขาด้วยอาคมพรางกาย

ทุกสิ่งภายในรัศมีไม่กี่ศอกรอบตัวนางจะถูกทำให้จางหายไปจากการรับรู้ ไม่ใช่เพียงมองไม่เห็นแต่ยังสัมผัสไม่ได้ ยังคงอยู่แต่เสมือนไม่มีอยู่จริง ถือเป็นหนึ่งในยอดวิชาลวงสัมผัสที่แม้แต่ในหมู่มวลจิ้งจอกก็มีเพียงน้อยคนจะใช้ได้ชำนาญ

“หุ่นกระดูก...” ภายใต้อาคมของจิ้งจอก จระเข้หนุ่มเอ่ยอัญเชิญร่างอวตารของตนในรูปโครงกระดูกขนาดเท่าตัวจริงให้ลุกขึ้นมาจากผืนดิน

ด้วยพิชาญสัมผัสที่ผูกกันไว้สองด้าน เขาชักเชิดให้หุ่นกระดูกตนนี้เคลื่อนไหวออกไปนอกรัศมีของอาคมจิ้งจอกได้โดยไม่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยง

ถึงแม้ร่างอวตารนี้จะไร้กำลังไม่อาจใช้ต่อสู้ แต่ทัศนะดวงตาของมันต่างหากคือเหตุผลที่เขาอัญเชิญมันออกมา เพราะเหนือกว่าอาวุธชุดเกราะหรือเวทมนตร์ สิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งสามรอดกลับบ้านไปได้ทุกครั้งคือความรอบคอบ

เขาคุมร่างอวตารให้ขยับเคลื่อนที่ช้าๆ ไปยังม่านมิติลวงตาขนาดใหญ่ยักษ์ที่วับไหวเมื่อครู่และให้หยุดยืนตรงนั้นครู่หนึ่งเป็นการไว้เชิงล่อหลอก ก่อนจะตัดสินใจให้มันพุ่งกระโจนผ่านม่านครอบเข้าไปในมิติลวงตานั้นอย่างฉับพลัน

“เห็นอะไรบ้าง คร๊อกคัส... ฉันต้องปลดพันธะมั้ย” มนุษย์คนเดียวในกลุ่มเอ่ยเบาๆ แต่น้ำเสียงจริงจังหนักแน่น พลางกระชับมีดโคปิสในมือให้แน่นกว่าเดิม เพราะบัดนี้อักขระบนคมมีดเริ่มสั่นไหวอย่างประหลาด เรียกร้องให้เขาปลดปล่อยความวิปริตในตัวมันออกมา

ไม่มีคำตอบจากปากจระเข้หนุ่ม สิ่งเดียวที่พอจะบอกได้ว่าหลังม่านลวงตานั้นมีอะไร คือใบหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ของชาวเกล็ดที่บัดนี้แสดงออกอย่างผิดวิสัย นัยน์ตาที่สะท้อนจากร่างอวตารดูเหม่อลอย ขากรรไกรของเขาเผลออ้าออก แม้เล็กน้อยแต่เพียงพอให้จับได้

จิ้งจอกสาวเห็นใบหน้าเช่นนั้นก็ได้แต่ต้องขบเขี้ยวหันไปพยักหน้ากับชายหนุ่ม สื่อความหมายว่านางต้องการกำลังรบของเขา แม้ว่ามันอาจจะหมายถึงการปลุกอสูรอีกตนออกมา แต่อย่างน้อยนางก็รู้จักอสูรที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่ดีกว่าอะไรก็ตามที่อยู่หลังม่านแน่นอน

ชายหนุ่มเลิกคิ้วส่ายหน้าเป็นการตอบรับ สื่อว่าเขาเองก็ไม่อยากปลดพันธนาการปีศาจคลั่งในตัวเช่นกัน แต่เมื่อจิ้งจอกสาวต้องการเช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือก

ในชั่วขณะ หมอกสีดำพลันพุ่งเป็นสายออกจากคมมีด แล้วแปรเปลี่ยนกลายเป็นใยสีดำทึบนับร้อยนับพันที่เกี่ยวรัดมือของเขาเอาไว้ราวกับต้องการผูกมัดกายเนื้อกับคมมีดให้เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดกาล

ในเสี้ยวนาทีที่นัยน์ตาของนักรบหนุ่มเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ร้ายและเสื้อเกราะเชนเมลของเขาเริ่มส่งเสียงปริแตก จู่ๆ น้ำเสียงสากแห้งของจระเข้หนุ่มก็ดังขึ้นแทรกกลางราวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้สลักสำคัญ ทั้งที่ ปีศาจคลั่งแห่งเทม กำลังจะตื่นขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ

“ไม่.. ไม่ต้องปลดพันธะ”

ฉับพลันเมื่อสิ้นประโยค จิ้งจอกสาวรีบยกเลิกอาคมพรางกายแล้วกระโดดง้างฝ่ามือจนสุดแขนทันที ก่อนที่พริบตาต่อมาจะเกิดเสียงดังกัมปนาทเหมือนฟ้าถล่ม ยามฝ่ามือของนางปะทะใบหน้าของชายหนุ่มที่รัก จนมันสะบัดตามแรงมือลงไปจมกับพื้นดินเบื่องล่าง

ราวกับเป็นแค่เรื่องตลกเล่ากันในวงสนทนา เพราะแม้แต่ปีศาจคลั่งแห่งเทมก็ไม่อาจทรงอำนาจทัดเทียมฝ่ามือของนางผู้เป็นที่รักได้

แต่ว่ากันแล้ว ฝ่ามือแห่งรักที่เสริมอาคมเพิ่มพละกำลังกว่าหกอย่างพร้อมกันนี้ เพียงพอจะสะบั้นคอคนทั่วไปให้ขาดจากร่างได้ด้วยซ้ำ การต้องใช้กำลังระดับที่ตั้งใจจะฆ่าให้ตายเช่นนี้ทุกครั้งที่เขาปลดพันธนาการปีศาจจึงดูจะเป็นตลกร้ายเสียมากกว่า

ชายที่จมอยู่บนผิวดิน ได้สติก็รีบดีดตัวขึ้นมานั่งกุมคอ เก็บมีดในมือพลางหยิบขวดของเหลวสีน้ำเงินเล็กเท่านิ้วก้อยขึ้นมากระดกรักษาตัวทันที พร้อมกันนั้นจระเข้หนุ่มต้นเรื่องก็หันมาหาทั้งสอง นัยน์ตาข้างหนึ่งยังเชื่อมต่อกับหุ่นกระดูกสื่อความว่าร่างอวตารนั้นปลอดภัย

“อ๊ะ เราคงตอบช้าไป ต้องขอโทษจริงๆ” จระเข้ผู้มีศักดิ์สูงแสร้งทำท่าตระหนกชั่วครู่ ก่อนยอมน้อมตัวกล่าวโทษต่อสหายทั้งสองเมื่อรู้ว่าการแสดงออกเมื่อครู่ก่อปัญหาจนกระบวนแผนรวนไปหมด กระนั้นก็แอบเผลออมยิ้มเป็นเรื่องล้อเล่นมากกว่าจะขอโทษจริงจัง

ก็คงมีแต่ผู้ถือครอง อัตตะศิลาระดับอัญมณี อย่างพวกเขาเท่านั้นที่สามารถล้อเล่นกับเรื่องใหญ่อย่างการเกือบจะปลดปล่อยปีศาจออกมาได้ ด้วยว่าผู้ถือครองอัตตะศิลาหรือนักผจญภัยนั้นมีอยู่ด้วยกันเจ็ดขั้น สองระดับ คือระดับหิน เริ่มต้นจากผู้ผ่านการฝึกฝนทดสอบอย่างสาหัสจนได้รับอัตตะศิลาชั้นแรกอย่างหินอ่อน แล้วสั่งสมประสบการณ์สู่ชั้นอาเกต และเขี้ยวกรำฝึกฝนร่างกายจนถึงขีดจำกัดความเป็นคนจึงจะได้ขั้นหยก

แต่ทั้งหมดนั้นคือระดับของคนธรรดา ใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับระดับต่อไปอย่างระดับอัญมณีไม่ได้ เพราะมันคือระดับของผู้ที่ก้าวข้ามเส้นแบ่งความเป็นคนขึ้นมาเป็นสิ่งที่เหนือกว่านั้น เป็นระดับของยอดคน ระดับของอัญมณีในหมู่กรวด

“ฟู้ว…” ชายหนุ่มหายใจเข้าออกช้าๆ แล้วพ่นลมหายใจยาวยืด พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเก็บกลั้นการแสดงออกอย่างสุดความสามารถ “การโดนตบด้วยอาคมเสริมแกร่งมันไม่สนุก แล้วโพชั่นกับเชนเมลก็ราคาค่อนข้างสูง หวังว่าท่านจะเข้าใจนะ... องค์ชาย”

เขาว่าพร้อมรอยยิ้ม แต่ทำเอาคนที่ถูกเรียกว่าองค์ชายสะอึก เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังโกรธจริงจัง ถึงได้ใช้คำพูดห่างเหินกันขนาดนี้

“พอได้แล้วน่า ตกลงไอ้มิติลวงตานี้มันยังไง เจ้าเห็นอะไรในนั้นรึ” จิ้งจอกสาวเอ่ยถาม ด้วยรู้ว่าสถานการณ์นั้นปลอดภัยแน่แล้ว สองหนุ่มจึงกัดกันได้

“หมาป่าเฟนริส..” ยังไม่ทันให้พูดจบ จระเข้หนุ่มก็ถูกสายตาดุดันสองคู่จ้องเขม็งมาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อทันที “ใจเย็นก่อน เราหมายถึงซากของมันต่างหาก”

“ซาก?” สาวเจ้าหรี่ตาทวนคำพูดของอีกฝ่ายให้แน่ใจ เพราะหมาป่าเฟนรีสถึงจะไม่ร้ายกาจเท่าพวกมังกรบรรพกาลหรือปีศาจจากตำนานปรัมปรา แต่ก็ถูกจัดให้อันตรายถึงระดับภัยพิบัติ แม้แต่กับนักล่าชั้นไพลิน (Sapphire) อย่างพวกเขาการต้องต่อสู้ซึ่งหน้าก็ยังนับว่าเป็นงานตึงมือ

กระนั้นมัวถามอยู่ก็ใช่ที่ สาวเจ้าจึงตัดสินใจเดินตรงเข้าไปยังมิติลวงตานั้นด้วยตัวเองเป็นคนแรก ก่อนที่อีกสองคนจะเดินตามเข้าไปติดๆ

ในชั่วพริบตาที่ภาพแห่งความเป็นจริงปรากฏ สายตาของจิ้งจอกสาวและชายหนุ่มก็หยุดตรึงกับภาพของหมาป่าตัวมหึมาที่นอนแผ่อยู่ด้านหน้าห่างไปไม่กี่เมตร

ผืนหญ้ารอบบริเวณถูกย้อมด้วยเลือดแห้งกรังที่เคยไหลจากร่างของเฟนรีสผ่านรอยแยกขนาดใหญ่บนศีรษะ และสำคัญนั่นคือแผลเดียวบนร่างที่พวกเขาเห็น

แม้ยากจะคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทว่าทั้งสามก็บอกได้ทันทีว่านี่คือรอยแผลที่เกิดจากการโจมตีทางกายภาพ ซึ่งไม่เพียงแม่นยำเท่านั้น แต่ยังรุนแรงระดับสามารถเจาะกะโหลกหนาของเฟนรีสได้ในการโจมตีครั้งเดียว

ไม่มีกระทั้งร่อยรอยของการต่อสู่ยืดเยื้อ หมาป่ายักษ์ไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำตอนที่มันถูกผ่ากระโหลก ทั้งที่มันควรจะมีสัมผัสประสาทดีเป็นอันต้นๆ แล้วในบรรดาอสูรระดับสูง

“นี่มันบ้าแล้ว!… ฝีมือพวก เทรียล รึเปล่า” จิ้งจอกสาวกล่าวเสียงเข้มในลำคอ บ่งบอกความสับสนปนหงุดหงิดยามเอ่ยชื่อสมาคมนักผจญภัยใกล้เคียง เพราะพวกเธอได้รับภารกิจนี้มาจากสภา จึงอาจมีความผิดพลาดในการรับภารกิจซ้อนกันได้

ทว่าข้อสันนิษฐานนั้นก็เป็นอันต้องตกไปทันทีเมื่อชายหนุ่มเริ่มอธิบายสิ่งที่เขาพอจะรู้ด้วยน้ำเสียงสุขุม ใจเย็นกว่าปกติ ขณะจับจ้องซากอสูรไม่วางตา “เป็นไปไม่ได้หรอก เท่าที่ฉันรู้ เทรียล เป็นสมาคมท้องถิ่นไม่ค่อยรับภารกิจล่าสังหารนอกพื้นที่ตัวเอง ที่สำคัญถ้าฉันจำไม่ผิด พวกเทรียลมีนักผจญภัยระดับอัญมณีสังกัดอยู่แค่สองคน ไม่ใช่ฝีมือพวกนั้นแน่”

“เราก็คิดเช่นกัน นี่ไม่ใช่ฝีมือของเทรียล อันที่จริงเราไม่คิดว่านี่เป็นฝีมือนักผจญภัย มิติลวงตานี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บซ่อนสิ่งที่อยู่ด้านใน” จระเข้หนุ่มเอ่ยเสริม เรียกความสนใจทั้งสองให้หันมาเห็นว่านัยน์ตาของเขายังเชื่อมอยู่กับร่างอวตาร

แต่คราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ร่างเดียว ทว่ามากกว่าร้อยร่างกำลังเดินสำรวจไปทั่วทั้งมิติลวงตาแห่งนี้ แน่นอนว่าดวงตาร้อยคู่ย่อมเห็นอะไรมากกว่าดวงตาแค่สองคู่ของสองหนุ่มสาวแน่

“พวกท่านต้องเห็นนี่” เมื่อพูดจบ จระเข้หนุ่มก็ค่อยๆ ยื่นมือสองข้างออกไป สองหนุ่มสาวได้ฟังดังนั้นก็สูดหายใจเข้าพร้อมกันก่อนจับมือตอบอีกฝ่าย

ชั่วพริบตา ทัศนะต่อหน้าของทั้งสองก็พลันดับวูบแล้วถูกแทนที่ด้วยภาพฉายจากนัยน์ตาของหนึ่งในอวตารกระดูก แม้จะเคยทำเช่นนี้มาหลายครั้ง แต่จะกี่ครั้งพวกเขาก็ต้องแสดงอาการคลื่นเหียนออกมาเสมอ

“รูปปั้นนั้นมัน... หรือว่า” สาวเจ้าพอปรับตัวตั้งสติได้ ก็เอ่ยออกมาอย่างติดขัด ไม่เชื่อสิ่งที่เห็น

เพราะต่อหน้านางหรืออันที่จริงคือต่อหน้าร่างอวตารกระดูกนั้น คือภาพของรูปสลักหินเท่าตัวจริงของหญิงคนหนึ่ง ในสภาพแตกหัก ท่าทางเหมือนกำลังโอบกอดบางอย่างเอาไว้ เพียงแต่ส่วนท่อนแขนนั้นพังลงไปแล้ว และสิ่งที่นางกอดอยู่ก็มีเพียงอากาศธาตุ ถึงอย่างนั้นส่วนอื่นก็ยังสมบูรณ์

ใบหน้าของรูปสลักที่กำลังยิ้มนั้นยากจะอธิบายว่านางยิ้มอย่างมีสุขหรือเป็นยิ้มซ่อนทุกข์ ดวงตาเป็นหินแต่สะท้อนความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างมหัศจรรย์และหากมองให้ลึกจะเห็นร่องรอยประหลาดบนหางตา คล้ายว่านางกำลังร่ำไห้ ร่างของนางดูอ่อนแรงโรยราทว่าก็สง่างามและเอ่อล้นด้วยความหวัง ถึงแม้นั่นจะเป็นวาระสุดท้ายของนางก็ตาม

“ไม่ผิดแน่นั่นคือ นั่นคือศิลาชีพ... ศิลาชีพของท่านอาร์มุน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างยากลำบาก เหมือนคำพูดติดขัดในลำคอเพราะรูปลักษณ์ที่เห็นนั้นในเผ่าพันธุ์มนุษย์คงมีน้อยคนที่ไม่รู้จัก นางคือมารดาแห่งปฐมเวท ผู้สรรค์สร้างเวทมนตร์แรกสุดของมนุษย์

ทว่าต่อหน้าของเขาไม่ใช่แค่รูปสลักหินธรรมดา หากแต่ถูกเรียกว่า ศิลาชีพ มันคือสิ่งที่จะหลงเหลือเมื่อผู้ใช้เวทมนตร์สละจิตวิญญาณของตนเพื่อใช้แลกเปลี่ยนเป็นเชื้อไฟหล่อเลี้ยงผลลัพธ์ของเวทมนตร์ที่เกินกำลังตัวเองจะควบคุม ร่างที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณจึงกลับคืนสู่รากเหง้ากลายเป็นหินศิลาไป หรืออีกนัยหนึ่งมันคือร่างและสุสานของ อาร์มุน ที่สาบสูญไม่เคยมีใครพบ

“...สิ่งที่ท่านอาร์มุนสละชีวิตซ่อนไว้ ไม่ว่ามันคืออะไร มันไม่อยู่ที่นี่แล้ว…” ชายหนุ่มผู้เป็นมันสมองของกลุ่มกล่าวในลำคอ แต่กังวานก้องดั่งคำประกาศิต

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด