บทที่ 12 หลบหนีชั่วข้ามวัน
บทที่ 12 หลบหนีชั่วข้ามวัน
เปลือกตาคู่หนึ่งเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้าเผยให้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความอ่อนเพลีย เจ้าของดวงตารู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงของตนหายไป และสัมผัสได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในกิริยาที่ถนัดนัก เมื่อเพ่งพิจารณาหลังจากที่ได้สติแล้วก็รับรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง
สีหน้าของชายคนนั้นช่างชวนให้รู้สึกคุ้นตา จนเกินพอที่จะทำให้จดจำได้ไม่นานว่าเขาเป็นใคร
“ส...ไปค์?” หญิงสาวส่งเสียงเรียกหลังจากฟื้นคืนสติมาได้ไม่นาน
“ไง ตื่นแล้วเหรอ” สไปค์ตอบกลับฟาร์ชูลันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาหันมามองดูแววตาของเธอเพียงชั่วครู่ก่อนจะสลับกลับขึ้นไปมองยังทิศทางที่มีกลุ่มคนจำนวนมากยืนรวมกัน
พวกเขาเหล่านั้นแต่งกายด้วยชุดที่แตกต่างกันไป บางคนมีอาวุธอยู่ในมือ บางคนตั้งท่ากำหมัดแน่น แม้จะดูแตกต่างกันทุกคน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือรอบตัวพวกเขาเหล่านั้นมีออร่าปราณที่เรืองแสงออกมา พร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
และทุกสายตานั้นจ้องมองมายังสไปค์เป็นทิศทางเดียวกัน
“โง่เง่านัก แฝงตัวเข้ามาแต่กลับยังทำตัวเด่นดัง เจ้ามารร้าย!”
“จบกันแค่นี้แหละ”
หลายเสียงเริ่มพูดไล่เรียงกันออกมาเรื่อย ๆ และมีเป้าหมายเจาะจงมายังตัวของสไปค์ที่ยังคงไม่มีสุ้มเสียงใดตอบกลับไป
“หมายความว่าไง...มาร?” ฟาร์ชูลันมองหน้าสไปค์ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“เรื่องมันยาว” สไปค์ตอบกลับในขณะที่จ้องหน้าเธอกลับ “แต่เชื่อใจข้าเถอะ ข้าไม่ใช่มารแน่ ๆ”
คำพูดของสไปค์ทำให้ฟาร์ชูลันคิดอะไรไม่ออก แววตาของเขาดูไม่เหมือนคนกำลังโกหก ถ้าอย่างนั้นทำไมเหตุการณ์แบบนี้จึงเกิดขึ้นได้ นี่คือสิ่งที่ฟาร์ชูลันใช้เวลาคิดอยู่แม้จะยังฟื้นคืนสภาพกลับมาได้ไม่เต็มที่ เธอหวนนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้าแต่ก็น่าแปลกที่ความทรงจำทั้งหมดยังไม่ย้อนกลับคืนมา บางทีอาจจะเป็นผลจากการที่เธออยู่ในดักแด้ของมารมาเป็นเวลานาน
“ปล่อยสตรีผู้นั้นแล้วเดินออกมาตรงนี้ซะ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าพวกข้าไม่เตือน!”
“พวกเจ้าโง่กันรึเปล่า ถ้าข้าเดินออกไปจริงพวกเจ้าก็จะฆ่าข้าทันทีน่ะสิ แล้วนี่ไม่รู้หรอกหรือว่าแท้จริงแล้วมารตัวจริงอยู่ข้างกายพวกเจ้านั่นเอง” ขณะที่พูดก็ปรากฏเม็ดเหงื่ออันเกิดจากความเหนื่อยล้าไหลลงมาผ่านผิวแก้ม สไปค์มองไปยังเจ้าตำหนักอัคคีฟาร์เชนที่ในตอนนี้กำลังถูกฟื้นฟูด้วยพลังรักษาจากนักเรียนบางคนในกลุ่มนั้น
“หากมีโอกาสจงรีบสังหารเจ้ามารนั่นทันที มันร้ายกาจมาก แม้แต่ข้าก็กำจัดมันไม่ได้” ฟาร์เชนกล่าวกับนักเรียนเหล่านั้น
“รับทราบครับท่านเจ้าตำหนัก!”
สไปค์พ่นลมหายใจออกมาหนักหน่วง
เจ้าพวกนี้กู่ไม่กลับแล้ว...
“สไปค์?” ฟาร์ชูลันส่งเสียงเรียกเพื่อนชายอีกครั้งราวกับต้องการยืนยันอะไรบางอย่าง สไปค์ก้มหน้าลงมามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยสกปรกที่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจ หญิงสาวที่มีใบหน้างดงามคนหนึ่งกลับตกอยู่ในสภาพทรุดโทรมเช่นนี้ เพียงเพราะมารเพียงตนเดียวเท่านั้น
“จงไปหาซิลเฟร์ บอกเขาว่ามารคือฟาร์เชน” หลังกล่าวจบเขาก็วางร่างของฟาร์ชูลันลงกับพื้นแล้วเดินออกไปข้างหน้า หญิงสาวพยายามจะส่งเสียงร้องทักแต่พอออกแรงแล้วกลับพบว่าเรี่ยวแรงหายไปทันควัน ฟาร์ชูลันในตอนนี้อ่อนแอจนเกินกว่าจะทำอะไรได้อย่างอิสระ
สไปค์ยืนอยู่เบื้องหน้ากลุ่มนักเรียนที่พึ่งจะเริ่มได้สติจากการถูกช่วยออกมาจากดักแด้ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนต้องการยอมจำนน เป็นหลักฐานบ่งบอกว่าไม่คิดจะต่อสู้ ซึ่งนั่นทำให้เหล่านักเรียนที่ทำท่าจะจับกุมเขายิ่งได้ใจเข้าไปอีก พวกเขาส่งเสียงร้องดังขึ้นเหมือนต้องการจะเย้ยหยันเพราะคิดว่าตนเองชนะแล้ว
“สุดท้ายมารก็มีน้ำยาแค่นี้ล่ะวะ พอไม่มีวิธีสกปรกก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา”
“นั่นสิ พอไม่มีวิธีสกปรกก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาจริง ๆ” สไปค์พูดพลางจ้องไปยังใบหน้าของฟาร์เชนอีกครั้ง
“หุบปาก! พวกเราจัดการมันเลย” แล้วกระแสพลังปราณหลายสายก็พร้อมเพรียงกันมุ่งเข้าหาร่างของสไปค์ที่ตกเป็นเป้านิ่งทันที
ชายหนุ่มปล่อยปราณไร้ลักษณ์ออกมาผ่านฝ่ามือทั้งคู่ก่อนจะยื่นออกมาด้านหน้าและขยับเคลื่อนไหวไปมาเหมือนกำลังวาดภาพด้วยพู่กันด้ามหนึ่ง กระแสพลังที่มุ่งตรงเข้ามาเป็นเส้นสายต่างกลายสภาพเป็นเส้นที่กระจายตัวออกก่อนจะสลายหายไปบนอากาศ สิ่งที่เกิดขึ้นทำเอานักเรียนทุกคนที่จู่โจมถึงกับสบถออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“มันใช้วิชามาร มันเป็นมารจริง ๆ ด้วย!”
“เจ้าพวกโง่เง่า” คราวนี้สไปค์อดไม่ได้ที่จะด่าออกมาตรง ๆ เขาพุ่งตรงเข้าไปหากลุ่มนักเรียนเหล่านั้นจนมีหลายคนทำท่าเลิ่กลั่กเพราะกลัวจะโดนจู่โจมเข้ามา แต่ในช่วงจังหวะก่อนจะถึงตัวนั้นเองสไปค์ก็ได้เปลี่ยนทิศทางไปยังบานประตูที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เขาทะยานออกไปจากบานประตูบานนั้นทันที
“มันหนีไปแล้ว พวกเราตาม!” เสียงเอะอะดังขึ้นก่อนที่นักเรียนบางส่วนจะวิ่งไล่ตามไป และมีอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ดูแลอาการบาดเจ็บของฟาร์เชน
“ข้าดีขึ้นแล้ว พวกเจ้าไปช่วยพวกนักเรียนที่ถูกจับมาเถอะ” ฟาร์เชนกล่าวกับนักเรียนที่ดูแลเธออยู่ ทุกคนพยักหน้ารับคำก่อนจะวิ่งตรงไปยังทางผู้ที่ถูกจับตัวมา เมื่อนับจำนวนแล้วก็พบว่ามีทั้งหมดสิบสามคนพอดิบพอดี นักเรียนหญิงคนหนึ่งตรงไปพยุงร่างของฟาร์ชูลันขึ้นมา แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรก็สบตาเข้ากับฟาร์ชูลันที่พยายามคงสติเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
“เจ้าไม่เป็นไร วางใจได้” นักเรียนคนนั้นบอกกับฟาร์ชูลัน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฟาร์ชูลันต้องการจะสื่อ เธอแค่อยากจะบอกว่าแท้จริงแล้วสไปค์นั้นไม่ใช่มาร แต่เสียงกลับจุกอยู่ในลำคอไม่ยอมไหลออกมา เหมือนมันไม่ต้องการจะเปิดเผยความจริงตรงนี้ ฟาร์ชูลันแม้อยากขบฟันเพราะความเจ็บใจยังทำไม่ได้ กระทั่งในที่สุดเธอก็คงสติไว้ไม่อยู่ และท้ายที่สุดก็หมดสติไป
สไปค์อาศัยความเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วและรวดเร็วกว่าหลบหนีมายังทิศทางที่คนไล่ล่าตามมาไม่ทัน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องหยุดฝีเท้าลงที่ซอกแคบซอยหนึ่งหลังออกจากตำหนักอัคคีมาได้สักพัก เขาหยุดพิงกายกับกำแพงด้านหลังก่อนจะพ่นลมหายใจแห่งความเหนื่อยล้าออกมา สัมผัสบางอย่างบ่งบอกว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นภายในลำคอ ชายหนุ่มเบิกตาโตก่อนจะพ่นโลหิตกลุ่มหนึ่งกระจายออกไป
ที่แท้เขาเองก็บาดเจ็บหนักเช่นกัน และการวิ่งหนีอย่างต่อเนื่องเมื่อสักครู่ยิ่งทำให้เขาสูญเสียพลังกายไปมาก
แต่อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็ยังหยุดพักได้ไม่นาน เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่ากลุ่มไล่ล่าจะตามเขาทันเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรีบหนีไปจากที่นี่ แม้จะต้องคลานออกไปก็ต้องทำ เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นักเรียนพวกนั้นโดนคำพูดของฟาร์เชนล้างสมองไปแล้ว
ข้าคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้...
ชีวิตนักเรียนคงจบลงแค่ตรงนี้ เขามีความคิดว่าอยากจะกลับไปเก็บของนิดหน่อยที่ห้องพักแต่ก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป เพราะหอพักในยามนี้เป็นสถานที่สุดอันตรายที่ไม่ควรกลับไปอย่างเด็ดขาด เมื่อไม่มีทางเลือกเขาจึงใช้แรงที่เหลือทั้งหมดพาตัวเองให้ออกไปจากรั้วสถาบัน เดินตรงเข้าไปยังใจกลางเมืองที่ในยามนี้ยังคงเงียบสงัด เพราะดูจากเวลาแล้วพึ่งจะเริ่มเช้ามืดเท่านั้น
อาคารบ้านเรือนหลายแห่งยังไม่ค่อยจะมีเปิดไฟให้ได้เห็น แม้จะมีส่วนน้อยที่เปิดไฟเพราะน่าจะเป็นร้านค้าขายที่ต้องตื่นมาเตรียมของตั้งแต่เช้ามืด แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชายหนุ่มหวังในตอนนี้คืออย่าให้มีใครมาเจอตัวเขาเลย...
จนแล้วจนรอดก็ออกมานอกเมืองจนได้ ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็เมืองนี้จะถูกห่อหุ้มด้วยม่านบาเรียบางอย่างจนทำให้ภายนอกมองเข้ามาไม่เห็นตัวเมือง ซึ่งเรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในบทเรียนที่เคยเรียนเมื่อวันก่อนอยู่บ้างเหมือนกัน แม้จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่แต่ก็พอรู้ว่าตรงไหนบ้างที่เป็นจุดทางเข้าออกของเมืองหลวงแห่งนี้
สไปค์ตรงไปยังทางออกของเมืองที่มีสภาพเป็นช่องแคบระหว่างต้นไม้สองต้น ขณะที่ร่างกายเริ่มหมดเรี่ยวแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเร็วในการเดินก็ทยอยตกลงอย่างช้า ๆ จนในที่สุดดวงตาทั้งสองข้างก็พร่ามัว ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองบาดเจ็บขนาดนี้ได้ยังไง หรือบางทีผลมันอาจจะมาจากพิษที่เขาต่อสู้และขจัดออกไปไม่หมดกันนะ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คิดตอนนี้มีเพียงออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด เรื่องอื่นค่อยว่ากันใหม่
อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวจะถึงทางออกแล้ว
ขอแค่อีกนิด ร่างกายของข้า
ขอร้อง...
ท้ายที่สุดคำวิงวอนสุดท้ายในห้วงแห่งความคิดก็เงียบไป พร้อมกับร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่ทรุดตัวลงนอนสลบไปบนพื้นหญ้า เบื้องหน้าของเขาคือทางออกที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงสองเมตร แต่ดูเหมือนระยะที่ใกล้แสนใกล้นี้จะกลายเป็นระยะทางที่ยาวไกลและไม่มีวันเดินไปถึงอีกแล้ว
“อ้าว...นั่นมันอะไรนั่นน่ะ”
มีเสียงปริศนาดังขึ้นจากใต้ต้นไม้ใกล้จุดทางออก เจ้าของเสียงผู้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างล้มลงก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นมาจากทิศทางในเมือง และดูเหมือนว่าคน ๆ นี้จะมีความสามารถในการจับใจความเสียงเหล่านั้นได้ว่ามีความหมายว่าอย่างไรบ้าง
“โอ๊ะโอ...เหมือนจะเจอนักโทษหลบหนีซะได้แฮะ มารเหรอ ...ไม่น่าใช่ งั้นเจ้าคือใครกัน”
พูดพลางก้มตัวลงพยุงร่างของสไปค์ขึ้นแล้วเดินหายไปจากตรงนั้น
เช้าวันใหม่ในสถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่ง วันนี้ปรากฏข่าวดังชนิดติดหน้าหนึ่งจนทำให้นักเรียนทุกเกรดไม่เป็นอันตั้งใจเรียน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนอกจากจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับมารแล้ว ยังเกี่ยวพันกับนักเรียนใหม่ที่หายตัวไปพร้อมกับข่าวลือว่าแท้จริงแล้วเขานั่นแหละที่เป็นมาร
แม้จะเป็นข่าวลือก็ตาม แต่น้ำหนักเสียงจากต้นข่าวนั้นมาจากปากของคนระดับเจ้าตำหนักอัคคีโดยตรง ซึ่งนั่นทำให้มีคนเชื่อข่าวนี้แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมด พอบวกกับความชิงชังที่มีต่อ ‘นักเรียนใหม่จอมอวดดี’ แล้วยิ่งทำให้ผู้คนทั้งหลายปักใจเชื่อไปว่าสไปค์คือมารที่แฝงตัวมาจริง ๆ
ปราณประหลาดเอย วิชาประหลาดเอย ฝีมือที่เก่งกาจเกินไปเอย ทำร้ายเจ้าตำหนักเอย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลในการทำให้สไปค์กลายเป็นมารโดยที่ไม่มีใครโต้แย้ง แม้เกือบทั้งหมดจะไม่ได้อยู่เห็นเหตุการณ์เมื่อคืนด้วยตาตัวเองแต่ก็ยังเชื่อเรื่องนี้เต็มที่ ก็เพราะข่าวลือมันมาจากปากของเจ้าตำหนักนี่นา จริงมั้ย
ข่าวลือเมื่อกระจายตัวออกไปก็ยากจะหยุดยั้ง นักเรียนชายเกือบทั้งหมดที่พักหอต่างบุกเข้าไปยังห้องพักของสไปค์ และค้นข้าวของส่วนตัวจนเละเทะไม่เป็นระเบียบ พวกเขาให้เหตุผลว่าต้องการจะดูว่ามารซ่อนอาวุธอะไรเอาไว้บ้าง แต่ก็ไม่เจออะไรเลยนอกจากเสื้อผ้าเพียงแค่นั้น พอผิดหวังจากการค้นหาก็ออกจากห้องมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ปิดประตูเสียงดังจนเกือบพังสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าของหอพักเป็นอย่างยิ่ง จนแล้วจนรอดห้องของสไปค์ก็ถูกปิดตายเอาไว้เหมือนกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามในชั่วข้ามวัน
ซิลเวอร์ซึ่งทราบข่าวนี้ก็เกิดอาการไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน แต่ก่อนที่จะคิดอะไรต่อเขาก็ตรงไปยังสถานพยาบาลเพื่อดูอาการของฟาร์ชูลันที่ในตอนนี้ยังคงไม่ได้สติ ความจริงนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เหล่านักเรียนต่างก็ชิงชังสไปค์อย่างหนัก เพราะพวกเขาเห็นมาตลอดว่าฟาร์ชูลันคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของสไปค์ แต่สิ่งที่เจ้านั่นมอบให้กับเธอคนนี้กลับเป็นการลวงหลอกที่เลวทรามต่ำช้าชนิดที่ถ้าหาตัวไม่เจอให้เร็วกว่านี้ก็คงจะตายไปแล้ว
ซิลเวอร์มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก อาจเพราะเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืน เขาไม่รู้ว่าเพื่อนทั้งสองต้องผจญกับอะไรบ้าง ข่าวลือที่ออกมามันชวนให้รู้สึกสับสนจนเกินไป เขาในตอนนี้เพียงหวังให้ฟาร์ชูลันฟื้นขึ้นมาเพื่อจะถามความจริงจากปากของเธอเอง แต่ตลกร้ายก็คือเหล่าแพทย์ผู้รักษาได้บอกกับซิลเวอร์ว่าอาการของฟาร์ชูลันไม่สู้ดีนัก และโอกาสที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกมีไม่ถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำ...
“เจ้าหายไปไหนนะ สไปค์...ช่วยบอกข้าทีว่าเจ้าไม่ใช่มาร...” ซิลเวอร์รำพันออกมาเบา ๆ เขาในตอนนี้กำลังเฝ้าดูอาการของฟาร์ชูลันอย่างกระชั้นชิดติดขอบเตียงคนไข้เลยก็ว่าได้ อย่างน้อยที่สุดเขาตั้งใจจะพักค้างคืนอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีอะไรคืบหน้า และเป็นการปกป้องฟาร์ชูลันไปด้วยในตัว เพราะถ้าเกิดเหตุอะไรไม่คาดฝันขึ้นเขาจะได้ไม่ต้องเป็นคนเดียวที่พลาดมันไปอีก
วันหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผลจากความวุ่นวายนี้ทำให้ทางสถาบันตัดสินใจประกาศหยุดการเรียนสามวันเพื่อคลี่คลายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังคงรุดหน้าต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็มีวัตถุบางอย่างปรากฏออกมาบนกระดานบอร์ดตามจุดต่าง ๆ ในสถาบัน
ซิลเวอร์ที่ลงมาซื้อข้าวกินได้บังเอิญไปเห็นสิ่งนั้นเข้าพอดี และมันทำให้ความรู้สึกภายในของเขาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด
มันคือกระดาษโปสเตอร์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง บนกระดาษมีตัวอักษรฟอนต์ใหญ่ที่เขียนชื่อของสไปค์เอาไว้ เหนืออักษรนั้นขึ้นไปมีรูปถ่ายหน้าตรงที่ถ่ายในวันก่อนเข้าเรียนอยู่ด้วย และเหนือรูปถ่ายนั้นขึ้นไปนิดหน่อยก็ปรากฏข้อความสั้น ๆ ว่า ‘WANTED’
‘ผู้ใดพบเห็นชายในภาพให้รีบแจ้งข่าวหรือจับกุมตัวมาทันที’
ประกาศจับนี้ถูกแปะติดเอาไว้หลายจุดภายในสถาบัน ซิลเวอร์กระชากเอาแผ่นตรงหน้าออกมาก่อนจะฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แล้วขยำโยนลงตรงถังขยะใกล้ ๆ เขาสะบัดหน้าออกแล้วเดินไปยังห้องพักรักษาตัวของฟาร์ชูลันเพื่อจะทำหน้าที่เฝ้าเธอตามเดิม
ที่นี่ที่ไหน...
‘เจ้าโง่ เพราะเจ้าอ่อนแอเกินไปก็เลยจัดการเจ้านั่นไม่ได้ เจ้ามันโง่ และอ่อนแอสิ้นดี’
เสียงใครพูด เจ้าเป็นใคร
‘อุตส่าห์บรรลุวิชาใหม่ได้แต่ก็ยังทำได้แค่นั้นเอง ข้าคาดหวังกับเจ้ามากเกินไปสินะ’
หยุดนะ ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร
‘เฮอะ ก่อนนี้ก็คุยกันมารอบนึงแล้ว เจ้าเด็กโง่เอ๊ย โง่ไม่บันยะบันยังจริง ๆ’
ร่างของสไปค์เด้งขึ้นจากเตียงในสภาพเหงื่อไหลคลุมกาย สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก เมื่อครู่เขาฝันงั้นหรือ แต่นั่นคือฝันอะไรทำไมถึงได้ดูเหมือนจริงนัก แม้จะปรากฏออกมาแค่เสียงก็ตามที
“ฟื้นแล้วเหรอ อย่าพึ่งขยับดีกว่า อาการของเจ้าหนักมาก แต่ไม่ต้องห่วงนะเพราะข้าถอนพิษออกให้หมดแล้ว เหลือแค่พักฟื้นเท่านั้น”
มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นใกล้ ๆ เมื่อสไปค์สังเกตดูก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องที่ไม่รู้จัก เตียงนี้เป็นเตียงที่กว้างจนเกินพอจะนอนได้มากกว่าสามคน หนำซ้ำเตียงนี้ยังดูเล็กเกินไปอีกเมื่อเทียบกับขนาดของห้องทั้งหมดที่กว้างขวางจนเกิดที่ว่างมากมาย สไปค์หันไปมองใบหน้าเจ้าของเสียงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ ๆ
“ไม่ต้องพูด ๆ ข้ารู้ว่าเจ้าผ่านอะไรมา” พอเห็นว่าสไปค์ทำท่าจะพูดเขาก็รีบชิงดักพูดแทรกขึ้นก่อน “อย่าห่วงเลย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่มาร ดังนั้นพักผ่อนให้สบายใจเถอะ”
“ท่านเป็นใคร” ในที่สุดสไปค์ก็พบจังหวะตั้งคำถาม ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายดูชะงักไปนิดหน่อยหลังจากได้ยินคำถามนี้
“อ้อ ยังไม่ได้แนะนำตัวหรอกรึ”
ชายแปลกหน้าลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเดินเข้ามาหาสไปค์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของชายคนนั้นในที่สุดก็เห็นชัด เขามีโครงหน้าเรียวบางและเนียนใสอย่างมาก ไม่เพียงแค่นั้น...เพราะไม่ว่าจะเป็นแววตา จมูก หรือริมฝีปาก ทุกอย่างเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวและงดงามเสียจนเกินกว่าจะคิดว่าเขาเป็นหญิงหรือชาย เรือนผมที่ยาวลงมาผ่านหัวไหล่ลงไปช่างดูราวกับทรงผมของชายในยุคยุโรปกลาง เขาแต่งกายด้วยชุดยูนิฟอร์มสีแดงที่ดูทะมัดทะแมงเรียบร้อยเหมือนเป็นชุดทางการของสถานที่ราชการที่ไหนสักที่
เขาก้มหน้าลงใกล้กับสไปค์หลังจากที่เดินมาถึงขอบเตียงแล้ว แม้จะเป็นเพียงการถามชื่อแต่ทำไมกลับมีบรรยากาศกดดันได้ขนาดนี้กัน
“ข้าก็คือ...” เงียบเสียงไปสักพักเหมือนต้องการให้อีกฝ่ายตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น “...คนที่ช่วยเหลือเจ้าไง”
“ปัดโธ่! รอฟังตั้งนาน”
ชายคนนั้นหัวเราะชอบใจขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องรีบหรอก ข้าไม่ใช่ศัตรู เจ้าพักรักษาตัวเถอะ” กล่าวจบเขาก็เดินออกไปจากห้องโดยผ่านประตูบานใหญ่ที่ประดับไปด้วยลวดลายที่แสนวิจิตรงดงามชนิดที่สไปค์ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
ทิ้งให้ตัวเขาจมอยู่ภายใต้ความสงสัยต่าง ๆ นานา ไม่เว้นแม้กระทั่งเสียงประหลาดบางอย่างที่เริ่มจะดังขึ้นจากภายในห้วงลึกของจิตใจ ในที่สุดเขาก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงทุกอย่าง
“ท้ายที่สุดข้าก็อยู่คนเดียวอีกครั้งรึนี่...”
เขามองออกไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่าง โดยหวังว่าความสวยงามจากภายนอกจะช่วยปลอบประโลมจิตใจที่อ่อนล้านี้ได้