ตอนที่แล้วบทที่ 13 การตื่นขึ้นของเมล็ดพันธุ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15 ตัวตนของชายปริศนา

บทที่ 14 เวทมนตร์สุดยอด


บทที่ 14 เวทมนตร์สุดยอด

การบริกรรมคาถาของฟาร์ชูลันทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนที่ไปไหนได้ โดยเนื้อแท้แล้วเวทมนตร์ยิ่งมีอานุภาพสูงส่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งใช้เวลาในการร่ายนานมากขึ้นเท่านั้น และในระหว่างการร่ายคาถาบทใหญ่จะยิ่งต้องใช้สมาธิอย่างหนักจนอาจลืมเห็นสิ่งรอบข้างไปเลย ดังนั้นเธอจึงกำชับซิลเวอร์อย่างหนักว่าให้ช่วยถ่วงเวลาเอาไว้จนกว่าเธอจะร่ายคาถาสำเร็จ

“ถ้าตามที่เข้าใจ พวกนี้เรียกมนุษย์มารน่าจะฟังเข้าท่ากว่า” ซิลเวอร์มองไปที่ลักษณะของมารตรงหน้าก่อนจะตั้งชื่อเรียกให้มัน

ไม่แปลกถ้าหากจะเรียกเช่นนั้น เพราะมารที่ปรากฏตัวขึ้นมีลักษณะโครงร่างกายไม่ต่างกับมนุษย์ เพียงแต่บางจุดของอวัยวะอาจมีเนื้องอกสีแดงม่วงยื่นออกมาจนดูน่าขยะแขยง แม้กระทั่งดวงตาที่เคยเป็นของมนุษย์มาก่อนยังถูกเปลี่ยนเป็นเนื้อเหนียวหนืดที่พองขยายออกมาจนปูดโปนไม่คล้ายคลึงกับความเป็นมนุษย์อีกต่อไป

ซิลเวอร์เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเอาเศษผ้าสีดำออกมามัดไว้ตรงหน้าผากแน่นเพื่อรวบไม่ให้เส้นผมสีแดงของเขาเกะกะสายตาเวลาต่อสู้ ออร่าปราณส่องแสงเรืองรองอ่อน ๆ จากรูขุมขนทั่วร่าง แววตาของซิลเวอร์เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาเข้าสู่โหมดต่อสู้แล้ว

มนุษย์มารส่งเสียงสั่นในลำคอราวกับต้องการขู่ให้ซิลเวอร์กลัว มันตวาดเสียงดังลั่นใส่ซิลเวอร์ก่อนจะพุ่งตัวกระโจนเข้าหาชายหนุ่มสุดแรง ซิลเวอร์หลบอุ้งมือที่มนุษย์มารฟาดเข้ามาก่อนจะตั้งเข่าชันขึ้นสูงกระแทกเข้ากับปลายคางของมนุษย์มารพอดิบพอดี เสียงกระแทกปั้กดังสนั่นจนทำให้คิดว่าถ้าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ธรรมดาคงจะคอบิดหงายผิดรูปไปแล้ว

แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป...การจู่โจมธรรมดานี้จึงไม่ได้ผลกับมันเลย

ซิลเวอร์ถอยตัวห่างออกมาเพื่อหลบการจู่โจมของมนุษย์มารที่ไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้คอของมันไม่ได้อยู่ในสภาพปกติ พอมันเริ่มตั้งหลักได้ก็ค่อย ๆ เอามือทั้งสองข้างขึ้นจับที่ใบหน้าก่อนจะใช้แรงมหาศาลบิดจนคืนรูปลักษณ์เดิมอีกครั้ง

“เฮ้ย ๆ เอาจริงดิ” ชายหนุ่มพูดเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง “ขนาดซอมบี้ในหนังโดนเล่นงานที่หัวจัง ๆ ก็เสร็จละนะ แต่เจ้านี่ท่าจะอึดกว่าซอมบี้ซะอีก”

“กรร...”

“ขู่เก่งเหลือเกิน กลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว เจ้าบ้าเอ๊ย” ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอาการขนลุกจากทั่วทั้งร่างกาย เขายอมรับว่าตนเองกำลังหวาดกลัวอยู่

แต่เหนือสิ่งอื่นใด...ในฐานะลูกผู้ชายและในฐานะของเพื่อน เขาจะต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ

“ย้ากก!”

เขาวิ่งไปก่อนจะใช้แรงส่งจากการวิ่งกระโดดถีบเข้าไปที่ทรวงอกของมนุษย์มาร ในจังหวะที่มนุษย์มารยกแขนขึ้นต้านรับลูกถีบนั้นไว้ได้ทัน ซิลเวอร์ก็พลิกตัวกลางอากาศในจังหวะนั้นแล้วใช้ขาอีกข้างที่กำลังว่างอยู่ฟาดเข้าที่ข้างแก้มของมนุษย์มารจนร่างกายของมันเซถลาไป และยังไม่จบแค่นั้น พอซิลเวอร์ล้มลงกับพื้นก็รีบตั้งหลักลุกขึ้นมาก่อนจะกระโจนใส่มนุษย์มารโดยไม่หวังให้มันมีโอกาสได้ตอบโต้

หมัด ศอก เข่า เท้า ทุกอย่างประเคนใส่มนุษย์มารตนนั้นราวกับพายุกระสุนปืน ซิลเวอร์ส่งเสียงร้องเพื่อเรียกความฮึกเหิมให้กับตัวเองก่อนจะต่อยหมัดขวาเข้าไปที่กลางใบหน้าของมนุษย์มารจนมันปลิวประเด็นไป ร่างกายของมันกระแทกเข้ากับพื้นหญ้าสนามจนเด้งขึ้นหลายตลบ ซิลเวอร์หอบหายใจถี่ขึ้นเพราะความเหนื่อยล้าจากการออกแรงสู้ไปมาก

“อย่าลุกขึ้นมานะ”

เขาภาวนาในใจในขณะที่มองดูร่างกายของมนุษย์มารที่ล้มตัวลงนอนแน่นิ่งเหมือนคนไม่ได้สติ แต่ไม่นานนักมันก็ค่อย ๆ ยันตัวเองลุกขึ้นมาในสภาพไร้รอยบาดแผล พอสังเกตดี ๆ เหมือนจะเห็นมันยิ้มแสยะที่มุมปากทีหนึ่งราวกับต้องการเยาะเย้ยศัตรู

“ไอ้กร๊วกเอ๊ย...”

พอเริ่มโดนเยาะเย้ย น็อตที่ขันไว้ก็เริ่มหลุด ซิลเวอร์เปล่งพลังปราณออกมาจากร่างกายจนปรากฏเป็นสีน้ำเงินลอยออกมาเรื่อย ๆ แสงสว่างของปราณที่เขาแสดงออกมาค่อนข้างเป็นสีอ่อน บ่งบอกว่าปราณของเขาอยู่ในระดับหนึ่งหรือระดับสองเท่านั้น แน่นอนว่านี่คือระดับฝีมือของนักเรียนเกรดหนึ่งทั่วไป

เขาหวนนึกถึงพลังปราณของสไปค์ที่เป็นนักเรียนใหม่มาทีหลังแต่กลับแสดงความสามารถโดยรวมออกมาได้อย่างโดดเด่นทั้งวิชายุทธ์และพลังปราณที่เข้มข้นจนเกินกว่าระดับของเกรดหนึ่งในปัจจุบัน พอนำมาเทียบกับตัวเขาแล้วช่างดูห่างเหินกันลิบลับ

ช่วงเวลาของความนึกคิดจบลงแล้ว มนุษย์มารตัวเดิมวิ่งเข้าหาซิลเวอร์ด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่าเจ็ดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ชายหนุ่มมองตามความเคลื่อนไหวนั้นแทบไม่ทัน เขายกมือขึ้นต้านรับเอาไว้ก่อนจะจับสัมผัสว่าบริเวณท่อนแขนทั้งสองที่ไขว้กันเป็นรูปกากบาทเหมือนจะโดนของแข็งบางอย่างฟาดใส่ ความรู้สึกหนักหน่วงนี้ไม่ต่างจากโดนลูกเหล็กขนาดเท่าลูกโบว์ลิ่งฟาดเอาจัง ๆ เลยด้วยซ้ำ

กระดูกแทบร้าวหัก...นี่ถ้าไม่ได้พลังปราณช่วยเสริมการป้องกันไว้ก็คงจะร้าวไปแล้ว ซิลเวอร์ถูกโจมตีกระเด็นไปด้านหลังจนร่างกายกระแทกเข้ากับพื้นจนกระเด้งสูงขึ้น พริบตานั้นมนุษย์มารก็เอามือล้วงเข้าไปในปากของมันก่อนจะหยิบบางสิ่งออกมาจากในนั้น มันมีลักษณะเหมือนยางยืดสีเขียวและมีรอยตะปุ่มตะป่ำน่าเกลียดเป็นอย่างมาก มนุษย์มารมองดูร่างของซิลเวอร์ที่กำลังร่วงลงมาจากที่สูงก่อนจะเหวี่ยงยางเขียวเส้นนั้นให้ยืดออกไปและคว้าจับร่างของซิลเวอร์เอาไว้

“ฮ่าาาาาาา!!”

มันใช้ยางยืดที่เหนียวแน่นมัดร่างของซิลเวอร์ก่อนจะหมุนควงไปมารอบข้างโดยใช้ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง มันเหวี่ยงซิลเวอร์ฟาดไปฟาดมากับต้นไม้ใกล้ ๆ จนหักโค่นลงหลายต่อหลายต้น ซิลเวอร์กระอักเลือดออกมามากมาย เขารู้สึกว่าการป้องกันเริ่มอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ กระดูกทั่วทั้งร่างส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดเหมือนกำลังประท้วงว่าไม่อยากบาดเจ็บไปมากกว่านี้

แต่ฉับพลันนั้นเอง แสงสว่างของออร่าปราณจากทั่วทั้งร่างกายก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินที่เข้มขึ้นมา แววตาของซิลเวอร์เปลี่ยนไป เขาตวัดแขนกระชากเอายางเส้นสีเขียวฉีกกระจายขาดไม่เป็นชิ้นดี ออร่าปราณสีน้ำเงินเข้มกระจายออกมาจากร่างกายของซิลเวอร์ ในตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนหายจากอาการบาดเจ็บภายในทั้งปวงไปแล้ว

เขาร่อนตัวลงสัมผัสพื้นก่อนจะพุ่งทะยานในเวลาไล่เลี่ยกัน และปล่อยการจู่โจมทั้งต่อยทั้งเตะใส่มนุษย์มารตนนั้นจนมันเริ่มล่าถอยไปเรื่อย ๆ เพราะไม่สามารถตั้งรับการจู่โจมของซิลเวอร์ได้ สีหน้าของมันเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เหมือนมันกำลังสับสนว่าเหตุใดมนุษย์เพศชายตรงหน้าถึงได้แข็งแกร่งขึ้นผิดหูผิดตา

ซิลเวอร์แสยะยิ้มเยาะเย้ยใส่มนุษย์มารที่ทำท่าทีสับสนก่อนจะถีบร่างของมันกระเด็นปลิวไปไกล

“กระดูกที่หักไปหลายซี่ก่อนหน้านี้เริ่มสมานตัวดีแล้ว พละกำลังเองก็กำลังเพิ่มขึ้นทีละส่วน” ซิลเวอร์พึมพำออกมาเบา ๆ “ปราณฉลามมันดีตรงที่ยิ่งบาดเจ็บเสียเลือดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้นนี่แหละ”

แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะดีไปซะทั้งหมด...เพราะขึ้นชื่อว่าอาการเสียเลือด อย่างไรก็เป็นประโยคที่ดูอันตรายมากอยู่ดี

“เอาล่ะ ถ้าสู้ด้วยพลังในตอนนี้ล่ะก็ จะใครก็ไม่กลัวทั้งนั้น!” ห้วงหนึ่งเผลอคิดไปว่าต่อให้เป็นเจ้าตำหนักก็ไม่หวั่น แต่ในห้วงจังหวะเดียวกันก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป เพราะหากเมื่อจินตนาการว่าตนอยู่ระดับเดียวกับคนระดับเจ้าตำหนักเมื่อไหร่ ก็คงไม่ต่างจากผู้ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว

มนุษย์มารที่ถูกจู่โจมชุดใหญ่พยายามจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดมันก็ยังทำได้แค่พยายาม เพราะการโจมตีเมื่อสักครู่ของซิลเวอร์หนักหน่วงจนส่งผลให้ตัวมันเองเริ่มที่จะอ่อนล้า และไม่สามารถขยับร่างกายได้โดยง่ายอีก

“แบบนี้เจ้าคงไม่ต้องออกโรงอะไรแล้วล่ะ ฟาร์ชูลันเอ๊ย ลำพังข้าคนเดียวก็เอา--อยู่... ชะเฮ้ย! ไม่จริงใช่มั้ย” ยังไม่ทันได้พูดจบก็ปรากฏมนุษย์มารที่เหลืออีกสิบเอ็ดตนเดินตรงเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง พวกมันแม้จะเดินมาจากคนละทิศทางของศูนย์แพทย์ แต่ก็เหมือนว่าเป้าหมายจะชัดเจนพอที่ทำให้รู้ว่ามันมาที่นี่เพื่อกำจัดซิลเวอร์ที่ทำร้ายพวกของมันจนบาดเจ็บสาหัสแบบนั้น

“บ...บ้าไปแล้ว แบบนี้ไม่ไหวด้วยหรอก ฟาร์ชูลันจ๋า! อีกนานมั้ยขอรับท่าน!”

ฟาร์ชูลันไม่ตอบกลับ เธอยังคงใช้สมาธิสร้างสรรค์เวทมนตร์ต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงตอนไหน แต่อย่างน้อยก็คงใช้เวลาอีกไม่นานนัก เพราะวงแหวนเวทรอบกายฟาร์ชูลันเริ่มปรากฏอักขระหลายอย่างเรียงรายต่อกันแทบจะดูออกว่าใกล้จะสมบูรณ์พร้อมแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดลงที่ตอนไหนก็เท่านั้น

“ฮึ่ย! เร็วหน่อยเซ่!”

ขณะที่พูดก็คิดว่าต่อให้ตายก็คงจะปล่อยให้ไอ้พวกมารซอมบี้พวกนี้รุกคืบเข้ามาใกล้อาณาเขตร่ายเวทของฟาร์ชูลันไม่ได้ ซิลเวอร์เร่งเร้าพลังปราณขึ้นอีกครั้ง เหงื่อกาฬไหลหลั่งออกมาจากความรู้สึกเหนื่อยล้าที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน พลังปราณเมื่อใช้มาก ๆ ก็สามารถสร้างความเหนื่อยล้าได้ไม่ต่างจากการออกกำลังกาย แต่สิ่งที่ต่างคือการใช้ปราณมันเหนื่อยกว่าการออกกำลังกายเป็นสิบเท่า!

มนุษย์มารจำนวนสิบเอ็ดตนที่ปรากฏตัวออกมาวิ่งตรงเข้ามาหาซิลเวอร์อย่างบ้าคลั่ง ซิลเวอร์กัดฟันแน่นก่อนจะพุ่งสวนกลับแล้วต่อยตีกับเหล่ามนุษย์มารอยู่กลางวงอย่างดุเดือด ซึ่งในทุกครั้งที่ซิลเวอร์ออกแรงหมัดกับเท้าจะทำให้มนุษย์มารจำนวนมากถูกอัดกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทางอยู่เสมอ แต่ไม่นานนักพวกมันก็จะมุ่งตรงเข้ามาใหม่เหมือนกับแมลงสาบที่ไม่รู้จักตายสักที

แม้พลังจะเหนือกว่า ยิ่งเสียเลือดเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั้นแหละ เพราะเขายังหลีกเลี่ยงอาการหน้ามืดและไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจากการเสียเลือดอย่างหนักไม่ได้ ซิลเวอร์พยายามคงสติของตนเองไว้ก่อนจะเปลี่ยนโหมดจากโหมดรุกมาเป็นโหมดรับ เพราะเขาในตอนนี้ออกแรงบุกไม่ไหวอีกแล้ว

ที่เหลือก็แค่ป้องกันจนกว่าฟาร์ชูลันจะร่ายคาถาเสร็จเท่านั้น!

“ฟาร์ชูลัน!”

แต่แล้วซิลเวอร์ก็เปล่งเสียงออกมาดังลั่น เขาลืมนึกไปเสียสนิทว่าตอนนี้ตนกำลังรับมืออยู่กับมนุษย์มารจำนวนสิบเอ็ดตนพร้อมกัน แต่ไอ้ตัวที่สิบสองที่เขาสู้ด้วยตอนแรกมันแอบเดินหลบเขาที่กำลังง่วนอยู่กับการต่อสู้เพื่ออ้อมไปยังฟาร์ชูลันที่กำลังร่ายคาถาอยู่

ไอ้เจ้านี่มันสังเกตเห็นฟาร์ชูลันมาตลอด!

“บ้าเอ๊ย ถอยไปนะพวกแก” ซิลเวอร์พยายามจะแหกวงล้อมมนุษย์มารสิบเอ็ดตนออกไป แต่เหมือนพวกมันจะรู้ความคิดของซิลเวอร์ดี พวกมันต่างช่วยกันออกแรงจับรั้งซิลเวอร์เอาไว้เพื่อไม่ให้ผ่านไปช่วยเหลือฟาร์ชูลันได้ มนุษย์มารตนที่เข้าไปหาฟาร์ชูลันแสยะรอยยิ้มขึ้นราวกับเป็นผู้ชนะในศึกอันยาวนาน มันชูแขนขึ้นฟ้าก่อนจะเหวี่ยงสุดแรงเกิดเพื่อฟาดลงมาหมายจะอัดหญิงสาวตรงหน้าให้แหลกในคราเดียว

เสียงซิลเวอร์เรียกชื่อฟาร์ชูลันดังขึ้นจากวงล้อมของมนุษย์มารทั้งสิบเอ็ดตน เขาถูกกดให้จมลงกับพื้นและได้ยินเพียงเสียงกระแทกอย่างแรงหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะต่อสู้กับพวกมันมาตั้งแต่ต้นจึงรับรู้ว่าเรี่ยวแรงของพวกมันมีมหาศาลเกินพอที่จะคร่าชีวิตของฟาร์ชูลันได้ในการเหวี่ยงแขนแค่ครั้งเดียว

แต่แล้วก็มีแสงสว่างสีขาวเจิดจ้ากระจายตัวออกมาจนทำให้รู้สึกแสบตา เหล่ามนุษย์มารจำนวนมากกรีดร้องเสียงดังและถอยหลังกลับไปอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหลบแสงสว่างนั้น ซิลเวอร์เมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการของบรรดามนุษย์มารทั้งหลายก็ลุกขึ้นยืนมองแสงสว่างที่ส่องทาบไปที่ร่างของเขา แสงนั้นช่างอบอุ่น เขารู้สึกแบบนั้น

ทันใดนั้นซิลเวอร์ก็สังเกตเห็นร่างของมนุษย์มารตนแรกที่ต่อสู้กับเขาและเป็นตัวเดียวกับที่ตรงเข้าไปหาฟาร์ชูลัน ร่างของมนุษย์มารตนนั้นอยู่ในสภาพล้มตัวลงนอนแผ่กับพื้น แขนข้างขวาของมันหายไป นอกนั้นแม้จะยังอยู่ครบแต่ก็เริ่มปรากฏรอยไหม้ขึ้นเบา ๆ ตามจุดบางจุดจากทั่วทั้งร่างกาย

“มหาเวทแห่งจักรวาล ดาราสลาย”

          ถ้อยคำหนึ่งประโยคที่แสนทรงพลังดังออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มบนโครงหน้าเรียวเล็ก แสงเจิดจ้าสีขาวกระจายตัวออกในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ชะล้างเอาอำนาจมืดและพลังด้านลบออกไปจนหมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง เนื้องอกที่มีสภาวะเหมือนกับปรสิตบนร่างกายมนุษย์มารก็เริ่มสลายหายไปอย่างรวดเร็ว มนุษย์ทั้งสิบสองกลับสู่สภาวะความเป็นคนดังเดิมก่อนจะล้มตัวลงสลบใสลไม่ได้สติไปโดยปริยาย

เข่าของฟาร์ชูลันทรุดลงกระทบกับพื้นหญ้าก่อนที่เธอจะหอบหายใจอย่างหนักหน่วงออกมา ซิลเวอร์รีบวิ่งตรงเข้าไปพยุงร่างของฟาร์ชูลันไว้ ร่างกายของเธอร้อนผ่าวฉับพลันจนเหมือนว่ามือกำลังสัมผัสโดนน้ำร้อนอยู่ตลอดเวลา ซิลเวอร์เองก็บาดเจ็บหนัก แต่พอได้เห็นอาการของฟาร์ชูลันแล้วเขากลับคิดว่าตนเองยังคงสบายดีอยู่

“ร่างกายของฉันรองรับมหาเวทยังไม่ค่อยจะได้” ขณะที่พูดก็ยิ่งหายใจหนักขึ้นจนซิลเวอร์รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ การต่อสู้ของเขาก็ว่าหนักแล้ว แต่ดูเหมือนว่าฟาร์ชูลันจะหนักกว่าที่เขาทำไปเยอะ เพราะผลกระทบจากการใช้เวทบทใหญ่นั้นช่างมากมายเหลือเกิน ฟาร์ชูลันในตอนนี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะขยับตัวเสียด้วยซ้ำไป

“แต่ยังไงก็เถอะ เล่นกวาดเอาพวกปรสิตมารนั่นจนหายไปหมดและทำให้นักเรียนพวกนั้นกลับสู่สภาพเดิมได้นี่ เวทมนตร์นี่สุดยอดจริง ๆ”

“จะเรียกว่ากลับสู่สภาพเดิมก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอก” ฟาร์ชูลันขัดขึ้นมา จังหวะลมหายใจเธอเริ่มดีขึ้น “เวทมนตร์ดาราสลายมีอำนาจแค่สร้างขอบเขตการทำลายล้างเป้าหมายที่กำหนดในช่วงสั้น ๆ ขึ้นเท่านั้น ส่วนนักเรียนพวกนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจและการรักษาของทางแพทย์แล้วล่ะ”

“ย...อย่างงี้นี่เอง” ซิลเวอร์หันสลับไปมองทางนักเรียนจำนวนสิบสองคนที่นอนเรียงรายระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ

“ยังไงก็เถอะ ตอนนี้ฉันไม่มีแรงแล้ว ช่วยแบกฉันที”

“เดี๋ยวสิ พักก่อนก็ได้นะ ข้าในตอนนี้ก็หน้ามืดเหมือนกัน เราสองคนยังไปไหนไม่ได้ไกลหรอก”

“ไม่มีเวลาแล้ว!” ฟาร์ชูลันตวาดเสียงดัง “เราต้องรีบไปบอกกับซิลเฟร์ว่าสไปค์ไม่ใช่มาร และมารตัวจริงน่ะคือฟาร์เชนต่างหาก!”

“ว่าไงนะ เรื่องจริงเหรอที่ท่านเจ้าตำหนักอัคคีคนนั้นเป็นมาร?”

“สไปค์เป็นคนบอกฉันเอง ก่อนที่จะหลบหนีไป”

น้ำเสียงจริงจังของฟาร์ชูลันบ่งบอกซิลเวอร์ว่าเธอไม่ได้ล้อเล่น

“เข้าใจแล้ว งั้นขึ้นหลังได้เลย ข้าจะพาเจ้าไปแม้จะเสียเลือดจนตายก็ยอม!” ซิลเวอร์ประกาศปณิธานแน่วแน่ ในขณะที่ฟาร์ชูลันทำหน้าหยีเหมือนได้ยินเรื่องแปลก

“ไม่รู้รึไงว่าตอนนี้เลือดของนายหยุดไหลแล้ว”

“พูดอะไรของเจ้า ความรู้สึกหน้ามืดของข้าน่ะมาจากการที่เลือด-- เอ๊ะ เดี๋ยวนะ มันหยุดไหลจริง ๆ ด้วย!” ซิลเวอร์สำรวจดูบาดแผลตามร่างกายที่น่าจะมีเลือดไหล แต่เขาก็ต้องพบว่าเลือดทั้งหมดที่ไหลอยู่มันหยุดลงอัตโนมัติแม้ว่าภายในร่างกายจะยังไหลเวียนเป็นปกติก็ตามที นั่นช่วยทำให้อาการหน้ามืดของเขาเริ่มกลับมาดีขึ้นเรื่อย ๆ อีกครั้ง

“ตกใจทำไม ฉันใช้เวทมนตร์ช่วยห้ามเลือดให้นายได้สักพักแล้ว” หญิงสาวพูดพลางถอนหายใจออกมา “เอ้า รีบพาฉันไปตำหนักวายุสักที”

ซิลเวอร์กลายเป็นคนที่หมดคำจะพูดไปโดยปริยาย เขารับเอาร่างของฟาร์ชูลันขึ้นมาไว้บนแผ่นหลัง สีหน้าบ่งบอกความรู้สึกที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขายังรู้สึกไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือ

“เวทมนตร์สุดยอด”

กล่าวจบก็วิ่งออกไปทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด