ตอนที่แล้วซัพที่03: เลือกได้ขอย้อนกลับไป ไม่ใช่มันแล้วแผนนี้!!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซัพที่05: มันคือปีศาจร้าย! ปีศาจร้ายที่ไม่รู้จักสูญพันธุ์!!

ซัพที่04: เต็มหน้าขนาดนี้ ข้าจะอยู่ทำบ้าอะไรล่ะ!


ซัพที่04: เต็มหน้าขนาดนี้ ข้าจะอยู่ทำบ้าอะไรล่ะ!

ไม่..ไม่ใช่สิ ต่อให้ข้าไม่พังแผนนั้น ฮองเฮาก็คิดใส่ร้ายพระสนมเหลียง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ลงมือครั้งเดียวกำจัดได้ทั้งเสด็จแม่และพระสนมเหลียง

แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายห้ากัน?

จินหลงเริ่มร้อนรนเป็นกังวล องค์ชายห้าอายุเพียงสามปี ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้แล้วหรือ?

เด็กน้อยพยายามฟังต่อ แต่นางกำนัลทั้งสองกลับคุยเรื่องไร้สาระนินทาไปทั่ว จนเจ้าตัวแสบทนไม่ไหว ต้องดัดเสียงแล้วถามขึ้น

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายห้าล่ะ?” ชงเมิ่งคิดว่าเป็นเพื่อนตน จึงตอบกลับทันที

“ก็ถูกเสียนเฟยรับเป็นบุตรบุญธรรมไง เห็นว่าตอนแรกกุ้ยเฟยจะรับไปดูแล แต่องค์ชายห้าไม่ยอม คงคิดว่ากุ้ยเฟยร่วมสังหารแม่เขามั้ง” นางกำนัลอีกคนหันขวับมามองชงเมิ่ง

“ช..ชงเมิ่ง.. เมื่อ..เมื่อกี้เจ้า..ต..ต...ตอบใครกัน?” ชงเมิ่งขมวดคิ้ว

“ก็ตอบเจ้าไง” นางกำนัลอีกคนส่ายหัว ใบหน้าขาวซีด

“ไม่..ไม่...ไม่ใช่ข้า ข..ข้าไม่ได้พูด..ด..” ชงเมิ่งหน้าถอดสี นางกำนัลคนนั้นจึงหันไปมองชาม เมื่อพิจารณาดูแล้วจึงเห็นเครื่องแกงอยู่ก้นถ้วย ราวกับเป็นชามที่เพิ่งกินเสร็จ

“ผ..ผ..” พวกนางถอยไปกอดกันแน่น สร้างความขบขันนัก

“ผีหลอกกกก!!” ร่างบางทั้งสองแย่งกันหนีออกไป สักพักจินหลงจึงกระโดดลงมา

“หยาบคายกันจังเห็นข้าเป็นผีได้ยังไง” เจ้าตัวเล็กบ่นอุบ ก่อนจะเอาซุปไก่ใส่จานมานั่งกิน

อย่างน้อยน้องจิ้งก็ไม่ได้โดดเดี่ยวสินะ

“อา.. อยากกินซุปข้นเห็ดจัง”

 

วันต่อมาจินหลงจึงอาศัยจังหวะที่ฮ่องเต้และกุ้ยเฟยเสด็จมาเยี่ยมเขาในการลืมตาตื่น

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทเพคะ! จินหลงฟื้นแล้ว!” กุ้ยเฟยร้องด้วยความดีใจ ฮ่องเต้รีบวิ่งเข้ามาดูอาการจินหลงทันที

“จินหลงเจ้าเป็นยังไงบ้าง ตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!” ฮ่องเต้รับสั่ง ยิ่งเห็นใบหน้ายินดีของพ่อแม่ เจ้าตัวแสบก็ยิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิม

เอาล่ะนะ.. หนึ่ง สอง ซั่ม!

