ซัพที่ 14: ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเผาป่าขุดดินข้าก็จะทำ!
ซัพที่ 14: ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเผาป่าขุดดินข้าก็จะทำ!
ตึง!
จินหลงหันขวับมาทันทีที่ท่านหมอล้มลงกับพื้น ร่างสีขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นบริเวณควันธูป
“ค่อกๆ..แค่ก..กกกๆๆ” เสียงชายชราไอสำลักควันพยายามปัดควันที่คลุ้งอยู่ตรงหน้า พระองค์วาดมือครั้งหนึ่ง ควันทั้งควุ้งอยู่ในห้องจึงสลายไป
“แค่กๆ..เจ้า.. เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร เหตุใดจึงจุดธูปตั้งมากมาย!” พระเจ้าสำลักควัน จินหลงพยายามสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ก่อนจะตอบ
“เอ้า! แล้วข้าจะรู้หรือว่าต้องใช้ธูปกี่ดอกถึงจะเรียกท่านให้มาหาได้” เจ้าตัวแสบย้อน ในเมื่อ ก่อนเขาจะเกิดใหม่พระเจ้าดันบอกเพียงให้จุดธูปเรียก แต่ไม่ได้บอกถึงจำนวน เขาจะรู้ไหมล่ะ?!
“อย่างน้อยเจ้าก็ควรใช้วิจารณญาณบ้าง ยังไงก็ไม่ควรมากมายขนาดนี้!” พระเจ้าย้อน จินหลงจึงยู่ปาก
“จุดน้อยท่านก็อาจไม่รู้ จุดมากๆ ไปเลยดีกว่า ท่านไม่เคยได้ยินหรือ เกินย่อมดีกว่าขาด” เจ้าตัวแสบเถียงคอเป็นเอ็น พระเจ้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่รู้จะทำยังไงกับเจ้าตัวเล็กนี่ดี หรือเขาอาจคิดผิดที่ส่งจินหลงมาเกิดใหม่ ไม่คิดเลยว่าฮ่องเต้ที่สง่างามจะกลายกวนประสาทได้เพียงนี้
“ครั้งหน้าเจ้าจุดแค่เก้าดอกก็พอ แล้วเจ้าเรียกข้ามามีธุระอันใด” พระเจ้าเปลี่ยนเรื่อง เถียงไปมาก็มีแต่ยืดเยื้อ
“ข้าอยากรู้ว่าหากข้าไม่ทำภารกิจ อะไรจะเกิดขึ้น” พระเจ้าเลิกคิ้วสูง
“ทำไม? เรื่องนี้ไม่ได้นักหนาสำหรับเจ้านี่” จินหลงเผยหน้าเบื่อหน่ายอย่างเด่นชัด
“ใช่ มันไม่ใช่เรื่องหนักหนาสำหรับข้าเลย หากข้าไม่ได้เกิดเป็นองค์ชาย ถ้าอยากให้ข้าดำเนินแผนการอย่างลื่นไหล อย่างน้อยก็ควรให้ข้าเกิดเป็นองค์หญิงสิ! ด้วยความสามารถและหน้าตาอันหล่อเหลาของข้า ก็ต้องกลายเป็นตัวเลือกฮ่องเต้ไม่ใช่หรือไง” จินหลงไม่เถียงเปล่า ยังกล่าวยกยอตนเองจนแม้กระทั่งพระผู้เป็นเจ้ายังอดหมั่นไส้ไม่ได้
“ที่ข้าให้เจ้าเกิดเป็นองค์ชาย เพราะเจ้าจะได้เข้าใจองค์ชายองค์อื่นๆ และดำเนินภารกิจได้โดยง่าย ส่วนเรื่องทำไมไม่ให้เกิดเป็นองค์หญิง ก็เพราะวิญญาณเจ้าไม่ใช่สตรีนี่!” พระเจ้าอธิบาย แต่จินหลงกลับทำหน้าสะอิดสะเอียน
“ให้ข้าทำภารกิจโดยง่ายงั้นหรือ ตลกไปแล้วท่าน ท่านก็เห็นจากด้านบนแล้วนี่ว่าข้าพบเจอความยากลำบากเพียงใด” จินหลงต่อว่า
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับข้าที่ไหน ในเมื่อเจ้าทำตัวเจ้าเอง หากเจ้าสังเกตการณ์เงียบๆ เรื่องก็ไม่เป็นเช่นนี้” พระเจ้าตอกกลับจนจินหลงเถียงไม่ออก
“แล้วหากข้าไม่มาเกิดที่โลกนี้ ใครจะเป็นผู้ที่เสด็จพ่อเลือกเป็นรัชทายาท”
“ยังไม่มีใครทังสิ้น เพราะองค์ชายแต่ละองค์ล้วนมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน ฮ่องเต้จึงยังมิอาจเลือกได้ ในความคิดของเจ้า เจ้าเห็นว่าองค์ชายแต่ละองค์เป็นเยี่ยงไรบ้าง” พระเจ้าถามกลับ จินหลงนั่งลงกับพื้น เท้าคางราวกับไม่อยากนึกถึงมันนัก
“ข้าเองก็ยังไม่ได้ตรวจดูอย่างละเอียด ได้ยินเพียงองค์ชายใหหญ่เฟิงหยาง เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ทั้งยังเป็นโอรสสวรรค์ที่เกิดกับฮองเฮา จึงมีสิทธิในบัลลังก์สูงมาก ส่วนองค์ชายรองเหวินหลง เป็นผู้มีใจรักในด้านสงคราม หากได้เขาเป็นฮ่องเต้ ก็อาจทำให้บ้านเมืองแข็งแกร่ง แต่ว่าองค์ชายรองดันมีนิสัยขี้อิจฉาและร้ายกาจเหมือนเสด็จแม่ จะเป็นภัยไปซะเปล่า องค์ชายสามฮุ่ยเจี๋ย เป็นโอรสที่เกิดกับเต๋อเฟย ชายาลำดับที่สาม ข้าว่าฮุ๋ยเจี๋ยก็มมีโอกาสมากในเหล่าองค์ชาย เพราะเขามีนิสัยใจเย็น ทั้งยังมีปัญญาและไหวพริบดีเลิศ ทั้งยังรู้จักคิดและวางตัว เป็นที่รักของคนในตำหนัก ส่วนองค์ชายห้าจิ้งฉวี่ ข้ายังดูไม่ออกนัก น้องคนนี้เพิ่งเสียแม่ไปเพราะข้า ไม่แปลกที่จะมีนิสัยหวาดกลัว คงต้องดูกันยาวๆ” จินหลงอธิบาย ขณะที่พระเจ้าลูบครา
“แล้วสรุป หากข้าไม่ทำภารกิจได้หรือไม่?” จินหลงย้อนกลับมาจี้จุดเดิม ก่อนจะบ่นต่อ
“ข้าเหนื่อยเต็มทีแล้ว ไหนจะต้องวิ่งเต้นไปทั่ว ท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้าไม่ได้อยากเกิดมาในวัง นี่ท่านรู้ไหมว่าข้าเกือบโดนพี่รองฆ่าตายเลยนะ ชาติแรกโดนน้องฆ่า ชาติสองก็โดนท่านฆ่า ชาติสามยังต้องมาโดนพี่ชายฆ่าอีก แบบนี้มันไม่ตลกเลยนะ” จินหลงไม่พอใจ
“หากเจ้าไม่ทำภารกิจ ข้าก็ตัดด้ายแดงของเจ้าในชาตินี้และชาติต่อๆ ไปเสีย” พระเจ้าเอ่ยเสียงเรียบ จินหลงกลอกตา
“ก็แค่ตัดด้ายแดง ชาติที่แล้วข้าก็ไม่ได้มีคนรัก ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” จินหลงยิ้มเยาะ หวังจะเลิกทำภารกิจ พระเจ้ายักไหล่ก่อนเปรยว่า
“ตัวเจ้าคงไม่เป็นไร แต่น่าสงสารฮองเฮาหลิวยิ่งนัก ชาติก่อนก็โดนเจ้าสังหารกับมือ ชาตินี้และชาติต่อๆ ไปยังต้องโชคร้ายถูกเจ้าทอดทิ้ง” จินหลงหูพึ่ง หันขวับมามองพระเจ้าตาโต
“ท่านว่า..ยังไงนะ?” พระเจ้าแกล้งหันหลังทำท่าจะเดินจาก
“เฮ้อ.. ก็นะ ฮองเฮาหลิวช่างอาภัพนัก ทั้งที่เจ้ากับฮองเฮาหลิวต่างเอ่ยวาจาสาบาน จักคู่กันไปทุกชาติภพ แต่เจ้าก็มาผิดคำสาบานเอาเสียก่อน ไว้ข้าค่อยผูกด้ายแดงให้นางได้พบเจอกับชายดีๆ แล้วกัน” จินหลงรีบพุ่งไปจะกระโดดเกาะพระเจ้า แต่ร่างของเขากลับทะลุจนไปชนกับกำแพง
โครม!
เจ้าตัวเล็กกระแทกเข้ากับกำแพงหัวทิ่มพื้น ตีลังกามองหน้าพระเจ้า
“ไม่ๆๆ ข้ายอมทำแล้ว ข้ายอมทำแล้วววว ขอแค่ข้าได้คู่พบกับฮองเฮาหลิวอีก ไม่ว่าจะให้ข้าไปบุกน้ำลุกไฟเผาป่าขุดดินที่ไหนข้าก็ยอมมมม” จินหลงรับปาก พระเจ้ายิ้มอย่างพอใจ
“เช่นนั้นเจ้าก็ตั้งใจทำภารกิจ อีกอย่าง เจ้าอย่าคิดเพียงโลกใบนี้เป็นโลกที่เจ้าไม่รู้จัก หากโลกนี้เกิดวิบัติ มันก็จะส่งผลกระทบกับลูกหลานและคนรอบข้างของเจ้า” จินหลงพลิกตัวกลับมานั่ง
“แล้วข้าจะได้พบฮองเฮาหลิวอีกเมื่อใด” เจ้าตัวแสบถามอย่างมีความหวัง
“..เมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะได้พบนางเอง” พระเจ้าเลือกที่จะไม่บอกจินลงว่าฮองเฮาหลิวนั้นเกิดใหม่เป็นผู้ช่วยของเขา หากเจ้าตัวยุ่งรู้ว่าฮองเฮาหลิวกลับมาเกิดเป็นผู้ช่วยเขา มีหวังคงเอาแต่ตามหาตัวนาง แทนที่จะทำภารกิจ
หลังพระเจ้าลาจากไป ควันธูปจึงเริ่มขโมงขึ้นอีกครั้ง
“แค่กๆๆ โอ้ย...แค่กๆ.. แล้วนี่ข้าจะ..จะดับธูปยังไงเนี่ย เมิ่งชง..แค่ก เมิ่งชงหยวน เจ้าฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ” จินหลงพยายามปลุกร่างที่สลบอยู่บนพื้น ทว่ากลับได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจากด้านนอก
ซ่า!!
น้ำจากนอกหน้าต่างถูกสาดเข้ามาบนร่างองค์ชายน้อยและท่านหมออย่างไม่ขาดสาย เสียงวิ่งจากด้านนอกดังขึ้นพร้อมเสียงเรียกท่ามกลางควันควุ้ง
“องค์ชาย! องค์ชาย! ท่านหมอ! พวกท่านอยู่ไหน!” เสียงเรียกของเจียงสงทำให้จินหลงทำอะไรไม่ถูก
นี่มันเรื่องอะไรเนี่ยยยย
“องค์ชาย!” ไม่ทันที่จินหลงจะตัดสินใจได้ เจียงสงกลับพบตัวเขาก่อน
“องค์ชายพระองค์รีบหนีไปจากนี่เร็วเข้า!” เจียงสงรีบอุ้มจินหลงที่ทำหน้าเหลอหลาขึ้นมา ก่อนเตะเข้าที่สีข้างท่านหมออย่างแรง
“โอ้ยย!”
“ลุกเร็วเข้าท่านหมอ ไฟไหม้ไม่เห็นหรื... ธูป?” เจียงสงโวยวาย ก่อนจะชะงัก เมื่อเห็นธูปหลายร้อยที่เปียกแฉะอยู่บนกระถาง
“องค์ชายพระองค์เป็นเช่นไรบ้า...ง?” ทหารที่สาดน้ำเข้ามาดับไฟชะโงกหน้าเข้ามาและเตรียมปีนหน้าต่าง เมื่อควันมอดลงพวกเขาก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกับเจียงสง
“...”
“ท่านหมอ นี่มันเรื่องอะไร” เจียงสงยิ้มหวานก้มลงถามเมิ่งชงหยวนที่นอนบิดอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวดจากการถูกเด็กชายวัยสิบปีเตะเข้า เขายกมือบอกใช้เด็กชายรอเดี๋ยว
“ถ้าท่านไม่อยากโดนเตะเข้าอีกรอบ รีบตอบมาซะ” สีหน้าของเด็กชาย แม้จะยิ้มแต่ก็ช่างดูน่าหวาดผวานัก เมิ่งชงหยวนแทบร่ำไห้ หันไปมองหน้าองค์ชายน้อยอย่างขอความช่วยเหลือ จินหลงที่ถูกอุ้มอยู่จึงกระตุกแขนเสื้อคุณชายอู๋
“หนู..หนูแค่ยักจูดทูปปเรียกพราเจ๊า หนุเยยไปขอให้ทั่นหมอปายเอามา” จินหลงตอบตามจริง แต่ภาษาวิบัติของเขาทำเอาเจียงสงกุมขมับ นิ่งไปพักหนึ่งเพื่อถอดคำพูด
ฟังไม่ออกโว้ยยยยยย
“เออ..องค์ชายบอกว่า พระองค์เพียงอยากจุดธูปเรียกพระเจ้า พระองค์เลยให้ข้าไปนำธูปมา” ท่านหมอแปล ก่อนจะได้รับตาเขียวๆ ของเด็กชายเป็นของตอบแทน
“แล้วท่านเอาธูปให้เด็กสติฟั่นเฟือนเล่นเนี่ยนะ หากเกิดเรื่องขึ้นมามันมามันไม่ใช่แค่ท่าน แต่พวกข้าก็ต้องรับผิดชอบด้วย!” เจียงสงต่อว่า ทำเอาท่านหมอหน้าจ๋อย
ไม่นาน เรื่องนี้จึงถึงฮ่องเต้ เมิ่งชงหยวนถูกสั่งโบยสามสิบที บัดนี้ท่านหมอจึงนอนแบะอยู่ในห้อง ทายาให้กับตนเอง
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าขอโทษษษษ” จินหลงพยายามบีบนวดขาให้ท่านหมอที่นอนมองเขาตาขวาง
“ฮึ ก็ไม่ใช่พระองค์ที่โดนโบยนี่ ข้าไม่เกี่ยวด้วยแท้ๆ” งอนเฉย...
เจ้าตัวแสบยิ้มแหย พลันร่างคุณชายอู๋จึงเดินเข้ามาในห้อง วางขวดยาไว้ตรงหน้าท่านหมอ
“ยาสูตรลับของตระกูลข้า เจ้าลองเอาไปใช้แล้วกัน ตูดเจ็บขนาดนี้คงยากจะปรุงยาใหม่ได้” ท่านหมอเปิดขวดยามาดมพลางเอ็ดเด็กชาย
“พูดเพราะๆ หน่อย ตูดเติดอะไร เขาเรียกบั้นท้าย” เจียงสงคิ้วกระตุก จะแย่งยาไปจากมือท่านหมอ
“ไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเอา” ท่าหมอรีบดึงยามาไว้กับตัว
“อ้ะๆๆ ใครบอกว่าข้าไม่อยากได้ กลิ่นแบบนี้สีแบบนี้นับว่ายาดีนัก” เมิ่งชงหยวนหรี่ตามองเข้าไปในขวด คุณชายอู๋ส่งเสียงฮึในลำคอ ก่อนหันไปยิ้มให้องค์ชายน้อยที่เกาะขา
“องค์ชาย ทรงได้เวลาบรรทมแล้วพะยะค่ะ รีบไปบรรทมได้แล้ว” จินหลงกอดขาท่านหมอแน่น
“ม่ายอาว ม่ายอาวว จิงโหลงจระนวกทั่นหมอพรั้มกะเจี่ยวเหมยย” เจียงสงหันไปมองหน้าท่านหมอ
“องค์ชายบอกว่า ไม่เอาๆ พระองค์จะนวดท่านหมอพร้อมกับเสี่ยวเหมย” เมิ่งชงหยวนแปล
“เสี่ยวมงเสี่ยวเหมยอะไร นี่เลยเวลาบรรทมแล้วนะพะยะค่ะ เสด็จไปได้แล้ว” เจียงสงเริ่มโวยวาย วันนี้เกิดเรื่องมาตั้งมาก เขาเหนื่อยอยากนอนเต็มที่แล้ว
“ม๊ายอ๊าวม่ายอาวว เจียงโหลงทามทั่นหมอเจ็บ จีนหลงต่องอยู่ว” เส้นเลือดบนขมับเจียงสงเริ่มปูดขึ้นและเต้นตุบๆ เมิ่งชงหยวนเห็นรอยยิ้มเย็นของเด็กชาย เขาจึงแปลต่อให้ว่า
“ไม่เอาๆ พระองค์ทำท่านหมอเจ็บ พระองค์ต้องอยู่” รอยยิ้มของเด็กชายเริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นไอทมิฬแผ่ออกมาจากร่าง จินหลงหวาดผวารีบจัดการปิดปากตัวเองทันที เจียงสงคว้าร่างเล็กมาอุ้มด้วยแขนข้างเดียว แล้วเดินออกไปจากห้องโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ท่านหมอชะโงกหน้าไปดูที่ประตู ก่อนจะหันกลับมาดมยาในมือ แล้วซุกไว้ใต้หมอน
“ได้ยาสูตรลับมาขนาดนี้ ใครจะใช้กันเล่า แบบนี้ต้องเอาไปค้นคว้าถึงจะถูก อูยย...เจ็บก้นชะมัด”
ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง เจียงสงจึงตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำ ทว่าเมื่อเขากลับมา กลับได้ยินเสียงกึกๆๆ ดังมาจากฝั่งองค์ชาย ด้วยความสงสัยเด็กชายจึงเดินถือโคมไปไฟยังข้างเตียง ก่อนจะพบร่างเล็กที่ขดตัวนอนด้วยความหนาวสั่น
อากาศก็ไม่ได้เย็นมากนี่
เจียงสงคิดกับตัว ก่อนจะวางมือลงบนหน้าผากเด็กน้อย แล้วจึงดึงมือออกเมื่อร่างเล็กร้อนดั่งไฟ ดวงตาของเด็กชายเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะทำเยี่ยงไร จึงรีบวิ่งไปเรียกนางกำนัล
“ซูเม่ย!! ซูเม่ย! แย่แล้วๆ องค์ชายสี่ประชวร!” เจียงสงตะโกนเรียกหัวหน้ากำนัลจากหน้าประตู เสียงตึงดังขึ้นจากด้านใน พร้อมกับนางกำนัลวัยสามสิบปีที่ตาลีตาเหลือกออกมาพร้อมเสื้อคลุม
“ก..เกิดอะไรขึ้น?! เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายงั้นหรือ” ซูเม่ยร้อนรน
“เจ้ารีบไปดูเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้ องค์ชายคล้ายจะเป็นไข้ ตัวร้อนดั่งไฟ” เจียงสงพูดรัว
“ข้าจะไปดูองค์ชาย ท่านรีบไปตามท่านหมอเมิ่งเร็ว” หัวหน้านางกำนัลเตรียมไปปลุกนางกำนัลคนอื่นขึ้นมา ทว่าเจียงสงกลับรั้งนางไว้
“แต่ท่านหมอเมิ่งเพิ่งถูกโบย! ข้าไม่คิดว่าเขาจะมาตรวจได้” เจียงสงเอ่ย ใบหน้าของเขาดูซีดลงเล็กน้อย
“เช่นนั้นท่านไปดูพระอาการขององค์ชาย ข้าจะให้คนไปตามหมอหลวงเอง อ้อ.. ท่านเอานี่ไปให้องค์ชายด้วย” ซูเม่ยวิ่งกลับไปในห้อง และนำกองผ้าห่มมาส่งให้เด็กชาย
“ท่านช่วยห่มนี่ให้องค์ชาย ระหว่างที่พวกข้าไปตามหมอหลวงนะ” พูดจบเจียงสงจึงส่งโคมไฟให้กับนางกำนัล ส่วนตัวเองก็รีบวิ่งกลับไปยังห้องนอน เพื่อห่มผ้าให้กับจินหลง โดยไม่ลืมเอาผ้าห่มของตนมาเพิ่มให้ร่างเล็ก หนาเสียจนนางกำนัลที่ตามมาดูแลแอบคิดว่าองค์ชายน้อยจะขาดอาการหายใจไหม
เมื่อรอได้สักพักยังไร้วี่แววหมอหลวง เจียงสงจึงทนไม่ไหว รีบวิ่งไปตามเมิ่งชงหยวน
ปัง!
“ท่านหมอตื่นเร็ว!!” เมิ่งชงหยวนสะดุ้งตาเหลือก ทันทีที่เด็กชายพลักประตูเข้ามาอย่างแรง ร่างเล็กรีบฉุดกระชากท่านหมอให้ตามไป
“เดี๋ยวๆๆ โอ้ยย คุณชายอู๋ท่านใจเย็นก่อน นี่มันเรื่องอะไร ข้าเจ็บอยู่นะ!” เมิ่งชงหยวนโวยวาย เจียงสงหันมาตาขวาง
“ใจเย็นอะไรของเจ้า ไหนเจ้าว่ายาของเจ้าดีนักหนา! ทำไมองค์ชายถึงประชวรได้!” ท่านหมอตะลึงตาโต
“ท่านว่าไงนะ องค์ชายประชวรงั้นหรือ?! รีบพาข้าไปเร็วเข้..โอ้ย!” ท่านหมอทำท่าจะคว้าคอเจียงสงมาเกาะ แต่แล้วก็ล้มลงเพราะอาการเจ็บปวด
“จะบ้าหรือไงข้าจะแบกท่านได้ยังไง ทหาร! ทหารเข้ามานี่ที! มาแบกท่านหมอไปตรวจองค์ชายเร็ว”