ตอนที่แล้วซัพที่02: เฮ้อ~ เกิดมาทั้งเก่งทั้งหล่อ ก็ซวยงี้แหละ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซัพที่04: เต็มหน้าขนาดนี้ ข้าจะอยู่ทำบ้าอะไรล่ะ!

ซัพที่03: เลือกได้ขอย้อนกลับไป ไม่ใช่มันแล้วแผนนี้!!


ซัพที่03: เลือกได้ขอย้อนกลับไป ไม่ใช่มันแล้วแผนนี้!!

“หมอหลวงเว่ย อาการจินหลงเป็นเช่นไรบ้าง!” ฮ่องเต้ร้อนรน เดินวนไปมาหน้าเตียง ไม่ต่างจากฮองเฮาที่พนมมือสวดภาวนา ใบหน้าสวยขาวซีด น้ำใสไหลนองดวงตา

“ทูลฝ่าบาท อาการองค์ชายสี่รุนแรงนัก กระหม่อมคิดว่าพระองค์ควร.. ทำพระทัยไว้พะยะค่ะ” หมอหลวงเก็บมือหลังตรวจด้วยใบหน้าซีดเซียว ด้านหลังมีหมอหลวงรายอื่นยืนตัวสั่น กุ้ยเฟยปล่อยโฮทรุดไปกับพื้น ไม่ต่างจากฮ่องเต้ที่ตะลึงจนตัวชา

“ไม่..ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาให้ได้! ไม่เช่นนั้นข้าจะประหารพวกเจ้าซะ!” มือหนาสั่นเทาด้วยโทสะชี้ไปที่เหล่าหมอหลวง

“มิใช่ว่าหม่อมฉันไม่อยากรักษา แต่อาการขององค์ชายรุนแรงนัก คาดว่าคนร้ายคิดฆ่าให้ตายภายในครั้งเดียว” เมื่อมีชีวิตมาเกี่ยวพัน หมอหลวงไม่กล้าปิดบังหรือเท็จทูล

ภาพร่างเล็กเนื้อตัวสีม่วงคล้ำที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ช่างสร้างความปวดร้าวให้พ่อแม่นัก เหวินหลงมองร่างของน้องชายด้วยความรู้สึกสับสน

“กุ้ยเฟย! เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร!” ฮ่องเต้ตวาดเสียงดัง ใบหน้าถมึงทึง

“ฮึก..ก.. จินหลง จินหลงแย่งน้ำชาไป..จากมือหม่อมฉันไป หม่อมฉัน..หม่อมฉันไม่คิดว่าน้ำชามีพิษ มิเช่นนั้น..ฮือ..อ.. มิเช่นนั้นหม่อมฉันคงไม่ให้เขาดื่ม ควรเป็นหม่อมฉัน.. ควรเป็นหม่อมฉันที่นอนอยู่ตรงนั้น!” กุ้ยเฟยร้องห่มร้องไห้โทษตัวเอง ทำให้ฮ่องเต้ใจเย็นลง

“ข้าขอโทษที่ตวาดเจ้า จินเอ๋อร์เป็นเด็กกตัญญู ช่วยชีวิตแม่ไว้ สวรรค์เบื้องบนย่อมเห็นใจ” ฮ่องเต้เปลี่ยนมาปลอบกุ้ยเฟย

“เสด็จแม่ ท่านอย่าร้องไปเลย ตั้งแต่ท่านท้องจินหลง ก็มักมีปาฏิหาริย์ทำให้เขารอดชีวิต ข้าเชื่อว่าครั้งนี้แม้แต่สวรรค์ก็ต้องช่วยเขา” เหวินหลงเดินไปหาจินหลง

จินหลง.. เจ้าแย่งความโปรดปรานทั้งหมดจากเสด็จพ่อและเสด็จแม่ไปจากข้า ถ้าเจ้ายังกล้าทำให้พวกท่านเสียใจ ต่อให้เจ้าตายไปเป็นผีหรือตายไปเป็นเทวดาที่ไหน ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้!

“เจ้าไม่ต้องกังวลไปกุ้ยเฟย เรื่องนี้ข้าจะนำผู้ที่ทำร้ายจินหลงออกมาเอง” ฮ่องเต้สวมกอดกุ้ยเฟยแน่น ดวงตาจับจ้องไปที่ลูกน้อยบนเตียง

 

บัดนี้บรรยากาศทั่วท้องพระโรงเต็มไปด้วยความกดดัน ไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองพระพักตร์ กุ้ยเฟยยืนซับน้ำตา ขอบตาแดงก่ำ ส่วนนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นได้แต่หวาดกลัวตัวสั่น แทบไม่กล้าหายใจ เหตุการณ์ครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ไม่ว่าใครในราชวังต่างรู้ว่าองค์ชายสี่เป็นที่โปรดปราน ทั้งอีกไม่กี่วันยังจะได้เป็นรัชทายาท

“กุ้ยเฟย เล่าเหตุการณ์วันนั้นมาโดยละเอียดซิ” ฮ่องเต้พยายามระงับโทสะ วาจาที่ออกมาดูเยือกเย็นนัก กุ้ยเฟยสูดหายใจเข้าออกไม่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง

“ว..วันนั้นหม่อมฉันนั่งอ่านตำรา เหวินหลงอยู่กับราชครู ส่วนจินหลง.. จินหลงออกไปวิ่งเล่นในสวน ขณะที่นางกำนัลเลี่ยวหรงจื่อกำลังรินชาให้หม่อมฉัน จู่ๆ จินหลงก็วิ่งเข้ามา บ่นว่าหิวน้ำ แย่งชาจากมือหรงจื่อที่ยื่นให้หม่อมฉันไปดื่มจากนั้น..จากนั้นจินหลงก็..ฮึก..ก..” กุ้ยเฟยเริ่มสะอึกสะอื้นอีกครั้ง ฮ่องเต้จึงหันไปทางหรงจื่อที่มีท่าทางเลิ่กลั่ก

“หรงจื่อ เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่” ฮ่องเต้ถาม

“ทูลฝ่าบาท เหตุที่หม่อมฉันลงมือเพราะไม่พอใจกุ้ยเฟยที่ใช้อำนาจอวดเบ่งเพคะ” หรงจื่อยอมรับทันที ทำให้ฮ่องเต้ฉงน กุ้ยเฟยถลึงตามองนาง ก่อนจะกระทืบเท้า

“ข้าไม่เชื่อ! เจ้าบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าใครใช้ให้เจ้ามาทำร้ายข้า” กุ้ยเฟยแผดเสียง

“ไม่ใช่นะเพคะกุ้ยเฟย หม่อมฉันลงมือเอง ไร้ผู้บงการ!” หรงจื่อดึงดันปฏิเสธ ฮ่องเต้จึงตบโต๊ะอีกครั้ง

“หยุดเถียงได้แล้ว! ไม่เห็นหัวข้าบ้างหรือไง!” ฮ่องเต้ตวาด กุ้ยเฟยหันกลับมาเม้มปาก ดวงตามองหรงจื่อด้วยความอาฆาต เมื่อเห็นทั้งสองนิ่งลง พระองค์จึงหันไปทางหรงจื่อ

“เป็นอย่างที่กุ้ยเฟยว่า นางกำนัลอย่างเจ้าหากไม่มีใครถือหาง มีหรือจะกล้ากำแหงเช่นนี้” หรงจื่อเริ่มมีท่าทางเลิ่กลั่ก

“ทูลฝ่าบาท ไม่มีใครบงการข้าทั้งนั้น” ฮ่องเต้ลุกขึ้นตบโต๊ะ ชี้หน้านางกำนัลแขนสั่น

“บังอาจ!! ต่อหน้าข้ายังกล้าโกหกอีกงั้นหรือ!” หรงจื่อยังไม่ยอมเอ่ย ขุนนางขั้นสองคนหนึ่งจึงก้าวออกมา ยกมือขึ้นทูลฮ่องเต้

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันจำได้ว่าหรงจื่อคนนี้เป็นคนของพระสนมเหลียง แต่ไม่ทราบว่าทำไมวันนั้นจึงมาอยู่กับกุ้ยเฟยได้” ฮ่องเต้หันไปมองกุ้ยเฟย ไม่คิดว่าจะมีชื่อมารดาขององค์ชายห้าหลุดมา

“นางไม่ใช่นางกำนัลของเจ้าจริงหรือไม่กุ้ยเฟย” กุ้ยเฟยหันไปมองขุนนางคนนั้น นางจำได้ดีว่าเป็นขุนนางฝ่ายฮองเฮา

กุ้ยเฟยใช้หางตามองมหาเสนาบดีตู้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ นางจึงยิ่งมั่นใจว่าคนร้ายต้องเป็นฮองเฮา ไม่ใช่พระสนมเหลียง!

“จริงพะยะค่ะ หรงจื่อมิใช่นางกำนัลของหม่อมฉัน บังเอิญวันนี้นางกำนัลคนสนิทของหม่อมฉันจู่ๆ ก็ป่วยไม่ทราบสาเหตุ หรงจื่อจึงอ้างตนว่าเป็นสหายคนสนิทกับนางกำนัลของหม่อมฉัน ไม่คิดเลย..ว่าจะเป็นคนร้าย” กุ้ยเฟยกัดฟันกรอด

“แต่ฝ่าบาท! หม่อมฉันไม่คิดว่าคนร้ายจะเป็นพระสนมเหลียง!” กุ้ยเฟยมั่นใจ ..ผู้ที่กล้าเล่นงานนางก็มีแต่ฮองเฮานั่นแหละ! ฮ่องเต้เมื่อได้ฟังขมวดคิ้วแน่น

“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น”

“พระสนมเหลียงเพิ่งเข้าวังมาได้ราวห้าปี เวลานั้นหม่อมฉันเพิ่งตั้งครรภ์จินหลง ฉะนั้นจึงไม่เคยพบหน้า ไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง หลังคลอดก็คลุกตัวอยู่ในตำหนัก ดูแลลูกเล็ก” ตลอดเวลาหลังจากที่รู้ว่าได้โอรสอีกองค์ นางก็ยิ่งเคี่ยวเข็ญลูกทั้งสอง ยิ่งรู้ว่าจินหลงเป็นอัจฉริยะ กุ้ยเฟยก็แทบไม่ได้ยุ่งกับสนมอื่นเลย

แม้ใจจะอยากบอกชื่อฮองเฮานัก แต่ก็ไม่อาจบอกได้ ตอนนี้นางไม่มีหลักฐานที่จะบ่งชี้ตัวนังแพศยานั่นแม้แต่น้อย ฮองเฮามักใช้วิธีวางยา หาแพะรับบาป ส่วนตัวเองลื่นไหลไม่วายหาเคราะห์ให้คนอื่น สมชื่องูพิษนัก

ขณะที่กำลังคิด มหาเสนาบดีก็ก้าวเข้ามา และทูลขึ้น

“ทูลฝ่าบาท แม้กุ้ยเฟยจะไม่ได้มีความแค้นกับพระสนมเหลียง แต่ก็เป็นไปได้ที่พระสนมเหลียงคิดสังหารกุ้ยเฟย หวังตำแหน่งหนึ่งในสี่ชายา” มหาเสนาดีโยงเรื่อง ฮ่องเต้ครุ่นคิดนึกสงสัยพักหนึ่ง

“แล้วทำไมต้องเป็นกุ้ยเฟย ทำไมไม่ใช่เสียนเฟย?” ฮ่องเต้เว้นจังหวะ ก่อนจะเอ่ยต่อ

“เป็นที่รู้กันทั่วแคว้น กุ้ยเฟยเป็นถึงชายาลำดับที่หนึ่ง มีพระโอรสถึงสองพระองค์ ทั้งหนึ่งในนั้นยังถูกเสนอชื่อเป็นรัชทายาทอย่างไม่ขาดสาย การมุ่งทำร้ายกุ้ยเฟยถือเป็นการเสี่ยงนัก สู้มุ่งไปที่เสียนเฟยชายลำดับที่สี่ดีกว่านัก เพราะนางทั้งไม่อาจมีบุตรได้ และตำแหน่งยังต่ำสุดในสี่ชายา พระสนมเหลียงเป็นถึงมารดาขององค์ชายห้า ย่อมคู่ควรกับตำแหน่งนี้” ฮ่องเต้วิเคราะห์ แล้วจึงหันไปทางนางกำนัลที่นั่งตัวสั่น

“พูด! ใครเป็นคนบงการเจ้า หากรับสารภาพ ข้าจะเว้นโทษประหาร!” นางกำนัลสะดุ้งหวาดกลัว ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น

“พ..พระสนมเหลียงพะ..เพคะ”

 

หลายวันต่อมาหลังการพิจารณาคดี ฮ่องเต้เร่งให้คนสืบหาความจริง จนได้หลักฐานชี้ชัด แม้กุ้ยเฟยจะพยายามโต้เถียงก็มิอาจทำอะไรได้ เนื่องจากพยานหลักฐานเป็นใจ ..ฮองเฮาได้ซื้อตัวคนไว้หมดแล้ว

“เสด็จแม่ๆ! ท่านดูดอกไม้นี่สิ” องค์ชายห้าจิ้งฉวี่วัยสามปีวิ่งเตาะแตะมายังตำหนัก พร้อมมงกุฎดอกไม้หลุดลุ่ยในมือ ท่าทางของเด็กน้อยทำให้ผู้เป็นแม่เอ็นดู

“ไหนดูซิ มงกุฎดอกไม้ที่แม่สอนไป เจ้าสามารถทำได้แล้วเหรอ?” พระสนมเหลียงฉีกยิ้ม รับมงกุฎในมือมาเชยชมอย่างเบามือ

“เป็นยังไงบ้างพะยะค่ะเสด็จแม่ หม่อมฉันพยายามทำตามทำที่พระองค์สอนเต็มที่เลย!” จิ้งฉวี่ยิ้มแป้น พระสนมเหลียงจึงยกมงกุฎขึ้นมาสวม

“เจ้าคิดว่าแม่เป็นไงบ้างล่ะ?” ดวงตาของเด็กน้อยเป็นประกาย

“สวยมากพะยะค่ะ เสด็จแม่สวยมากๆ เลย!” จิ้งฉวี่ตบมือ พระสนมเหลียงจึงทำท่าหยอกล้อกับองค์ชาย

“ไว้แม่จะใส่ให้เสด็จพ่อดูดีไหม?” พระสนมหัวเราะขบขันเมื่อบุตรชายพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ทันที่จิ้งฉวี่จะตอบอะไร เสียงขันทีหน้าตำหนักก็ขานขึ้น

“ฮ่องเต้เสด็จจ!” พระสนมเหลียงขมวดคิ้ว เวลานี้ฝ่าบาทควรว่าราชการมิใช่หรือ?

เมื่อฮ่องเต้ก้าวเข้ามา ทุกคนจึงทำความเคารพ ทว่าฮ่องเต้กลับโยนหนังสือและกระดาษปึกหนึ่งลงบนโต๊ะ พระสนมเหลียงมองสิ่งนี้ด้วยความไม่เข้าใจ

“สิ่งนี้คืออะไรหรือพะยะค่ะ?” สนมเหลียงยังไม่หยิบมันขึ้นมา

“ดูด้วยตาเจ้าเองแล้วกัน!” สนมเหลียงยอมหยิบมาอ่าน ก่อนจะเผยสีหน้าตื่นตะลึง รีบกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาท! หม่อมฉันไม่เคยเห็นไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน!” สนมเหลียงหน้าถอดสี ฮ่องเต้จึงหันไปสั่งการขันที

“พาพระสนมเหลียงไป!” พระเนตรดุดันเริ่มมีสีแดง น้ำใสเริ่มเอ่อนอง จิ้งฉวี่จับความผิดปกติได้ผ่านท่าทางของพ่อแม่ เด็กน้อยจึงวิ่งไปเกาะขามารดาแน่น ร้องโวยวายไม่ยินยอม นางกำนัลจึงพยายามแกะเขาออก ทว่าเจ้าตัวกลับกำแน่นกว่าเคย

“ไม่เอา! เสด็จแม่ไปไหน! ข้าไปด้วย ข้าจะไปกับเสด็จแม่!” จิ้งฉวี่ร้องไห้งอแง ฮ่องเต้เบือนหน้าหนี พระหัตถ์กำหมัดแน่น

“จิ้งฉวี่ จิ้งฉวี่ฟังแม่” พระสนมเหลียงเรียกลูกตนไว้ ดวงตาของพระนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ จิ้งฉวี่จึงยอมนิ่งฟัง มือบางจึงยกขึ้นถอดมงกุฎดอกไม้

“แม่ไม่เป็นอะไร แม่ไปไม่นานก็กลับแล้ว” พระนางย่อตัวลง วางมงกุฎลงบนหัวเด็กชาย ก่อนจะกุมมือเล็กไว้

“ไว้แม่กลับมาแล้วเจ้าค่อยให้แม่อีกครั้งนะ” สนมเหลียงฝืนยิ้มสดใส หวังให้บุตรชายคลายความกังวล

 

เมื่อพระสนมเหลียงและฮ่องเต้จากไปได้สักพัก จิ้งฉวี่เริ่มอดทนรอไม่ไหว งอแงรบเร้านางกำนัลจะไปหาแม่

“องค์ชาย ผู้น้อยไม่สามารถพาพระองค์ไปได้จริงๆ” เหล่านางกำนัลต่างปฏิเสธ พร้อมเบือนหน้าหนี

“ไม่!! ข้าจะไปหาเสด็จแม่! ข้าสั่งให้พวกเจ้าพาข้าไปเดี๋ยวนี้!” จิ้งฉวี่เริ่มโวยวายกระทืบเท้างอแง พลันเสียงขานจากขันทีจึงดังขึ้น

“เสียนเฟยเสด็จจจ” เสียนเฟยก้าวเข้ามาในตำหนักด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทั้งยังไม่สนใจเหล่านางกำนัลที่คารวะ ดวงตาจับจ้องไปที่องค์ชายน้อย

“ท..ท่านเป็นใคร?” จิ้งฉวี่ไม่เข้าใจ รีบหลบหลังนางกำนัลเมื่อเห็นคนแปลกหน้า

“เจ้าอยากไปหาแม่ไหม?” เด็กหน้าชะโงกหน้าออกมา ดวงตาเป็นประกาย

“ท่านช่วยข้าได้เหรอ?!” เหล่านางกำนัลตื่นตะลึง ก่อนจะร้องห้าม

“เสียนเฟย ไม่ได้นะเพ..”

“หุบปาก!!” ทุกคนต่างสะดุ้งเฮือก จิ้งฉวี่รีบกลับไปหลบตามเดิม เสียนเฟยกวาดตามองนางกำนัลโดยรอบ แล้วจึงมาหยุดที่จิ้งฉวี่

“พวกนางไม่กล้าพาเจ้าไป แต่ข้ากล้า! เจ้าจะไปหรือไม่ไปกัน” จิ้งฉวี่เม้มปาก แม้จะรู้ว่าไม่ควรไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้า แต่ครั้งนี้เขาถือว่าไม่มีทางเลือก!

“ไป ข้าจะไป!” เสียนเฟยเหยียดยิ้ม พระนางส่งมือไปให้เด็กชาย

“ข้าจะให้เจ้าดู ความโหดร้ายของวังหลวง”

 

เสียนเฟยพาจิ้งฉวี่มาด้านข้างท้องพระโรง ทั้งยังให้คนของตนกันผู้อื่นออกจากบริเวณ นิ้วเรียวเจาะเข้าที่หน้าต่าง ก่อนจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นเพื่อให้เห็นเหตุการณ์ด้านใน

ดวงตาเล็กมองลอดรูนั้น เขาเห็นเสด็จแม่ตนกำลังยืนอยู่กลางท้องพระโรง รอบล้อมด้วยขุนนางมากมาย ด้านข้างของเสด็จแม่เขามีหญิงผู้หนึ่งเม้มปากดูไม่พอใจแต่ก็มิได้พูดอะไร แม้จิ้งฉวี่จะได้ยินอะไรไม่ชัดถ้อยชัดคำ แต่ใบหน้าของแม่เขาช่างดูสับสนและร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด พระนางพยายามท้วงบางสิ่งจากฮ่องเต้ แต่พระองค์ดูจะไม่สนใจ ทั้งยังเกรี้ยวกราดกว่าเคย

เมื่อเสด็จพ่อตวาดบางสิ่ง ทหารจึงเข้าคุมตัวพระสนมเหลียง ทว่าพระนางกลับดึงปิ่นปักผมออกมาจ่อคอ สร้างความตื่นตะลึง ใบหน้างามเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดและน้ำตา ริมฝีปากบางตะโกนสุดเสียงหวังให้ดังไปถึงสวรรค์

“ข้าเหลียงจิ่นเม่ย ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยคิดฆ่าใคร! แต่วันนี้กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกสามีกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร ถูกผู้คนใส่ร้าย” ดวงตาจิ้งฉวี่เบิกกว้างในสิ่งที่ได้ยิน

“เสด็..อุบ!” เด็กน้อยกำลังจะร้องจ้า แต่กลับถูกเสียนเฟยปิดปาก ใบหน้าของพระนางเรียบเฉยราวกับเคยชิน

“ยังไงข้าก็ต้องตายอยู่แล้ว ข้าขอตายด้วยเงื้อมมือตัวเอง ดีกว่าต้องตายเพราะมือท่าน!” ว่าแล้วพระนางจึงปักปิ่นเข้าที่อกอย่างแรง เลือดสีแดงสดทะลักออกจากปาก กุ้ยเฟยและนางกำนัลกรีดร้อง จิ้งฉวี่เห็นดังนั้นรู้สึกตัวชา ภายในหัวว่างเปล่า เมื่อได้สติก็รีบดิ้นออกจากเสียนเฟย วิ่งเข้าไปในท้องพระโรง

“องค์ชายห้า! พระองค์จะเข้าไปไม่..” เด็กน้อยไม่ฟังทหารด้านหน้า ร่างเล็กวิ่งไปที่ร่างผู้เป็นแม่

“จิ้งฉวี่?!” ฮ่องเต้ตกตะลึง ไม่คิดว่าเด็กชายจะมาอยู่นี่

“เสด็จแม่! เสด็จแม่! ใครก็ได้ช่วยเสด็จแม่ข้าที!” เด็กชายร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าผู้ใหญ่รอบข้างไม่เบือนหน้าหนีก็เอาแต่มองอย่างเย็นชา ความรู้สึกเคว้งและไม่เข้าใจเริ่มสุมตัวขึ้นในใจเด็กชาย พระสนมเหลียงที่ยังรู้สึกตัวเล็กน้อยจึงกุมมือเด็กชายไว้

“จิ..จิ้งฉวี่.. ดีจริงๆ.. อย่า..งน้อยแม่ก็ได้พ..บเจ้าเป็นครั้งสุด..ท้าย” น้ำตาสองแม่ลูกไหลริน

“เสด็จแม่..ท่าน..ท่านอย่าพูดอะไรเลย! ข้าจะช่..” ไม่ทันที่เด็กน้อยจะพูดจบ พระสนมเหลียงใช้ปลายนิ้วที่เปื้อนเลือดปิดปากองค์ชาย

“หากวันใด..เจ้า..มีโอกาส..ก็ห..นีไปจา..กวังซะ..” พูดจบมือที่ปิดปากก็ร่วงลง ดวงตาของพระสนมปิดสนิท ร่างของจิ้งฉวี่สั่นเทิ้มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสับสน ไม่เข้าใจ เสียใจ เคว้งคว้างและ..โกรธา

ดวงตาสีดำคู่น้อยวาวโรจน์ ใบหน้าเล็กที่เปื้อนเลือดหันไปทางฮ่องเต้ มือน้อยกำหนัดแน่น

“จิ้งฉวี่ เจ้ามานี่ได้ยังไง?” ฮ่องเต้ถามราวกับไม่รู้สึกรู้สา แต่ในใจกลับร้อนรน

“ทำไม!! ทำไมท่านถึงฆ่าเสด็จแม่! ทำไม!!” เด็กตัวน้อยคำรามลั่นทั้งน้ำตา

“จิ้งฉวี่ พ่อสืบจนรู้ชัดแม่เจ้าคิดฆ่ากุ้ยเฟย ทั้งยังทำร้ายองค์ชายสี่ ไม่ว่ายังไงก็ไม่พ้นโทษประหาร” ฮ่องเต้อธิบาย

“ข้าไม่เชื่อ!! เสด็จแม่ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น! ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเสด็จแม่!” ฮ่องเต้ส่งสัญญาณให้ทหารนำตัวองค์ชายห้าออกไป

“ปล่อยข้า! เสด็จแม่ข้าไม่ควรตาย! เสด็จแม่ไม่ใช่คนผิด!” ภาพของเด็กน้อยสร้างความปวดร้าวให้ทุกคนนัก โดยเฉพาะกับฮ่องเต้และกุ้ยเฟย

กุ้ยเฟยเชื่อแต่แรกว่าพระสนมเหลียงไม่ใช่คนร้าย แต่ไม่รู้ทำไม ฮองเฮาถึงได้ลบหลักฐานได้อย่างไร้ร่อยรอย ทั้งยังสร้างหลักฐานใส่ร้ายสนมเหลียงได้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าพระนางจะหาหลักฐานเอาผิดฮองเฮายังไง ก็หาไม่ได้ ยิ่งได้เห็นองค์ชายห้าที่อายุไล่เลี่ยกับจินหลงสูญเสียแม่ไป ก็ช่างน่าเวทนานัก

 

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ดวงตาที่หนักอึ้งจึงค่อยๆ ลืมขึ้น อาการของจินหลงดีกว่าที่หมอหลวงคาดไว้หลายเท่านัก เวลานี้เป็นเวลากลางคืน ภายในห้องมีเพียงแสงจากโคมไฟ ดวงตาคู่น้อยเหลือบมองข้างเตียง พบนางกำนัลกำลังนั่งหลับ ด้านข้างมีถังน้ำและผ้าขาวใช้เช็ดตัว

รอดจริงๆ ด้วยแหะ

จินหลงถอนหายใจ ไม่รู้ว่าช่วงที่เขาสลบไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฮองเฮาจะได้รับโทษหรือยัง แต่..คิดไปก็เท่านั้น ตอนนี้เขาควร..หาอะไรกินก่อน!

ให้ตายเถอะ หิวจนไส้แทบจะขาดแล้วเนี่ย

กองทัพเดินด้วยท้อง พรุ่งนี้ข้าต้องเจอศึกหนัก ไม่กินไม่ได้!

เจ้าตัวแสบกดจุดนางกำนัลให้หลับลึก ก่อนจะหนีออกจากด้านหลังตำหนัก มุ่งหน้าสู่ห้องเครื่อง บังเอิญพบนางกำนัลคนหนึ่งกำลังเตรียมของสำหรับตอนเช้า อีกคนกำลังตุ๋นซุปไก่ คาดว่าซุปถ้วยนั้นคงนำไปให้ฮ่องเต้เสวยขณะทรงงาน เมื่อเห็นนางกำนัลตักอาหารใส่จานแล้ว จินหลงจิงใช้วิชาตัวเบาฉกถ้วยซุปแล้วขึ้นไปนั่งกินบนคาน เมื่อนางกำนัลคนหนึ่งหันกลับมาก็ตกใจ

“ชงเมิ่ง! นี่เจ้ากล้าดียังไงถึงแอบกินเครื่องเสวยของฝ่าบาท” นางกำนัลที่ตุ๋นซุปตวาด

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า ข้ากำลังเตรียมเนื้อสำหรับตอนเช้าอยู่นะ” ชงเมิ่งหันมาชูมีดและเนื้อมือให้ดู

“อย่ามาโกหก ในนี้มีแค่ข้ากับเจ้าจะเป็นใครไปได้!” จินหลงแอบหัวเราะอยู่บนคาน ซดซุปเงียบๆ ดูฉากน่าสนุก

“เจ้านั่นแหละ คิดไปเองหรือเปล่าว่าตักแล้ว ข้าไม่เห็นมีชามซุปที่ไหนเลย” ชงเมิ่งเถียง นางกำนัลอีกคนจึงเดินหาชามซุปทั่วห้อง แต่ก็ไม่พบ จินหลงอาศัยจังหวะที่ทั้งสองโต้เถียง กระดกซุปเข้าปาก แล้วหยิบไก่มานั่งแคะ เพื่อคืนจานไปข้างหม้อตุ๋น

“นั่นไม่ใช่หรือไงชามที่เจ้าหา” ชงเมิ่งชี้ไปที่จานด้านข้าง ทำเอานางกำนัลอีกคนเหวอ ยกจานขึ้นมาอย่างงงๆ

“หรือข้าจะคิดไปเอง?” นางเอ่ยกับตน ก่อนจะตุ๋นซุปใหม่ จินหลงที่เห็นดังนั้นจึงนั่งแทะไก่รอซุปต่อไป

“เฮ้อ นั่นไง แล้วก็มาโทษข้า” ชงเมิ่งไม่พอใจ นางหันกลับมากลุ้มใจเรื่องอาหารเช้าต่อ

“แล้วเจ้าเป็นอะไร ทำไมยังไม่กลับอีก ไม่เห็นต้องรีบเตรียมของเร็วขนาดนี้เลย” นางกำนัลอีกคนถาม ชงเมิ่งจึงถอนหายใจ

“ก็องค์ชายห้าน่ะสิ ตั้งแต่วันที่พระสนมเหลียงจากไป ก็เอาแต่เก็บตัวในตำหนัก ไม่ยอมพบใคร ทั้งข้าวปลาก็ยังไม่ค่อยแตะ” จินหลงขมวดคิ้ว

เกิดอะไรขึ้นกับจิ้งฉวี่กัน แล้วทำไมจู่ๆ พระสนมเหลียงถึงตายได้ล่ะ?

“เฮ้อ.. ข้าเข้าใจองค์ชายห้านะ เห็นแม่ตัวเองฆ่าตายต่อหน้าต่อตา ได้ยินว่าตอนนั้นองค์ชายห้าต่อว่าฝ่าบาทว่าฆาตกรด้วย”

เห้ย! เดี๋ยว! นี่มันเรื่องอะไร ทำไมสนมเหลียงฆ่าตัวตาย แล้วกลายเป็นว่าเสด็จพ่อเป็นฆาตกร!

จินหลงหยุดแทะไก่ เปลี่ยนมาตั้งหน้าตั้งใจฟังบทสนทนา

“นั่นสิ พระสนมเหลียงเองก็เถอะ ต่อให้อยากได้ตำแหน่งชายามากแค่ไหน ก็ไม่น่าเสี่ยงสังหารกุ้ยเฟยเลย โชคร้ายนักที่องค์ชายสี่ต้องมารับเคราะห์แทน” จินหลงอ้าปากพะงาบๆ

นี่น้องจิ้งเสียแม่ไปเพราะข้างั้นเหรอ?!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด