ตอนที่ 2 ทหารม้าปีศาจ
ตอนที่ 2 ทหารม้าปีศาจ
ขณะที่โกเลมไฟเอื้อมมือไปที่ศีรษะเด็กสาว พลันมีวัตถุยาวดำมะเมื่อมชิ้นหนึ่งพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว ปักทะลุหน้าอกซึ่งเป็นหินอันแข็งแกร่งของมัน จากนั้นเป็นเสียงระเบิด หน้าอกของมันแตกกระจาย โกเลมไฟผู้นั้นไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาข่มเหงรังแกผู้ใดได้อีก
พวกโกเลมไฟทั้งหมดมองมายังซากศพของโกเลมไฟที่เพิ่งตายเป็นจุดเดียว พบหอกใหญ่ดำมะเมื่อมมีคมสองด้านปักอยู่ที่ศพโกเลมไฟ คมของหอกใหญ่แต่ละด้านกล่าวไปแล้วคลายดาบเล่มใหญ่สองเล่มมากกว่า
ทันใด พวกโกเลมไฟได้ยินเสียงร้องของม้าอย่างโหยหวน คล้ายเสียงกรีดร้องของปีศาจใกล้เข้ามา
“หน่วยแบล็คเคิซ” !! โกเลมไฟร่างใหญ่ที่สุดในกลุ่มตนหนึ่งอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก โกเลมไฟที่หลงเหลือพลันจ้องมองไปยังเส้นทางที่หน่วยแบล็คเคิซกำลังมา
เวลาไม่ถึงชั่วสายลมพัด หน่วยแบล็คเคิซ ทหารม้าปีศาจแห่งเพธอสนับร้อยควบขับม้ามาถึง อาชาทุกตัวของหน่วยแบล็คเคิซล้วนมีสีขนสีดำเข้ม ดวงตาสีแดงสด แผงคอม้าลุกชี้ชัน บนหลังม้าปีศาจคืออัศวินหน่วยแบล็คเคิซ อัศวินทุกคนจะมีหอกยาวสีดำ สวมหมวกดำเงา ชุดเกราะดำสลักลวดลายม้าปีศาจ ส่วนผู้ที่ซัดขว้างหอกสังหารโกเลมไฟ เกราะดำของเขาสลักลวดลายม้าปีศาจห้าตัว เป็นสัญลักษณ์หัวหน้าหน่วยแบล็คเคิซนาม “กีรัส”
หน่วยทหารม้าปีศาจหาได้เกรงกลัวโกเลมที่มีเพลิงห่อหุ้มร่างไม่ พวกมันต่าง ทิ่มแทงหอกออกมา ปักลงที่ร่างโกเลมไฟ แม้โกเลมไฟกายจะไม่มีโลหิต แต่ก็ยังรับรู้ถึงความเจ็บปวด ความรวดเร็วในการจู่โจมของทหารม้าปีศาจสุดที่ร่างกายใหญ่โตของพวกมันจะหลบได้ทัน
กีรัสหัวหน้าหน่วยแบล็คเคิซควบม้าปีศาจมาถึงเบื้องหน้าเด็กสาว มันเอื้อมไปหยิบหอกของมันที่ปักอยู่บนร่างโกเลมไฟ จากนั้นพลันซัดหอกไปยังโกเลมไฟตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า โกเลมไฟตัวนั้นแผดร้องสุดเสียง ไม่ทันสิ้นเสียงร้องร่างกายของมันก็ระเบิดทันที
โกเลมไฟสองตัวพุ่งตรงเข้าหากีรัส เงื้อมหมัดไฟออกหมายขยี้จอมอาชาปีศาจผู้นี้ กีรัสขับควบม้าปีศาจไปยังเบื้องหน้าพวกมันทั้งสอง จากนั้นพลันแยกหอกออกเป็นสองส่วน จากหอกที่มีคมสองด้านกลายเป็นดาบใหญ่สองเล่ม มือกีรัสถือดาบใหญ่ข้างละเล่ม ฟาดฟันไปที่โกเลมไฟสองตนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ร่างของโกเลมไฟทั้งสองถูกฝ่าแยกออกในดาบเดียว
อาวุธที่ร้ายกาจของกีรัสเรียกว่า “หอกอายส์ไซท” (Eyesight-สายตา) เป็นหอกสีดำมะเมื่อมมีคมสองด้าน คมหอกใหญ่ดุจดาบใหญ่ สามารถแยกส่วนออกเป็นดาบคู่ได้ คุณสมบัติพิเศษของมันคือขอเพียงเห็นศัตรูอยู่ในระยะสายตา เมื่อซัดหอกจู่โจมเป้าหมาย หอกจะติดตามไปหาเป้าหมายเอง ต่อให้หันหลังขว้างหอกก็ตาม นับเป็นอาวุธระดับหายาก (Rare) ที่ทรงอานุภาพ ความร้ายกาจอาจไม่เท่าอาวุธในตำนานอย่างดาบเพน (Pain-เจ็บปวด) แต่ก็นับเป็นยอดศาสตราวุธที่ยากหาสิ่งใดเทียบ
กีรัสนำทหารม้าแบล็คเคิซเข้าจู่โจมกองทัพโกเลมไฟ เหล่าโกเลมไฟเห็นสถานการณ์เปลี่ยนแปลง พากันวิ่งหนีกระจัดกระจาย เหล่าทหารม้าแบล็คเคิซแบ่งทัพออกเป็นสองด้าน พากันตีขนาบพวกโกเลมไฟ ใช้หอกทิ่มแทงกวาดต้อนให้พวกมันวิ่งไปในยังทิศทางเดียวกัน พวกโกเลมไฟไม่มีทางเลือก ได้แต่ไปยังทิศทางที่ถูกไล่ต้อน
ทันใด ทหารม้าแบล็คเคิซกลุ่มหนึ่งมิทราบมาตั้งแต่เมื่อใด ปรากฏอยู่เบื้องหน้าโกเลมไฟ เช่นนี้กลายเป็นโกเลมไฟถูกล้อมขนาบทั้งหน้าหลัง ราวกับฝูงแกะที่ถูกฝูงหมาป่าไล่ต้อนหมดหนทาง
“ฆ่า” กีรัสตวาดดังลั่น หอกหลายสิบเล่มซัดใส่เหล่าโกเลมไฟยี่สิบกว่าตนร่างกายของพวกมันเต็มไปด้วยหอกราวกับขนเม่น ไม่มีโกเลมไฟรอดชีวิตจากกองทัพหน่วยแบล็คเคิซแม้แต่ตนเดียว
กีรัสหันไปมองรอบ ๆ เห็นซากศพประชาชนชาวเพธอสซึ่งถูกโกเลมไฟสังหารหลายสิบคน เหล่าผู้อพยพบ้างหลบซ่อนในพงหญ้า บ้างหลบซ่อนหลังก้อนศิลาใหญ่ บ้างได้แต่นั่งตัวสั่นงกด้วยความหวาดกลัว มีสภาพน่าเวทนา สร้างโทสะให้กีรัสไม่น้อย จากนั้นกีรัสพลันหันมาถามเด็กสาว
“เจ้ามาจากที่ใด”
เด็กสาวยังไม่หายตื่นตระหนก ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความน่าเวทนา
“ท่านขุนพล พวกเรามาจากเมืองโทลเคีย ตอนนี้เมืองถูกกองทัพของพญามัจจุราชเพลิงเผาผลาญสิ้นแล้ว” ชายหนุ่มวัยกลางคนผู้หนึ่งตอบแทนเด็กสาว
กีรัสมองไปยังทิศตะวันออกจากนั้นพึมพำว่า “มาช้าไป”
นายทหารหน่วยแบล็คเคิซนายหนึ่งควบม้าเข้ามาหากีรัส กล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพ เราควรใช้โอกาสนี้บุกจู่โจมไปยังทัพศัตรูโดยไม่ทันตั้งตัว พวกมันยังไม่ทราบถึงการมาของเรา ให้พวกก้อนหินโสโครกทราบถึงความร้ายกาจของหน่วยแบล็คเคิซของเราบ้าง”
ทหารผู้นี้คือรองหัวหน้าหน่วยแบล็คเคิซนาม “ทีเรก้า” มันอายุประมาณสี่สิบปี ไว้หนวดเคราสีทองรกครึ้ม แตกต่างกับกีรัสซึ่งมีใบหน้าเกลี้ยงเกลา
กีรัสกล่าวตอบว่า “รอให้ทัพใหญ่มาถึงก่อน กำลังของเราเพียงแค่ห้าร้อยคนจะทำอะไรได้”
ทีเรก้ากล่าวว่า “หากรอทัพใหญ่มาถึง กระทิงเฒ่าคอร์แซคคงรู้ถึงการมาของเรา พวกเราคงยากจู่โจมมันโดยไม่ทันระวังได้ พวกเราแม้มีเพียงห้าร้อยคนแต่เทียบเท่ากองทัพหินโสโครกของคอร์แซคห้าพันตน ยังมีอะไรต้องเกรงกลัวอีก? หน่วยแบล็คเคิซเพิ่งออกศึกครั้งแรกในรอบหลายปี สมควรนำชัยแรกมาสู่เพธอสเพื่อถวายเป็นของขวัญแด่องค์เหนือหัวของเรา”
กีรัสพยักหน้าเห็นด้วย การที่ทีเรก้ากล่าวว่ากองกำลังหน่วยแบล็คเคิซหนึ่งคนสามารถเทียบเท่ากับโกเลมไฟสิบตน คำกล่าวนี้แม้จะดูยกย่องฝ่ายตนเองเกินจริงไปบ้าง แต่กีรัสก็เห็นว่าไม่ห่างไกลจากความจริงเท่าใดนัก
“สั่งหน่วยแบล็คเคิซ เดินทัพสู่โทลเคีย” กีรัสสั่ง
ทีเรก้ารองหัวหน้าหน่วยแบล็คเคิซรับคำสั่ง หน่วยแบล็คเคิซทั้งหมดรวมพลกันและมุ่งหน้าไปยังเมืองโทลเคียซึ่งกองทัพโกเลมไฟของคอร์แซคตั้งทัพอยู่
เมืองโทลเคียนับเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของอาณาจักรเพธอส มีประชากรอาศัยอยู่หลายหมื่นคน เพธอสแม้เป็นอาณาจักรแห่งความมืดแทบไร้แสงสว่างที่ผู้คนยากเข้าถึง แต่เมืองโทลเคียก็นับเป็นศูนย์กลางแห่งการค้าขาย มนุษย์และชาวเผ่าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนแคระ ยักษ์ ต่างเดินทางมาที่นี้เพื่อซื้อขายสินค้า โดยเฉพาะศิลาดำธอร์รัส ซึ่งเป็นศิลาหายากที่มีลักษณะดำมืดแต่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้าใด ๆ ในพิภพนี้ สามารถนำไปสร้างปราสาท จัดทำอาวุธ ตามแต่ที่ผู้คนจะสร้างสรรค์ ศิลาดำธอร์รัสนับเป็นสินค้าที่หาซื้อได้ที่อาณาจักรเพธอสเท่านั้น
แต่บัดนี้เมืองโทลเคียเบื้องหน้าของกีรัส เมืองที่เต็มไปด้วยความคึกคักผู้คนมากมาย บัดนี้เหลือเพียงเถ้าถ่านและปราศจากผู้คน บ้านช่อง ป้อมปราการ หอคอยสูงหากไม่ใช่ถูกเผาไหม้ก็ถูกถล่มพังพินาศ มีเพียงเศษไม้ ก้อนหิน ระเกะระกะเต็มไปหมด
กีรัสกำมือแน่นด้วยความโกรธแค้น หน่วยแบล็คเคิซทุกนายต่างมีแววตาทอประกายความดุร้ายแสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นที่ไม่น้อยกว่ากีรัส
“กระทิงเฒ่าคอร์แซคต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม” กีรัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
กีรัสสั่งทหารสำรวจเมืองโทลเคียให้ทั่ว พวกทหารไม่พบเจอพวกโกเลมไฟแม้แต่ตนเดียว
ทีเรก้ากล่าวว่า “พวกมันคงถอยทัพจากเมืองโทลเคียไปหมดแล้ว”
กีรัสส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “หากพวกมันถอยจริง พวกมันจะพยายามบุกมาถึงเมืองโทลเคียทำไม?”
กีรัสสั่งทหารให้ตั้งค่ายพักที่นี่รอให้ทัพใหญ่มาถึง อีกด้านก็แบ่งทหารเป็นหน่วยย่อยสิบหน่วย หน่วยละสิบคน ไปสำรวจเมืองให้ละเอียดอีกครั้ง ไม่แน่อาจพบประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือหรือร่องรอยเบาะแสของทัพโกเลมไฟ
เวลาผ่านไปมากกว่าชั่วหม้อน้ำเดือด หน่วยทหารของกีรัสกลับมารายงานตนเพียงเจ็ดหน่วย
“อีกสามหน่วยหายไปไหน” กีรัสถาม
หน่วยแบล็คเคิซทั้งเจ็ดหน่วยได้แต่บอกว่า “ไม่ทราบ” พวกมันไปในทิศทางต่างกัน จึงไม่พบเห็นร่องรอยของพวกตนเองที่หายไป
“พวกเขาอาจได้พบเห็นเบาะแสสำคัญจึงยังไม่กลับมา” ทีเรก้าแสดงความเห็น
กีรัสสั่งให้รออีกครู่หนึ่ง แต่สามหน่วยที่เหลือก็ยังไม่กลับมา
ทีเรก้ากล่าว “ข้าจะออกไปตามหาเอง หากพบภัยใดจะรีบส่งพลุสัญญาณแจ้งเตือน”
ทีเรก้ารองหัวหน้าหน่วยแบล็คเคิซนำทหารห้าสิบนายออกตามหาหน่วยแบล็คเคิซสามหน่วยที่หายไป
ดอกเมมฟิสซึ่งเป็นดอกไม้สีม่วง มีกลีบสิบสองกลีบ ใช้สำหรับบ่งบอกวันเวลาของอาณาจักรเพธอส อาณาจักรซึ่งแสงตะวันแทบสาดส่องมาไม่ถึง ยากคำนวณวัดเวลาได้ หากนับตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนดอกเมมฟิสทั้งสิบสองกลีบจะเบ่งบานออกทั้งสิบสองกลีบ เมื่อเวลาผ่านไปสองชั่วโมงดอกเมมฟิสจะบานเพียงหนึ่งกลีบ ส่วนกลีบที่เหลือจะหุบเข้ามาแสดงถึงเวลาตีสอง หากดอกเมมฟิสบานสี่กลีบคือเวลาแปดโมงเช้า ช่วงตอนกองทัพกีรัสเข้าถึงเมืองโทเคียดอกเมมฟิสบานสิบกลีบคือช่วงเวลาสองทุ่ม บัดนี้ดอกเมมฟิสบานสิบเอ็ดกลีบแล้ว กองทัพของทีเรก้ารองหัวหน้าหน่วยแบล็คเคิซซึ่งออกไปตามหาหน่วยแบล็คเคิซที่หายไปก็ยังไม่กลับมา
กีรัสรอคอยด้วยความไม่สบายใจ หากจะให้ส่งหน่วยแบล็คเคิซออกไปตามหาอีกก็นับว่าเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง มันมองดูหน้าทหารหน่วยแบล็คเคิซแต่ละนาย แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียด หน่วยแบล็คเคิซจอมอหังการที่ไม่เกรงแม้กระทั่งความตาย กลับตกอยู่ในสภาพกดดันเช่นนี้ นับว่าไม่เคยมีมาก่อน
ทหารนายหนึ่งเสนอต่อกีรัสว่า “หัวหน้า เราควรออกนอกเมืองก่อนหรือไม่ ตอนนี้ทัพเราตกอยู่ในอันตราย”
กีรัสกล่าวว่า “หากออกนอกเมืองไปในตอนนี้ อาจหลงกลศัตรูได้ หากเราตั้งทัพอยู่ที่นี่รอทัพใหญ่หนุนมาถึงจะปลอดภัยกว่า”
ยามนี้ดอกเมมฟิสเบ่งบานหนึ่งกลีบแล้ว ถือเป็นช่วงเวลาตีหนึ่งของมนุษย์ กีรัสเลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านที่โดนเพลิงไหม้น้อยที่สุดที่พอจะอาศัยอยู่ได้ กีรัสสั่งให้หน่วยแบล็คเคิซกระจายออกล้อมรอบบ้านที่เขาอาศัย ให้บางส่วนเข้ามาพักผ่อนสลับเวรยามกัน ส่วนเขานอนทั้งที่สวมชุดเกราะอยู่
“ท่านกีรัส” นายทหารนายหนึ่งเรียก
ตาของกีรัสลืมขึ้นเล็กน้อยหลังจากหลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลีย
“มีอะไร” กีรัสถาม
“ขณะที่ข้าน้อยจะไปเปลี่ยนเวรกับทหารด้านตะวันออก ทหารเวรที่ด้านตะวันออกสี่คนหายไป” ทหารที่เข้ามารายงานกีรัสกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
กีรัสลุกขึ้นมือหนึ่งสวมหมวกเกราะดำ มือหนึ่งหยิบออกอายส์ไซทจากข้างกายทันที เขาเดินออกจากบ้านที่พัก ดวงตาสีแดงเพลิงของเขาเข้มจัดราวกับจะมีไฟปะทุออกมาจากดวงตาจริง ๆ
กีรัสตะโกนเสียงดัง “คอร์แซค อย่าได้ขี้ขลาด แน่จริงปรากฏกายมา”
ทหารหน่วยแบล็คเคิซหันไปมองหน้ากันอย่างงุนงง จากคำร่ำลือพญามัจจุราชเพลิงคอร์แซคมีใบหน้าคล้ายกระทิงแต่มีสามเขา กายใหญ่กว่ามนุษย์สามเท่า มีปลายหางเป็นลูกศรธนู กายห่อหุ้นด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรง หากคอร์แซคอยู่แถวนี้จริง ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่กว่ามนุษย์สามเท่า ไหนเลยจะไม่ถูกพบเห็น
พวกหน่วยแบล็คเคิซไม่ทราบกีรัสเป็นอะไรถึงได้ตะโกนเช่นนี้ ทหารนายหนึ่งกล่าวถามเสี่ยงสั่นว่า “ท่านกีรัส มัจจุ..มัจจุราชเพลิง มาถึงแล้วหรือ”
กีรัสไม่ตอบ ยังตะโกนอีกครั้ง “คอร์แซค หากแน่จริงมาสู้กับข้า อย่าได้ใช้วิธีขี้ขลาด”
กีรัสสั่งให้นับจำนวนหน่วยแบล็คเคิซ ทหารม้าปีศาจห้าร้อยนายตอนนี้เหลือสี่ร้อยสิบหกนาย ทั้งที่ยังไม่ได้พบเห็นศัตรู กำลังฝ่ายตนก็สูญเสียไปเกือบหนึ่งในห้าแล้ว นับเป็นความอัปยศของกีรัสในฐานะหัวหน้าหน่วยแบล็คเคิซ
“ยกทัพออกนอกเมืองก่อน” กีรัสสั่ง
ทัพม้าทหารปีศาจสี่ร้อยกว่านายวิ่งออกนอกเมืองโทลเคียอย่างรวดเร็วดุจดั่งพายุร้าย กีรัสทราบว่าการออกนอกเมืองนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ถ้าเทียบกับการอยู่ในวงล้อมศัตรูที่มองไม่เห็นในเมืองนับว่าอันตรายยิ่งกว่า
ที่ประตูเมืองโทลเคียฝั่งตะวันตก ประตูเมืองถูกเผาไหม้หมดสิ้นแล้วเหลือเพียงเศษซากของประตูเมือง กีรัสนำทัพออกนอกประตูเมืองอย่างรวดเร็ว แต่เบื้องหน้าพ้นประตูเมืองไปได้ไม่กี่สิบเมตรมีกองก้อนหินใหญ่หลายร้อยก้อนวางกระจัดกระจายอยู่ กีรัสขมวดคิ้วแนบแน่น
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” กีรัสกล่าวราวกับคิดอะไรออก
“ท่านหัวหน้า มีอะไรหรือ” นายทหารซึ่งอยู่ข้าง ๆ กีรัสถาม
“จัดขบวนทัพเป็นวงกลม” กีรัสตวาดสั่งอย่างรวดเร็ว ทหารม้าหน่วยแบล็คเคิซสี่ร้อยกว่านายซึ่งได้รับการฝึกอย่างดีไม่ไต่ถามมากความ กระจายกำลังออกตั้งค่ายเป็นรูปวงกลมสี่วง วงละหนึ่งร้อยกว่านาย วงกลมทั้งสี่วงกระจายเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัสตุรัส วงกลมทั้งสี่ค่ายสามารถหนุนเสริมกันเอง ทหารม้าปีศาจต่างถือหอกมั่น ปลายหอกชี้ไปยังเบื้องหน้า เสียงร้องม้าปีศาจต่างขู่ฟ่อราวกับรับรู้ภัยอันตรายเบื้องหน้า
ทันใดก้อนหินหลายร้อยก้อนพลันขยายใหญ่ขึ้น ก้อนหินแบ่งตัวเป็นแขนขา จากนั้นมีไฟลุกท่วม พวกโกเลมไฟล้อมรอบหน่วยแบล็คเคิซของกีรัสไว้ได้ทั้งหมดแล้ว
ที่แท้ก่อนกองทัพของกีรัสเข้าเมือง กองทัพโกเลมไฟได้เตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว พวกมันได้รับเวทมนตร์จากคอร์แซคให้กลับกลายร่างเป็นก้อนหินปกติทั่วไป ทำให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเมืองที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากเพลิงไหม้ เมื่อกีรัสสั่งหน่วยทหารไปสำรวจจึงถูกพวกมันจับไปอย่างลึกลับโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่ทันสังเกตว่าก้อนหินที่วางระเกะระกะอยู่เต็มเมืองคือทหารโกเลมไฟนั่นเอง
เมื่อกีรัสยกทัพออกนอกเมืองโทลเคียพบเห็นก้อนหินใหญ่หลายร้อยก้อนอยู่เบื้องหน้าก็ทราบทันทีว่านี่คือกองทัพโกเลมไฟและพลันเข้าใจสถานการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดว่าเหตุใดทหารตนจึงหายไปอย่างไม่รู้ตัวและทราบว่าทัพตนเองถูกล้อมจากทัพโกเลมไฟทั้งในเมืองและนอกเมือง จึงสั่งให้ทหารตั้งค่ายรูปวงกลมอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับกองทัพโกเลมไฟ
โกเลมไฟตัวหนึ่งรูปกายสูงใหญ่กว่าโกเลมไฟตัวอื่นผิวกายของมันหินสีแดงเพลิง มันหัวร่อจากนั้นกล่าวเสียงแหบห้าวว่า
“หน่วยแบล็คเคิซ มีสติปัญญาเพียงเท่านี้เอง หลงกับดักที่นายท่านคอร์แซควางไว้อย่างง่ายดาย”
โกเลมไฟอีกตัวกล่าวว่า
“แต่อย่างน้อยมันก็มีความฉลาดอยู่บ้าง ที่ไม่ยกทัพวิ่งเข้ามาในดงก้อนหิน ไม่เช่นนั้นคงถูกเราล้อมง่ายกว่านี้”
โกเลมไฟที่รูปกายสูงใหญ่กว่าตัวอื่นมันเป็นหัวหน้าทัพของโกเลมไฟนาม "อูรุก” สั่งโกเลมไฟทั้งหมดบุกไปยังกองทัพกีรัส หน่วยทหารม้าปีศาจซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแดนเหนือตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน
--------------------------
กองทัพทหารม้าปีศาจหลงกลศัตรูเข้าซะแล้ว สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อโปรดติดตามตอนที่สามการทำสงครามของหน่วยแบล็คเคิซกับโกเลมไฟอันสุดมันส์ !!