บทที่ 11 เจ้าตำหนักอัคคี
บทที่ 11 เจ้าตำหนักอัคคี
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยทรุดโทรม เปลือกตาที่ปิดสนิทไม่ได้สติ เส้นผมที่เคยเรียบเนียนสละสลวยในครานี้กลับกระเซอะกระเซิงไม่เป็นระเบียบ เครื่องแต่งกายหลายแห่งมีร่องรอยฉีกขาดเผยให้เห็นผิวพรรณขาวเนียนที่ในยามนี้ดูทรุดโทรมสกปรกเหลือเกิน หนำซ้ำร่างเล็กบางร่างนั้นยังถูกกักเก็บเอาไว้ในอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาด มันมีลักษณะเป็นทรงกลมรีเหมือนกับไข่ หากแต่โปร่งแสงสว่างจากด้านใน ผิวนอกของมันขรุขระและมีสีแดงอมม่วง ขนาดใหญ่เพียงพอจะเก็บร่างทั้งร่างของมนุษย์เอาไว้ได้
และฟาร์ชูลันคือผู้ที่ถูกกักขังอยู่ด้านในสิ่งดังกล่าวนี้
ไม่เพียงแค่นั้น รอบข้างยังมีสิ่งนี้เรียงรายกันไปอีกไม่ต่ำกว่าสิบ และทุกชิ้นอันจะมีร่างของมนุษย์ถูกกักเก็บเอาไว้ภายในเสมอ คล้ายคลึงว่าสิ่งนี้เป็นรังไหมหรือดักแด้ที่โปร่งแสงอย่างไรอย่างนั้น
“แกเป็นใคร!”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างตื่นตระหนกเมื่อได้เห็นภาพร่างของชายแปลกหน้าที่มาเยือนกะทันหัน เจ้าของเสียงมีรูปร่างเป็นหญิงสาวผิวสีดำ สัดส่วนรูปลักษณ์ดูเย้ายวนและมีเสน่ห์ชวนหลงใหล เรือนผมสีบลอนด์ทองของเธอยาวสลวยเป็นลอนงาม พอรวมเข้ากับการแต่งกายที่มีส่วนบนเป็นเชิ้ตปกกว้างปล่อยกระดุมสองเม็ดจนเห็นเนินอกแล้วนั้นจะพบได้ว่าเธอคนนี้นอกจากจะมีรูปร่างที่มีเสน่ห์แล้ว ยังแต่งกายได้เหมาะเจาะเข้ากันกับร่างกายตัวเองยิ่งกว่า
ไม่มีเสียงตอบใดดังกลับมา มีเพียงกระแสพลังออร่าปราณสีม่วงเข้มที่ค่อย ๆ ทยอยไหลออกมาเป็นเส้น ปราณเหล่านั้นยิ่งยาวยิ่งเลื้อยออกมาราวกับอสรพิษ สัมผัสของบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวฉายเด่นชัดยิ่งขึ้นเมื่อจับโฟกัสไปที่สีหน้าของชายหนุ่มเจ้าของปราณคนนั้น
“ยามเฝ้าหอคอยมัวทำอะไรอยู่ ไม่ได้เรื่องเลย” หญิงสาวกล่าวออกมาอย่างขัดใจ ก่อนจะเร่งพลังในร่างจนปรากฏเป็นปราณสีเทาเข้มไหลหลั่งออกมา ปะทะเข้ากับกระแสปราณไร้ลักษณ์ของสไปค์จนเกิดกระแสต่อต้านของพลังขึ้นกลางอากาศ
ความจริงแล้วการต่อสู้ของนักรบปราณไม่ได้มีเพียงการเค้นพลังปราณเพื่อผนวกเข้ากับยอดวิชาและห้ำหั่นกันเพียงเท่านั้น แต่ในการปะทะกันด้วยกระแสของพลังปราณก็ยังสามารถทำให้หยั่งรู้ถึงระดับฝีมือของอีกฝ่ายได้ด้วย นั่นจึงจะเป็นเหตุผลว่าควรจะสู้ต่อหรือไม่ถ้าหากได้ทราบระดับฝีมือของอีกฝ่ายแล้ว
พลังที่สไปค์สัมผัสได้จากหญิงสาวตรงหน้าคือพลังปราณอสรพิษระดับห้า
พลังที่หญิงสาวสัมผัสได้จากปราณไร้ลักษณ์ของสไปค์คือระดับสาม
“หืม... แค่บรรลุขั้นเทวการุณได้ไม่ได้หมายความว่าจะเอาชนะข้าได้ เจ้าหนู เจ้าเป็นใครถึงกล้าบุกเข้าม--”
ซู่มม!!
หมัดที่รวดเร็วและเฉียบคมประดุจปลายหอกพุ่งแทงเข้ามาโดยมีเป้าหมายคือใบหน้าของหญิงสาว แต่แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเธอก็ยังหลบได้อย่างง่ายดาย หนำซ้ำยังตีลังกากลับหลังถอยห่างออกไปได้ไกลอีกหลายเมตร สีหน้าของเธอหลังจากตั้งหลักได้ส่อแววไม่พอใจออกมา
“บังอาจนัก ไม่เห็นหรือไงว่าข้าเป็นใคร”
“เจ้าคือเจ้าตำหนักอัคคี ฟาร์เชน ใช่มั้ยล่ะ” สไปค์ตอบกลับทันควัน
“อ้อ ทั้งที่รู้ว่าเป็นข้าแต่ก็ยังกล้าบุกเข้ามาทำเรื่องเสียมารยาท คงไม่รักชีวิตแล้วสิ?” ฟาร์เชนตอบกลับพลางชักสีหน้าหงุดหงิด
“ทำเรื่องเสียมารยาท?” สไปค์ทวนคำพูดเมื่อครู่ พลางหันไปมองยังกลุ่มดักแด้สีแดงม่วงใกล้ ๆ อารมณ์ฉุนเฉียวผุดขึ้นมาจากสามัญสำนึกภายในอีกครั้ง “เจ้ากล้าพูดคำนี้ออกมาได้ยังไง”
กระแสออร่าปราณสีม่วงเข้มยิ่งไหลทะลักออกมามากกว่าเดิม ร่างของสไปค์ลอยตัวสูงขึ้นกระทั่งไม่นานก็แน่นิ่งอยู่กลางเวหา นี่เป็นผลจากระดับขั้นเทวการุณที่จะทำให้เจ้าของปราณสามารถเคลื่อนไหวในสภาวะที่น้ำหนักตัวเบาลงจนถึงขั้นไม่มีน้ำหนักเลย
หากแต่ว่า...คู่ต่อสู้ของเขาก็ทำแบบเดียวกันได้เช่นกัน!
ร่างของฟาร์เชนค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นจนเทียบเท่ากับสไปค์ สายตาทั้งสองคู่จับจ้องกันปานจะเชือดเฉือนกันให้จบเสียเดี๋ยวนั้น หากในสถานที่นี้มีผู้คนรายล้อมอยู่มากมายล่ะก็ พวกเขาคงจะได้รับผลกระทบจากพลังที่ทั้งคู่เปล่งออกมาจนไม่อาจยืนติดพื้นได้เป็นแน่
แม้จะโกรธเกรี้ยวแทบบ้า แต่อย่างไรสไปค์ก็ยังมีสตินิ่งคิดพอให้รู้ว่าอีกฝ่ายคือเจ้าตำหนัก และไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะเอาชนะได้โดยง่ายเมื่อสัมผัสได้ถึงระดับพลังปราณที่เหนือล้ำกว่าเขาถึงสองขั้นด้วยกัน ชายหนุ่มยืนอยู่บนเวหาทำท่าทีสงบนิ่งและใช้ความคิดที่แล่นเข้ามานักต่อนักเพื่อวิเคราะห์หาความเป็นไปได้ที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปพร้อมกับเหล่านักเรียนที่ถูกจับตัวมา
แต่เมื่อมองไปที่ดักแด้จำนวนมากสไปค์ก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง นั่นคือเสื้อผ้าของนักเรียนที่ถูกจับตัวมาทุกคนกำลังถูกน้ำสีเขียวที่ไหลออกมาจากตุ่มใสข้างในดักแด้ย่อยสลายไปเรื่อย ๆ เพียงเห็นแว้บเดียวก็รู้ได้ว่านั่นคือน้ำกรดไม่ผิดแน่ อารมณ์ของสไปค์เริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง หากนานกว่านี้นักเรียนทุกคนหรือแม้กระทั่งฟาร์ชูลันจะต้องถูกย่อยสลายเหลือเพียงกระดูก!
“ปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้นะ!” สไปค์คำรามลั่น กระแสปราณที่ปั่นป่วนเริ่มบ่งบอกถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นอย่างรุนแรง ซึ่งฟาร์เชนสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้เช่นกัน
“เอาชนะข้าให้ได้สิ” ฟาร์เชนกล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน เธอลูบปลายเส้นผมเงาสลวยด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ ในขณะที่มือซ้ายที่ว่างอยู่กลับล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนเพื่อควานหาอะไรบางอย่าง กระทั่งควักออกมาก็เจอว่านั่นคือถุงผ้า เธอแกะถุงผ้านั้นด้วยพลังปราณและทำให้ผงประหลาด ๆ ที่อยู่ภายในกระจายออกไปสู่อากาศโดยรอบ สไปค์เอามือปิดจมูกทันที
“อย่าห่วง นี่ไม่ใช่พิษหรอก ในเมื่อตัวข้าครอบครองปราณอสรพิษแล้วไฉนจึงจำต้องใช้พิษที่เป็นสิ่งของนอกกายนั่นอีก” แม้จะฟังดูน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังก็ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี สไปค์ยังคงปิดจมูกและเลือกที่จะไม่สูดอะไรเข้าไปอีกทั้งนั้น เขาพยายามใช้อากาศให้น้อยที่สุด ควบคุมกระแสปราณไร้ลักษณ์ให้คงสภาพร่างกายเขาเอาไว้แม้จะอยู่ในสภาวะที่ได้รับอากาศหายใจน้อยก็ตาม
“ปราณของเจ้า...แปลกดี ข้าพึ่งสังเกต แต่ช่างเถอะ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของข้า จะอะไรมันก็เท่านั้น!” ฟาร์เชนพุ่งตัวตรงไปด้านหน้า แม้ความเร็วที่แสดงออกมาจะไม่มากเท่ากับตอนที่ซิลเฟร์ใช้พุ่งเข้าหาสไปค์ แต่ก็จัดได้ว่ารวดเร็วจนเกินพอจะต้านรับไว้ได้ทัน โชคยังดีที่เมื่อฝ่ากระแสปราณไร้ลักษณ์เข้ามามันทำให้สไปค์รู้ตัวทันและยกมือขึ้นต้านก้อนหมัดข้างขวาไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
ลำแขนที่สไปค์ยกขึ้นต้านรับการจู่โจมเอาไว้เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ เป็นหลักฐานว่าเขาถูกพิษเข้าเล่นงานเสียแล้ว ชายหนุ่มรีบถอนตัวถอยกลับออกไปเพื่อทิ้งระยะห่างจากฝ่ายตรงข้ามทันที
พิษ...คือคุณสมบัติหลักของปราณอสรพิษ ปราณชนิดนี้มีความร้ายกาจอันเป็นเอกลักษณ์และยังหาพบได้ยากยิ่ง แม้จะหาไม่ยากเท่ากับปราณมังกร แต่ก็นับว่ายากจนอยู่ในระดับที่ว่าร้อยคนเกิดมาจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มี
และที่สำคัญอีกอย่างคือการต่อสู้ครั้งนี้เป็นปัญหากับสไปค์อย่างหนัก เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้กับผู้ใช้ปราณอสรพิษเลยก็ว่าได้
“นึกออกแล้ว ช่วงนี้มีข่าวลือแปลก ๆ เกี่ยวกับนักเรียนใหม่ที่มีปราณลึกลับอันน่าเกลียดน่าชัง คน ๆ นั้นคือเจ้าเองสินะ เฮ้อ อยู่ดีไม่ว่าดีทำไมถึงหาเรื่องใส่ตัวแบบนี้ได้?” ฟาร์เชนพูดพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “ไหน ๆ ก็มาแล้วก็ช่วยทำให้ข้าสนุกหน่อยละกัน จะยืนนิ่งไปอีกนานแค่ไหน?”
“เฮอะ” สไปค์สบถออกมาเบา ๆ เพราะไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป
ความจริงเขาไม่ได้อยากจะยืนนิ่งนักหรอก แต่เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้ด้วยวิธีไหนมากกว่า
กระบวนท่าที่เขามีในตอนนี้มีเพียงเคล็ดหักเขี้ยวและเคล็ดสลายปีกซึ่งคิดค้นมาเพื่อต่อกรกับปราณหมาป่า ปราณพยัคฆ์ และปราณอินทรีย์เท่านั้น หรือหากจะขยายความให้ละเอียดขึ้นอีกก็คือกระบวนท่าเคล็ดหักเขี้ยวนั้นมีไว้เพื่อแก้ทางเคล็ดวิชาที่ถูกควบคุมจากพลังปราณหมาป่าหรือปราณพยัคฆ์ ส่วนเคล็ดสลายปีกคิดค้นมาเพื่อแก้ทางกระบวนท่าที่เกิดจากปราณอินทรีย์นั่นเอง
แต่กับปราณอสรพิษที่พึ่งจะเคยสู้ด้วยเป็นครั้งแรก เขาที่ยังไม่มีเคล็ดวิชาแก้ทางจะไปหาทางรับมือได้อย่างไร?
ฟาร์เชนเห็นอีกฝ่ายเปิดช่องโหว่เต็มไปหมด เธอพุ่งตัวเข้าไปหมายจะปล่อยพิษใส่อีกครั้ง สไปค์กัดฟันกรอดพร้อมทั้งสอดมือเข้าไปยังจุดอับของกระบวนท่าที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา ก่อนจะใช้กระบวนท่าเคล็ดหักเขี้ยวเพื่อทำลายกระบวนท่าของอีกฝ่าย แต่ฟาร์เชนกลับยิ้มแสยะเมื่อเห็นแบบนั้น
เธอเปลี่ยนกระบวนท่าทันควัน ซ้ำยังทำลายวิชาเคล็ดหักเขี้ยวอย่างหมดจดในพริบตาและถีบเข้าที่ท้องน้อยจนสไปค์ปลิวกระเด็นไปอัดกับผนังด้านหลัง เกิดเสียงดังตูมขึ้นหนึ่งครั้งจนห้องสั่นสะเทือน ฟาร์เชนค่อย ๆ ร่อนตัวลงมายืนติดพื้นพลางหัวเราะชอบใจเมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายทำอะไรตนไม่ได้เลยแม้แต่นิด
“เจ้าฝีมือแค่นี้เองรึไงกัน! อ่อนหัดเกินไปแล้วเจ้าหนูเอ๊ย!”
“แค่ก ๆ หนอยแน่ะแก” สไปค์ค่อย ๆ คลานออกมาจากริมกำแพง ผิวหนังของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำมากขึ้นกว่าเดิม พิษเริ่มกระจายไปทั่วร่างจนกระแสปราณเริ่มขัดข้อง ส่งผลให้การคงสภาพปราณเอาไว้เริ่มติดขัดจนเลือนรางเตรียมจะหายไปในไม่ช้า ชายหนุ่มพยายามฝืนใช้แรงเพื่อดันตัวให้ลุกขึ้นยืน แต่ก็ล้มเหลว...พิษที่แพร่กระจายผ่านเส้นเลือดไปทั่วร่างนั้นร้ายแรงเกินไป
ขอโทษนะ...ข้าช่วยเจ้าไม่ได้
เขามองไปทางดักแด้ที่ขังร่างของฟาร์ชูลันเอาไว้ ภายในนั้น...เสื้อผ้าของเธอเริ่มถูกกัดกร่อนจนจวนเจียนจะหายไปหมดอยู่แล้ว มันเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือตัวเขาที่เป็นความหวังเดียวกลับไม่สามารถยืนหยัดรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้เลย
ข้าอ่อนแอขนาดนี้เลยหรือ...
ภายในใจเริ่มตระหนักถึงความไร้พลังของตน ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาแม้เขาจะเฝ้าฝึกฝนอย่างหนักแต่ก็คิดค้นกระบวนยุทธ์ขึ้นมาได้เพียงสองกระบวนท่าเพื่อแก้ทางพลังปราณสามชนิดเท่านั้น เมื่อมาเจอกับปราณที่ไม่เคยเผชิญมาก่อนกลับมีสภาพเช่นนี้หรือ?
‘เจ้าโง่ ใครใช้ให้เจ้ายอมแพ้เพียงแค่นี้กัน’
ทว่า...มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นมาในโสตประสาทลึก ๆ ภายใน
‘ข้าไม่ได้กระจอกถึงขั้นที่จะพ่ายแพ้ให้กับปราณขี้ขลาดพรรค์นั้น!’
เสียงนั้นเริ่มดุดันขึ้น และยังตวาดลั่นจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
‘สิ่งที่เจ้าคิดว่าไม่มี แท้จริงแล้วมันอยู่กับเจ้าเสมอ จงสร้างมันขึ้นมา’
แล้วเสียงนั้นก็เงียบหายไป สไปค์ผู้กำลังจะสิ้นสติพลันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาพบว่าเรี่ยวแรงที่หายไปเริ่มหวนกลับคืนมา สีม่วงคล้ำตามผิวหนังเริ่มกลับคืนสู่สภาพผิวดังเดิม อาการเหมือนคนถูกพิษเริ่มหายไปช้า ๆ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ฟาร์เชนถึงกับมีสีหน้าตระหนกเมื่อได้เจอกับความพิศวงที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า
“เกิดอะไรขึ้น”
ไม่มีใครตอบคำถามนั้นทั้งสิ้น ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของฟาร์เชนที่กำลังตื่นตระหนกอย่างที่สุด
“สิ่งที่คิดว่าไม่มี แท้จริงแล้วอยู่กับข้าจริง ๆ”
เขากล่าวออกมาสั้น ๆ
“เคล็ดวิชาใหม่ที่พึ่งบรรลุขึ้นได้ เคล็ดกายมายา” สไปค์พูดพลางยกฝ่ามือของตนขึ้นมามองดู “เคล็ดวิชาที่บรรลุขึ้นเพื่อแก้ทางปราณอสรพิษ ถ้าหากว่าปราณอสรพิษมีพิษร้ายแรง เคล็ดกายมายาจะสลายพิษเหล่านั้นจนสิ้น”
“หมดทางสู้จนถึงกับต้องละเมอเพ้อสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงออกมาเชียวรึ โง่เง่ายิ่งนัก” ฟาร์เชนพุ่งตัวเข้ามาหาสไปค์ ฝ่ามือห่อหุ้มไปด้วยพลังปราณอสรพิษซึ่งอัดแน่นไปด้วยพิษร้ายที่ยากจะต้านทาน และยังร้ายกาจกว่าพิษที่ใช้ก่อนหน้านี้นับสิบเท่า สไปค์ตั้งท่าเหยียดขาซ้ายไปข้างหน้า ตั้งขาขวาเป็นฐานรองน้ำหนักกาย วาดฝ่ามือบนผิวอากาศ ช่องโหว่ที่เคยปรากฏชัดทุกซอกมุมของเขาในยามนี้กลับหายไปจนหมดสิ้น
ฟาร์เชนปล่อยการจู่โจมจากแขนขวาใส่ พร้อมทั้งใช้แขนซ้ายตะปบเข้าหาสไปค์ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน จุดประสงค์คือไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตั้งหลักจู่โจมกลับได้ สไปค์กลับมองตามการเคลื่อนไหวนั้นทัน เขาตั้งแขนทั้งสองข้างในการปัดป้องการโจมตีดังกล่าวนั้น
ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่กับที่โดยไม่ยอมเปิดจังหวะช่องว่างเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว กระทั่งฟาร์เชนเริ่มเกิดความระแคะระคายใจบางอย่างขึ้นมา แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องอื่นใดนอกเสียจากการที่รุกรับขนาดนี้แต่อีกฝ่ายกลับไม่ถูกพิษจากปราณของเธอเข้าเล่นงานเลย...
จุดเด่นของปราณอสรพิษคือพลังแห่งพิษร้าย ยิ่งผู้ใช้ปราณมีพลังมากเท่าไหร่พิษยิ่งมีความหลากหลายและร้ายกาจมากขึ้นเท่านั้น แต่ทั้งที่พลังของเธอเหนือกว่าถึงสองขั้นก็ยังเล่นงานอีกฝ่ายไม่ได้ เรื่องตลกพรรค์นี้มีอยู่บนโลกใบนี้ด้วย?
“หึหึ” สไปค์หลุดขำออกมาเมื่อจับสังเกตถึงสิ่งผิดปกติบนใบหน้าของฟาร์เชนได้ “พิษของเจ้าร้ายกาจก็จริง แต่ไม่อาจทำลายเคล็ดกายมายาอันเกิดจากปราณไร้ลักษณ์ได้หรอก” สิ้นเสียงนั้นสไปค์ก็ปัดแขนทั้งสองข้างของฟาร์เชนออกด้านข้าง
จังหวะนั้นเองที่ชายหนุ่มตะเบ็งเสียงร้องออกมาจากช่องท้อง เสียงนั้นมาพร้อมกับแรงอัดขนาดยิบย่อยรอบตัวจนเกิดแรงกระแทกส่งให้เจ้าตำหนักอัคคีกระเด็นออกไปไกลกว่าสามเมตร แต่อย่างไรเสียเธอก็ยังเก่งกาจมากพอจะทรงตัวตั้งหลักใหม่ได้ทันควัน ทว่าสไปค์ก็ได้อาศัยช่วงจังหวะเวลาที่เธอใช้ทรงตัวรุกเข้าประชิดและรัวหมัดชุดใส่เป็นจำนวนมาก ฟาร์เชนกระอักเลือดออกมาเป็นหย่อมก่อนจะพยายามหาจังหวะถอยร่นออกไป
“เจ้ามันตัวประหลาดจากนรกขุมไหนกัน!” ฟาร์เชนตวาดเสียงพลางคิดหาวิธีรับมือเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่ก็ไม่ปรากฏวิธีไหนเลยที่จะใช้เพื่อรับมืออีกฝ่ายได้ เธอในยามนี้กลับเป็นเหมือนกับสไปค์เมื่อตอนต้นที่ไม่รู้จักวิธีรับมือปราณอสรพิษ เพราะเป็นตัวเธอเองที่ไม่รู้จักวิธีรับมือกับปราณไร้ลักษณ์
สไปค์ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย แม้มั่นใจว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นวิธีแก้กระบวนท่ากายมายาก็จริงแต่จะประมาทก็ไม่ได้ เขาตั้งใจจะรีบเผด็จศึกครั้งนี้ให้ได้โดยไวเพื่อที่จะไปช่วยนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ถูกจับอยู่
“จบกันสักที!” สิ้นเสียงกล่าว ฝ่ามือที่ห่อหุ้มด้วยปราณไร้ลักษณ์ก็ทะลวงใส่ทรวงอกของหญิงสาวประดุจหอกแหลมคม ร่างของเธอเซถลาออกไปและอยู่ในสภาพโซซัดโซเซจนล้มตัวลงในสภาพเข่าชันพื้น ฟาร์เชนเอามือจับทรวงอกตนและพบว่าภายในมีอาการบาดเจ็บอยู่ลึก ๆ
“เจ้าเด็กเปรต... ถ้าไม่ติดว่าข้าสูญเสียพลังไปกับการสร้างดักแด้ล่ะก็ น้ำหน้าอย่างเจ้า...”
คำพูดของฟาร์เชนทำให้สไปค์นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาปรากฏรอยโทสะขึ้นมากกว่าเดิม
“กะแล้ว เจ้าเป็นปิศาจจริง ๆ และเป็นปิศาจที่ลอบเข้ามาในโรงเรียนมนุษย์จนเกิดข่าวลือไปทั่ว สาเหตุที่ยังจับตัวไม่ได้ก็เพราะเจ้าคือเจ้าตำหนัก สามารถแก้ข่าวและเอาตัวรอดได้จากหลักเหตุผลต่าง ๆ ที่ไม่ว่าพูดกับใครก็ต้องเชื่อกันหมด”
“ฮ่า ๆ แล้วยังไง เมื่อรู้แล้วเจ้าจะทำยังไงต่อ ถ้าคิดจะป่าวประกาศบอกทุกคนล่ะก็เลิกคิดซะจะดีกว่า เพราะไม่มีใครเชื่อเจ้าหรอก”
“ก็ไม่แน่หรอก ถ้าทุกคนได้มาเห็นสภาพในตอนนี้ล่ะก็จะต้องเข้าใจแน่ว่าสถานการณ์มันเป็นยังไง”
“งั้นก็รอดูผลละกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น!” ฟาร์เชนลั่นเสียงหัวเราะออกมา คำพูดของเธอทำให้สไปค์รู้สึกสงสัย
“หมายความว่าไง?”
“หึหึ เพราะสิ่งนี้ไง” ฟาร์เชนหยิบเอาถุงผ้าเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีน นั่นเป็นถุงที่บรรจุผงประหลาดไว้และเป็นแบบเดียวกันกับที่เธอใช้ในตอนเริ่มต่อสู้กับสไปค์เมื่อตอนแรก “นี่คือของวิเศษที่จะทำให้รับรู้ตำแหน่งของผู้ใช้งานได้ตามความประสงค์ เพียงปล่อยให้ผงนี่ลอยหายไปกับอากาศ มันจะมุ่งตรงไปยังเหล่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นเป้าหมายเพื่อสร้างภาพสถานการณ์ในสมองขึ้นตามความประสงค์ของผู้ใช้”
สไปค์เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
“คงใช้เวลาอีกไม่นานที่เหล่านักเรียนจากทุกตำหนักจะมาถึงที่นี่ เพื่อมาเห็นภาพของเจ้าตำหนักอันสูงส่งกับนักเรียนหน้าใหม่ซึ่งเป็นที่เกลียดชังของใครหลายคน”
“เจ้าตำหนักอย่างเจ้าคงจะไม่ใช้วิธีขี้ขลาด”
“เจ้าไม่เคยได้ยินหรอกหรือว่าเจ้าของปราณอสรพิษทุกคนล้วนแล้วแต่มีเล่ห์เหลี่ยม?”
“ฮึ่ม!” สไปค์เปลี่ยนเป้าหมาย เขารีบตรงไปยังดักแด้ที่ขังร่างของฟาร์ชูลันเอาไว้ก่อนจะเปิดประบวนท่าเคล็ดกายมายาขึ้นมาอีกครั้ง เขาใช้มือทั้งสองฉีกกระชากดักแด้นั้นจนเละเทะและดึงร่างของฟาร์ชูลันออกมา
“ฮ่า ๆๆ ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์เจ้าหนูเอ๊ย แม่สาวนั่นไม่ตื่นขึ้นมาเห็นสถานการณ์ในตอนนี้หรอก!”
สไปค์ไม่สนใจคำพูดนั้น เขาใช้เคล็ดกายมายาทำลายดักแด้ไปทีละตัวสองตัวและช่วยนักเรียนที่อยู่ในนั้นออกมาคนแล้วคนเล่าจนกระทั่งครบหมดทุกคน สไปค์ทรุดกายลงกับพื้นทันทีเพราะความเหนื่อยล้าจากการใช้พลังปราณติดต่อกันมานาน ฟาร์เชนเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกชอบอบชอบใจเป็นพิเศษ เธอกระอักเลือดที่เกิดจากอาการบาดเจ็บออกมาก่อนจะตกแต่งเลือดพวกนั้นให้เลอะชุดของเธอให้มากที่สุด
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นจำนวนมาก พร้อมกับเสียงเอะอะที่ดังขึ้นตามมาใกล้ ๆ สไปค์มองหน้าฟาร์ชูลันที่ยังคงไม่ได้สติ เธออยู่ในสภาพอ่อนล้าโรยแรงจนชวนให้รู้สึกเจ็บใจ ทำไมเขาไม่เอะใจว่าเธอหายไปไหนและปล่อยให้เธอตกอยู่ในสภาพแบบนี้อยู่ได้ตั้งหลายวัน นี่ถ้าหากช้ากว่านี้ก็อาจจะโดนกัดกร่อนด้วยน้ำย่อยภายในตัวดักแด้จนไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว
“ท่านเจ้าตำหนัก!” มีเสียงดังขึ้นจากผู้มาเยือนนับสิบคน พอพวกเขาเห็นฟาร์เชนอยู่ในสภาพบาดเจ็บก็รีบตรงเข้ามาพยุงร่างให้ลุกขึ้นยืน ส่วนที่เหลือหันไปมองยังทิศทางที่สไปค์อยู่พร้อมกับร่างไร้สติของนักเรียนจำนวนมาก ฟาร์เชนชี้นิ้วมาทางสไปค์ก่อนจะพยายามออกแรงส่งเสียงพูดเพื่อให้ดูเหมือนว่าตนกำลังบาดเจ็บจนแทบจะพูดไม่ได้
“เจ้านั่น...คือปิศาจที่ปลอมแปลงตนเข้ามายังโรงเรียนเรา”