“แวววาว ฮ่าๆๆ แวววาวๆ” มือน้อยเอื้อมไปจะคว้าเครื่องประดับบนศีรษะกุ้ยเฟย ท่าทางของเจ้าตัวเล็กทำเอาผู้เป็นพ่อและแม่หน้าเปลี่ยนสี กุ้ยเฟยส่ายหน้าน้อยๆ คล้ายไม่อยากเชื่อ

“จินหลงเจ้าพูดอะไรน่ะ?” ท่าทางของจินหลงยังเป็นเช่นเดิม ทั้งยังปีนป่ายจะหยิบเครื่องประดับบนศีรษะผู้เป็นแม่อีก

“เจ้าพูดอะไรน่ะจินเอ๋อร์! เจ้าเป็นอะไรไป!” ใบหน้างามขาวโพลน ดวงตาเบิกกว้าง มือทั้งสองข้างเขย่าแขนลูกน้อยอย่างแรง

“เจ็บ! จินหลงเจ็บ!” ร่างเล็กดิ้นไปมาและมีท่าทางหวาดกลัว ฮ่องเต้ดึงกุ้ยเฟยออกมา และบอกให้พระนางใจเย็น ก่อนพระองค์จะไปนั่งใกล้กับจินหลง

“จินหลง เจ้าจำพ่อได้ไหม?” ฮ่องเต้ฝืนยิ้ม เด็กน้อยเริ่มหายหวาดกลัว ก่อนจะโผเข้ากอดพระองค์แน่น

“พ่อ..? พ่อ! พ่อจ๋า! พ่อจ๋า~” พระเนตรของทั้งสองพระองค์เริ่มร้อนผ่าว ฮ่องเต้สวมกอดพระโอรสแน่น ไม่นานเหล่าหมอหลวงจึงมาถึง

“พวกเจ้าดูอาการจินหลงเร็วเข้า ทำไมจินหลงจึงมีท่าทีแปลกไปราวกับคนละคน” หมอหลวงมองหน้ากัน ก่อนจะรีบเข้าไปตรวจอาการ แต่ก็ไม่พบอะไร

แน่สิ จะเจอได้ไง ในเมื่อข้าแกล้งบ้า!

“กระหม่อมขออนุญาตกุ้ยเฟยเล่าเหตุการณ์วันนั้น หลังองค์ชายเสวยชาพิษได้หรือไม่พะยะค่ะ” กุ้ยเฟยนิ่งทบทวน แม้ความทรงจำนั้นจะเป็นความทรงจำที่พระนางอยากลืม

“ข้า..ข้าจำได้ว่าวันนั้นหลังจินหลงดื่มชานั่นเข้าไป ก็กระอักเลือด ดวงตาปูดโปน แล้วก็ล้มลง” กุ้ยเฟยกลั้นใจอธิบาย หมอหลวงจึงสอบถามเพิ่มเติม

“ไม่ทราบว่าตอนที่องค์ชายล้มนั้น ศีรษะพระองค์กระทบกับสิ่งใดหรือไม่พะยะค่ะ” ดวงตากุ้ยเฟยเบิกกว้างอย่างนึกขึ้นได้

“ใช่ๆ ตอนนั้นศีรษะจินหลงฟาดกับเสาแรงมาก เสียงดังจนนางกำนัลในตำหนักได้ยินกันทั่ว” หมอหลวงชะงัก ก่อนจะหันมาปรึกษากัน

เอาจริงๆ ตอนแรกข้าก็กะจะเอาหัวฟาดขอบโต๊ะอะนะ แต่พอเห็นเป็นโต๊ะหินแล้วกลัวจะได้บ้าจริง เอาแค่เสาไม้พอ

“ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมคิดว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ศีรษะองค์ชายถูกกระแทกจน..สติฟั่นเฟือนพะยะค่ะ” ไม่มีใครอยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“แล้วรักษาได้หรือไม่? อีกกี่วันจินหลงจึงกลับเป็นปกติ” ฮ่องเต้คาดคั้น หมอหลวงหลบสายตา

“กระหม่อม..ไม่ทราบพะยะค่ะ จากที่กระหม่อมตรวจดู อาการขององค์ชายสี่ปกติทุกอย่าง ตอนนี้จึงทำได้เพียงให้ยาบำรุงและคอยตรวจดูทุกวัน” กุ้ยเฟยเป็นลมล้มพับ โชคดีนางกำนัลรับไว้ได้ทัน บรรยากาศทั่วทั้งห้องตึงเครียด มีเพียงจินหลงที่หัวเราะเอิ้กอ้ากเล่นมดบนกำแพง ฮ่องเต้เดินวนไปมา พยายามใช้ความคิด ก่อนจะหันมาหาหมอหลวง

“ติดประกาศทั่วแคว้นตามหาหมอเทวดา ผู้ใดสามารถรักษาองค์ชายได้มีรางวัลพันห้าร้อยตำลึงทอง” เห้ย! พันห้าร้อยตำลึงทองเลยเหรอ ถ้าข้าหายตอนนี้ขอเงินนั่นแทนได้ไหม!

 

วันต่อมา จินหลงยังคงแกล้งบ้าต่อไป นั่งเหม่อลอยอยู่ในสวน หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับท้องฟ้า ทำทีเป็นพูดคนเดียวราวกับท่องคาถา

“แฮมเบอร์เกอร์ สปาเก็ตตี้ อูดง ซูชิ หูฉลาม แซลมอน โดนัท มาการองงง” จินหลงเงยหน้ามองฟ้า ไล่รายชื่ออาหารที่อดกินในชาตินี้ออกมาราวกับกดดันพระเจ้า เขาเหลือบมองเหล่านางกำนัลที่แสดงสีหน้าหวาดผวามองเขาด้วยสายตาประหลาด

ฮ่าๆๆ กลัวใหญ่เลยสิ แต่โอ้ยยย! พูดแล้วหิววว

จินหลงลุกขึ้นเดินไปที่พุ่มไม้ ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการมุด นางกำนัลที่เห็นดังนั้นจึงร้องโวยวาย รีบเข้ามาอุ้มขึ้น

“ตายแล้วว องค์ชายเพคะ พระองค์จะทำเช่นนั้นไม่ได้นะเพคะ!” นางกำนัลรีบวิ่งมาอุ้มจินหลงขึ้น แต่เด็กในอ้อมแขนกลับดิ้นไปมา

“ไม่เอา จินหลงจะไปเล่นกับเสี่ยวเหมย!” เหล่าข้ารับใช้ชะงัก และหน้าถอดสี ปฏิกิริยาของพวกเขาก็ไม่ต่างจากของเล่นสนุกๆ ฆ่าเวลาของจินหลง

“องค์ชายเพคะ แถวนี้ไม่มีใครนะเพคะ” นางกำนัลยิ้มสู้ จินหลงจึงแกล้งชี้ไปที่ข้างต้นไม้ด้านหนังพุ่มไม้

“เสี่ยวเหมย นั่นไงเสี่ยวเหมย นางโบกมือเรียกข้าอยู่ เอ้ะๆ นางบอกให้ข้าพาเจ้าไปด้วยล่ะ!” สีหน้านางกำนัลที่อุ้มเจ้าตัวดีแทบร่ำไห้ ขณะที่นางกำนัลและขันทีคนอื่นรีบถอยห่างไปเกาะกลุ่มกัน ทว่าไม่ทันทีจินหลงจะแผลงฤทธิ์เพิ่ม ขันทีผู้หนึ่งจึงวิ่งเข้ามาเรียก

“พวกเจ้ารีบพาองค์ชายสี่ไปในตำหนักเร็ว ตอนนี้มีหมอเทวดามารอกันเยอะแ..เอ้ะ?” ขันทีผู้มาใหม่เอ่ย ก่อนจะฉงนเมื่อนางกำนัลยัดจินหลงใส่มือ

“จ..เจ้า เจ้าพาองค์ชายไปแล้วกันนะ ข้า..ข้าไม่อยู่แล้ว!!” ไม่ว่าเปล่า เหล่านางกำนัลต่างพากันแตกกระเจิง ทิ้งให้ขันทีฉงน จินหลงจึงแกล้งหัวเราะเอิ๊กอ้ากดึงหูขันทีผู้นั้นเล่น

“เป็นอะไรของยัยพวกนั้นกัน โอ้ยๆๆ องค์ชายพอเถิด กระหม่อมเจ็บบบ”

ฮ่าๆๆๆๆ

 

ไม่นานจินหลงจินต้องเข้ามาติดแหงกในตำหนัก ถูกเหล่าหมอเทวดาตรวจชีพจร จับหัวหมุนซ้ายหมุนขวาไปมาจนเริ่มเวียนหัว

หัวคนนะไม่ใช่หัวตุ๊กตา บิดไปบิดมาอยู่ได้!

จินหลงดิ้นพล่านไปทั่วเตียง ทำให้ไม่สามารถตรวจต่อได้ กุ้ยเฟยจึงสั่งขันทีให้จับตัวจินหลงไว้ห้ามปล่อย สร้างความหงุดหงิดให้เจ้าตัวเล็กนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกฝังเข็มที่ศีรษะ

“องค์ชายอยู่นิ่งๆ สิพะยะค่ะ!” ขันทีพยายามจับตัวจินหลงแน่น

“ไม่เอาจินหลงจะไปเล่นกับเสี่ยวเหมย เสี่ยวเหมยรอจินหลงอยู่!” เจ้าตัวแสบแกล้งโวยวายมองไปที่ประตูตำหนัก กุ้ยเฟยได้ยินก็ฉงน

“เสี่ยวเหมย? เสี่ยวเหมยเป็นใครกัน?” กุ้ยเฟยหันไปถามนางกำนัลข้ากายที่ออกอาการตัวสั่น

“ม..เมื่อครู่อ..องค์ชาย องค์ชาย” ท่าทางอึกอักสร้างความรำคาญนัก

“เจ้าจะทำท่าอึกอักน่ารำคาญทำไม พูด!” กุ้ยเฟยไม่พอใจ นางกำนัลเมื่อถูกถลึงตา จึงยอมเอ่ยออกไป

“องค์ชายกล่าวว่าพบเด็กที่ชื่อเสี่ยวเหมยในสวน กำลังจะไปเล่นด้วยกัน ต..แต่ แต่พวกหม่อมฉันไม่มีใครเห็นนางเพคะ” กุ้ยเฟยตกตะลึง หันมามองจินหลงด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนพระนางจะหันไปสั่งการบางอย่างกับลี่ฉง

 

วันต่อมา จำนวนหมอจึงเพิ่มขึ้นหลายเท่านัก ทั้งหมอผี หมอยา หมอตำแย สารพัดหมอต่างพากันมายังวังหลวง ทำเอาจินหลงแทบหลั่งน้ำตา นึกอยากเลิกแกล้งบ้าขึ้นมาทันที ยิ่งเมื่อวานกุ้ยเฟยสั่งลี่ฉงให้ไปเชิญหมอผีทั่วแคว้นมา ทำให้วันนี้มีเหล่าหมอผีต่อคิวยาวจนไม่เห็นท้ายแถว..

“โอม..ม.. โอมๆๆ ภูตเทวดาทั้งหลาย เสือสิงห์มังกรทั้งหลาย โปรดขับไล่ภูติผีที่สิงสถิตในองค์ชายด้วยเถิดดด” ว่าจบหมอผีคนที่ยี่สิบแปดก็นำธูปเทียนจุ่มน้ำ แล้วยกซดเข้าปาก

ไม่เอา! ไม่เอานะโว้ยยยย ไม่เอาแล้ววว!

จินหลงพยายามหนีตาย ไม่ใช่เพราะรู้สึกแสบร้อน แต่เพราะวันนี้เขาโดนน้ำลายของคนนับไม่ถ้วนสาดหน้าตั้งแต่เช้า

“องค์ชายทนหน่อยพะยะค่ะ พระองค์จะได้หายเป็นปกติ!” จินหลงถูกขันทีทั้งสองจับไว้แน่น

หายเป็นปกติบ้าอะไร! ข้าได้ติดเชื้อตายก่อนน่ะสิ!

“ม๊ายยย จินหลงไม่อาววว ไม่อาววว” ไม่! อย่าทำปากอย่างนั้น! อย่าทำอย่างที่ข้าคิดเชี...

“พรวดดดด” เต็มๆ.. ไม่ใช่แค่น้ำมนตร์นะ แต่น้ำลายเนี่ยแหละเต็มหน้าข้าเลย!!

“องค์ชาย! ทรงเป็นยังไงบ้างพะยะค่ะ” ขันทีทำท่ามีหวัง เมื่อจินหลงนิ่งไป

ยังจะกล้ามาถามข้าอีก!! ไม่เอาด้วยแล้ว!

“ว๊ากๆๆ จินหลงบอกว่าไม่เอาๆ ไม่อาววว” ร่างเล็กออกแรงดิ้นสุดกำลังจนหลุดจากพันธนา เขารีบวิ่งออกไปที่สวนทันทีพร้อมกับใช้ชุดเช็ดหน้า

“รีบจับตัวองค์ชายเร็วเข้า!” อยู่ให้โง่เหรอ!

ไม่คิดเปล่า เด็กน้อยรีบโดดหนีขึ้นไปบนต้นไม้ วิ่งร้องไห้งอแงแกล้งปารังต่อรังแตนใส่ทหารและขันทีที่ตามมา ก่อนหาโอกาสหลบหนีออกนอกวัง

 

“บ้าชะมัด คิดได้ไงพ่นน้ำมาเต็มหน้าข้างี้” เจ้าตัวเล็กบ่นอุบ ขณะซ่อนชุดราชวงศ์และมงกุฎไว้หลังพุ่มไม้ เหลือเพียงเสื้อสีขาวและถุงเงินที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อเท่านั้น

โชคดีนะ ที่ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อประทานรางวัลให้ข้าซะมากมาย ข้าจึงมีเงินเก็บซ่อนไว้ในตำหนัก

เด็กน้อยเหยียดกายยืดแข้งยืดขา ก่อนดวงตาจะแพรวพราวเมื่อได้เห็นโลกภายนอก

เอาล่ะ ไหนๆ ก็ได้ออกมานอกวังครั้งแรก ขอดูสถานการณ์หน่อยแล้วกัน!

 

จินหลงเดินทอดน่องไปเรื่อย ภายในเมืองก็ไม่ต่างอะไรกับชาติแรกของเขานัก เพียงแต่ที่แห่งนี้มีจำนวนขอทานที่เป็นเด็กอยู่มากผิดปกติ แต่ละคนหากไม่มีแววตาเหม่อลอย ก็เป็นแววตาเศร้าสร้อยไม่ก็แค้นเคือง

เดินได้พักหนึ่ง กระเพาะก็ร้องประท้วง จินหลงจึงนำเงินที่มีไปซื้อไก่ย่างจำนวนหนึ่ง แต่แล้วเขาก็สัมผัสได้ว่าตนถูกใครบางคนจับจ้อง คาดว่าคงเป็นเด็กแถวนี้ องค์ชายน้อยเดินไปซื้อหมั่นโถวกระสอบใหญ่ด้วยเงินทั้งหมด ก่อนจะแกล้งเดินกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย พร้อมกับลากกระสอบหมั่นโถวตามไปด้วย

ตามมาจริงๆ ด้วยแหะ

เจ้าตัวแสบยิ้มอยู่ในใจ ก่อนแกล้งเดินเข้าไปยังตรอกไร้ผู้คน แล้วจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังคา เมื่ออีกฝ่ายตามมาทัน ก็ต้องตะลึง

“มันหายไปไหนแล้ว!!” เด็กชายวัยสิบสามปีหันซ้ายขวาไม่อยากเชื่อ

“พี่ใหญ่ ข้าว่ามันคงอยู่ไม่ไกลจากนี่แน่ๆ” เด็กชายอีกคนเอ่ย จินหลงมองเด็กชายห้าคนราวกับได้ของเล่นใหม่

“หาข้าอยู่เหรอ?” เสียงจากด้านบนทำให้พวกเขาต้องเงยหน้า เงาดำที่ปรากฏทำให้พวกเขาต้องหรี่ตามอง ก่อนจะเด็กชายที่ตามหา

“จ..เจ้า! เจ้าขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ยังไง!” จินหลงเหยียดกาย ก่อนจะโดดลงมาด้วยถ่วงท่าสง่างาม

ให้ตายเถอะ ทำไมข้าถึงทั้งหล่อทั้งเท่ตั้งแต่เด็กขนาดนี้ มีหวังโตมาคงลำบากเรื่องชายาแน่ จึ๊ๆๆ

“ไม่ได้บินขึ้นไปแล้วกัน” เด็กทั้งห้าตะลึง จินหลงจึงเปิดประเด็น

“มีธุระอะไรกับข้าล่ะ?” เมื่อได้ยินคำถาม พวกเขาจึงนึกได้

“ส..ส่ง ส่งอาหารของเจ้ามาซะ! ไม่อย่างนั้นเจอดีแน่!” โอ้ว บทพูดของตัวโกงที่จะถูกพระเอกกำจัดภายในเวลาไม่กี่นาที ออกมาดั่งคาด

“ได้สิ แต่มีข้อแม้” ทั้งห้าถึงกับเหวอ จินหลงไม่มีท่าทางหวาดกลัวแม้แต่น้อย

“อ..อะไร?!” ริมฝีปากเล็กๆ เผยยิ้ม

“เล่าให้ข้าฟังทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่ ทำไมถึงมีเด็กกำพร้าหรือขอทานเยอะขนาดนี้” เด็กทั้งห้ามองหน้ากัน ไม่อยากเชื่อกับคำถามนั้น

“อ้อ จะเรียกเด็กคนอื่นมากินด้วยกันก็ได้นะ ข้าไม่ว่า”

 

หลังเด็กทั้งหลายเริ่มกินอาหารตรงหน้า จินหลงจึงหันไปทางเด็กที่โตที่สุดในกลุ่ม

“แล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เด็กชายคนนั้นกลืนหมั่นโถวลงไป ก่อนจะเม้มปากแล้วเหลือบตามองจินหลง

“เด็กตระกูลขุนนางสูงศักดิ์อย่างเจ้าคงไม่รู้อะไร พวกเราทั้งหมดเป็นเด็กกำพร้าที่หนีมาจากต่างเมือง เพราะสงครามทำให้ทั้งบ้านทั้งพ่อแม่พี่น้องต้องตาย พวกข้าไม่รู้จะทำยังไง จึงเดินทางเร่ร่อนมาเรื่อยๆ จนถึงเมืองหลวง” จินหลงขมวดคิ้ว

“เจ้ารู้ได้ไงว่าข้ามาจากตระกูลขุนนาง?” เขาไม่ได้ใส่เครื่องประดับหรือของล้ำค่าเลยนี่

“แค่ดูเนื้อผ้าที่เจ้าใส่ พวกข้าก็รู้แล้ว” ออ.. แต่ถ้าไม่ใส่เจ้านี่ มีหวังข้าต้องเป็นชีเปลือยเดินรอบเมืองแหง

“แล้วพวกเจ้ามีแผนจะทำอะไรต่อ?” จินหลงถามต่อ พวกเขาทุกคนจึงชะงัก ใบหน้าที่ดีใจกับอาหารเมื่อครู่เริ่มหม่นหมอง

“พวกข้าไม่รู้ แค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ก็ยากแล้ว เด็กที่โตหน่อยก็ออกปล้นแย่งอาหารมาเลี้ยงเด็กเล็ก” ..แบบที่เขาโดนสินะ

“ไม่หางานทำกันล่ะ? ค้าขายของป่าก็ได้” จินหลงแนะนำ แต่พวกเขากลับส่ายหัว

“ไม่..ไม่ไหว พวกข้าลองกันแล้ว แต่ก็ถูกเจ้าของที่ไล่ตะเพิด ไม่ก็ถูกทำลายข้าวของ เสื้อผ้าที่พวกข้าใส่สกปรกมอมแมม ไม่มีใครกล้าซื้ออะไรเพราะกลัวเชื้อโรค” อืม..ก็จริง

“นี่ๆๆ! แล้วที่เจ้าหนีพวกข้าไปอยู่บนหลังคาทำได้ยังไงกันน่ะ?!” เด็กชายที่อยู่ในกลุ่มห้าคนแรกถาม จินหลงจึงเลิกคิ้ว

“นั่นสิ! เจ้าเองก็เด็กกว่าพวกข้านัก ทำไมถึงไปอยู่บนนั้นได้” ทุกคนเริ่มสนใจ

“พวกเจ้าอยากรู้เหรอ?” จินหลงถามด้วยรอยยิ้มกระยิ้มกระหย่อง

“อยากรู้!!” เมื่อได้ยินเสียงประสาน เขาจึงกระแอมครั้งหนึ่ง ก่อนวางมาดเป็นอาจารย์

“ดี! ถ้าอยากรู้ข้าจะบอกให้ก็ได้ สิ่งที่ข้าทำตอนนั้นเรียกว่า วิชาตัวเบา ซึ่ง..มันก็ตามชื่อนั่นแหละ ตัวจะเบาดุจปุยนุ่น เคลื่อนไหวดั่งสายลม หากฝึกจนเชี่ยวชาญทุกย่างก้าวจะไร้รอยเท้า” รู้แค่นี้พอ! อย่าให้ข้าอธิบายทฤษฎี

“แล้วพวกข้าจะทำได้ไหม?” เด็กน้อยวัยประมาณหกปีถาม จินหลงจึงชี้มาที่ตัวเอง

“ข้าอายุแค่สี่ปียังฝึกได้ขนาดนี้ พวกเจ้าคิดว่าจะทำได้ไหมล่ะ?” ดวงตาของเด็กๆ นับสิบคู่เป็นประกาย เด็กชายที่โตสุดจึงเปลี่ยนท่านั่งมาคุกเข่าคำนับจินหลงหัวติดพื้น

“ท่านผู้มีพระคุณ ได้โปรดสอนพวกข้าด้วย พวกข้าเป็นเด็กยากไร้ วันๆ อดมื้อกินมื้อ แค่ปกป้องตัวเองยังทำไม่ได้” เด็กหลายคนเมื่อเห็นพี่ใหญ่ตนทำเช่นนั้น จึงทำตามบ้าง

“ท่านผู้มีพระคุณ ได้โปรดช่วยเราพวกเราพี่น้องด้วย!” จินหลงเลิกคิ้ว เขาไม่นึกว่าเด็กที่โตกว่าเขาหลายปีจะกล้าคำนับเขาโดยไม่ลังเล ท่าทีเปลี่ยนไปจากตอนหาเรื่องเขาราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้า

“พี่น้อง? ไหนพวกเจ้าว่าต่างคนต่างมากันคนล่ะที่ยังไงล่ะ?” อีกฝ่ายไม่ลังเลที่จะตอบ

“พวกเราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมามาก ผ่านเรื่องราวหลายๆ อย่างมาเหมือนกัน เข้าใจกันและกัน ความรู้สึกไม่ต่างจากพี่น้อง!”

โอ้ พูดได้ดี ข้าขอตบมือให้ แปะๆๆ

“แล้วพวกเจ้าได้วิชาตัวเบาไป..แล้วจะทำอะไรต่อ? วิชานี้ไม่ได้ช่วยหากินได้สักนิด นอกเสียจาก..กลับไปเป็นโจร” จินหลงเอียงคอแสยะยิ้มอย่างรู้ทัน ทำเอาอีกฝ่ายผงะ สีหน้าอัดอั้นลังเลของเขาทำให้จินหลงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากเป็นนัก แต่ไม่รู้จะทำอะไรหาเลี้ยงชีพ

“เอาอย่างนี้ดีกว่า!” อยู่ๆ จินหลงก็โพล่งขึ้น ทุกคนจึงเงยหน้ามองเขา

“จริงๆ แล้วข้าไม่ถูกกับคนในตระกูลนัก เลยหนีออกมาเดินเตร็ดเตร่คนเดียว เห็นข้าตัวเท่านี้ แต่ตัวข้ามีวรยุทธ์และความรู้มากมาย หากสาบานว่าจะไม่กลับไปเป็นโจร ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้ายินดีจะช่วยพวกเจ้า ทั้งเรื่องอาหาร ที่อยู่ วรยุทธ์และวิธีเอาตัวรอด คิดว่ายังไงล่ะ?” ทุกคนเผยท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด

แน่สิ ใครจะไว้ใจเด็กสี่ขวบตัวกระเปี๊ยกขนาดนั้นล่ะ!

“อยู่นี่ไปก็ไม่ได้อะไรนี่” จินหลงฉีกยิ้ม

“ข้า..จะแน่ใจได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่หลอกใช้พวกข้า หรือส่งพวกข้าไปเป็นแพะ ไปทำสิ่งผิดกฎหมาย” ฮึๆ คำถามนี้ไม่ต้องคิดก็ตอบได้เลย

“ไม่มี! ข้าไม่มีอะไรรับประกันทั้งนั้น อยู่ที่พวกเจ้าสมัครใจ ใครจะตีจากไปเมื่อไรก็ไม่ว่า แต่หากไปแล้วก็ต้องเงียบปากเรื่องของข้าและกลุ่มไว้” เด็กคนโตลังเล เขาหันกลับไปมองพี่น้องร่วมสาบาน วันวานอันอดอยากและน้ำตาที่เคยไหลรินย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ จินหลงจึงเสริมว่า

“อีกอย่าง ตัวข้าอายุเพียงสี่ปีทั้งยังตัวคนเดียว จะไปทำอะไรพวกเจ้าได้ล่ะ จริงไหม?” เด็กคนโตยังคงไม่วางใจ สัญชาตญาณในใจเขาร้องบอกว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กธรรมดา แต่ก็ไม่รู้สึกถึงพิษภัย

“พวกข้าสาบาน” จินหลงยิ้มพอใจ กับเสียงตอบรับที่พร้อมเพรียง

“ดี! เจ้าชื่ออะไร” จินหลงหันไปถามเด็กที่สนทนากับเขา

“ข้าชื่อจูจื่อจง” เจ้าตัวแสบรีบจดจำใบหน้าและชื่อของอีกฝ่าย

“จื่อจง พรุ่งนี้ให้เจ้ารวมเด็กทุกคนที่ยินดีเดินทางมารวมกันณ.ที่นี้ตอนสิบเอ็ดโมง แล้วก็เตรียมชุดแบบพวกเจ้าให้ข้าชุดนึงด้วย เราไม่ได้จะเดินทางไกล เพราะฉะนั้นไม่ต้องเตรียมอะไรมาก” จื่อจงขมวดคิ้ว

“ท่านจะพาพวกข้าไปไหน?” ไม่ว่ายังไงก็มีชีวิตพี่น้องมาเกี่ยวพัน แม้จะมีพระคุณ แต่เขาก็ต้องรอบคอบไว้ก่อน จินหลงเห็นท่าทางของจื่อจงก็เผยยิ้ม

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด