ตอนที่แล้วซัพที่01: ชาติสามเกือบไม่ได้เกิดแล้วไง!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซัพที่03: เลือกได้ขอย้อนกลับไป ไม่ใช่มันแล้วแผนนี้!!

ซัพที่02: เฮ้อ~ เกิดมาทั้งเก่งทั้งหล่อ ก็ซวยงี้แหละ


ซัพที่02: เฮ้อ~ เกิดมาทั้งเก่งทั้งหล่อ ก็ซวยงี้แหละ

หลังจินหลงเกิดมาได้หนึ่งปี เขาเริ่มฝึกลมปราณทีล่ะน้อย ทั้งยังประมวลสถานการณ์ปัจจุบันผ่านเรื่องเล่าซุบซิบของเหล่านางกำนัลในตำหนัก

ตัวเขาเกิดในราชวงศ์เจิ้ง เป็นโอรสองค์ที่สี่ มีพี่น้องเป็นชายทั้งหมดสี่คนนั่นคือ องค์ชายใหญ่เจิ้งเฟิงหยางเป็นโอรสสวรรค์ที่เกิดกับฮองเฮา องค์ชายรองเจิ้งเหวินหลงเป็นโอรสที่เกิดกับกุ้ยเฟย องค์ชายรองมีอายุห่างจากองค์ชายใหญ่เพียงสองปี องค์ชายสามเจิ้งฮุ่ยเจี๋ยเป็นโอรสที่เกิดกับเต๋อเฟยผู้ใฝ่ทางธรรม องค์ชายสามเกิดหลังองค์ชายรองเพียงไม่กี่เดือน และองค์ชายห้าเจิ้งจิ้งฉวี่ที่เพิ่งเกิดกับสนมได้ไม่นานนี้

จากการเรียบเรียง ฮองเฮาและกุ้ยเฟยถูกจัดในหมวดตัวร้าย เหตุที่เหล่าสนมและชายาไม่ตั้งครรภ์ ก็มาจากทั้งสองพระองค์ ไม่แท้งกลางคัน เด็กก็เป็นหญิง

และจากเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว ทำให้ฮ่องเต้ไม่อยากพบหน้าฮองเฮา ความโปรดปรานจึงมาตกอยู่ที่กุ้ยเฟย แต่หลังจากองค์ชายห้าเกิดมา ฮ่องเต้ก็มาหากุ้ยเฟยเพียงไม่กี่วัน แทบไม่ต่างจากฮองเฮาที่ไม่อยู่ในสายพระเนตร

 

จินหลงเดินเตาะแตะจนไปหยุดที่ชั้นหนังสือ เขาใช้ไม้ปัดขนไก่ที่นางกำนัลวางหลังโต๊ะในการเขี่ยหนังสือลงมา

ตุบ

เสียงหนังสือหล่นทำให้ฮ่องเต้ที่เดินอยู่ข้างตำหนักเกิดฉงน พระองค์จึงเดินเข้ามาดูพร้อมกับขันที เมื่อเห็นจินหลงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนพื้นด้วยท่าทางตั้งใจก็ตกตะลึง หันไปมองหน้ากับขันทีคนสนิทอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

“จินเอ๋อร์ เจ้าอ่านอะไรอยู่หรือน่ะ” จินหลงหันหน้ามามองพระพักตร์

“หม่อมฉันกำลังอ่านประวัติศาสตร์บ้านเมืองพะยะค่ะ” ร่างเล็กถูกอุ้มขึ้นจากพื้นพร้อมหนังสือในมือ และถูกวางลงบนตักผู้เป็นพ่อที่นั่งบนเก้าอี้

“ไหน เจ้าอ่านออกจริงหรือ” ฮ่องเต้ทดลองถาม แม้ในใจจะแอบสงสัยในเจ้าตัวเล็กไม่น้อย

“อ่านออกพะยะค่ะ เสด็จแม่ทรงสอนให้หม่อมฉันอ่านและเขียน จนหม่อมฉันเข้าใจถ่องแท้” แหม่ ถ้าอยากให้เสด็จแม่อารมณ์ดี ลดความริษยา ก็มีแต่ต้องทำดีแล้วยกความดีความชอบให้

ประจวบเหมาะราวกับนัดแนะ กุ้ยเฟยเดินเข้ามาในตำหนักพร้อมจูงมือเหวินหลง แต่เมื่อเห็นฮ่องเต้นั่งอยู่กับจินหลง ก็รีบดึงเหวินหลงให้ไปหาทันที

“ถวายบังคมพะยะค่ะเสด็จพ่อ” เหวินหลงคำนับ

“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์จะมา จึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ” กุ้ยเฟยคำนับด้วยท่าทางรู้สึกผิด ฮ่องเต้จึงเรียกทั้งสองมานั่งด้วยกัน

“ชายารัก ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสั่งสอนลูกได้เฉลียวฉลาดเพียงนี้ ไม่เพียงสามารถพูดจาคล่องแคล่วเกินเด็ก ทั้งยังสามารถอ่านเขียนได้” กุ้ยเฟยไม่สามารถซ่อนสีหน้าแปลกใจ

“ฝ่าบาททรงเข้าใจผิดแล้วกระมัง จินหลงของหม่อมฉันอายุเพียงหนึ่งปี ไม่ได้มีความสามารถเช่นนั้น” ภายในใจกุ้ยเฟยสับสน ไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้เอาเรื่องอะไรมาพูด หรือเป็นแผนของใครที่คิดทำให้นางเสียหน้า

“จินหลง เสด็จแม่เจ้าไม่เชื่อ เจ้าลองอ่านให้นางฟังหน่อยซิ” ฮ่องเต้สรวล จินหลงจึงยกหนังสือในมือขึ้นมาอ่าน

“ราชวงศ์เจิ้ง เป็นราชวงศ์เก่าแก่ปกครองแผ่นดินนับร้อยปี ก่อนหน้านี้แผ่นดินได้แตกแยกออกเป็นสิบรัฐ และทำสงครามกันอยู่เรื่อยมา แต่แล้วฮ่องเต้เจิ้งต้าฉีได้ทำสงครามรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งจนกลายเป็นแคว้นผิงในปัจจุบัน” ทั้งตำหนักต่างทึ่งในสิ่งที่ได้ยิน

“ฮ่าๆๆ ยอด! ยอดเยี่ยม! ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสามารถอ่านได้คล่องเพียงนี้ ไม่มีจุดผิดหรือติดขัดสักนิด!” เสียงพระสรวลดังก้องทั่วตำหนัก จินหลงจึงหยิบพู่กันด้านข้างมาเขียนบนกระดาษ

“สายน้ำที่ละเอียดอ่อน เมื่อไหลนานวันเข้า ก็สามารถทลายได้แม้กระทั่งหินผา” ดวงตาคนทั้งตำหนักเบิกโพลง ไม่มีใครอยากเชื่อในฝีมือเด็กตรงหน้า ทั้งเส้นที่จรดเขียน และวลีที่อยู่บนกระดาษ ช่าง..ช่างยอดเยี่ยมนัก!

แหงสิ ข้าเกิดมาตั้งสองชาติ มีชีวิตรวมห้าสิบกว่าปี มีหรือของแค่นี้จะทำไม่ได้ ฮ่าๆๆ

“อัจฉริยะ! สมแล้วที่เป็นลูกของข้า ฮ่าๆๆๆ” จินหลงฉีกยิ้มเมื่อได้เห็นท่าทีพึงพอใจของฮ่องเต้ ทีนี้ความรักและสนใจของพระองค์ก็จะมาตกที่เสด็จแม่ของเขา เสด็จแม่จะได้ไม่ต้องริษยาและวางแผนทำร้ายใคร

โดยที่จินหลงไม่รู้ตัว สิ่งที่เขาทำได้สร้างความเกลียดชังในใจใครบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความรักและความสนใจทั้งหมดของกุ้ยเฟยไปตกที่จินหลง เหวินหลงมองจินหลงอย่างแค้นเคือง

ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จกลับ พระองค์รับสั่งประทานรางวัลแก่กุ้ยเฟย ทั้งยังรับปากว่าจะมายังตำหนักอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ทำให้กุ้ยเฟยดีใจยิ่งนัก แต่ก็ยังไม่ทิ้งความแปลกใจ ดวงตาคู่งามหันมามองจินหลงที่เดินกลับไปนั่งอ่านหนังสือ เหตุใดบุตรชายคนนี้จึงสามารถอ่านเขียนได้โดยที่นางไม่แม้แต่ต้องสอน

ความทรงจำเมื่อปีที่แล้วที่นางมีเรื่องกลับฮองเฮาจึงย้อนกลับมา ตอนแรกคิดว่าแผนจะพังเพราะลูกน้อยไม่ให้ความร่วมมือ แต่จินหลงกลับแสดงออกราวกับรู้ว่านางจะทำอะไร ทั้งยังเรื่องตอนที่ตั้งครรภ์ แม้จะได้รับผงเพชร แต่ทั้งนางและจินหลงกลับรอดมาได้ หรือเด็กคนนี้...จะมีวาสนามังกรกัน!!

กุ้ยเฟยเผยรอยยิ้มอย่างมีหวัง เหวินหลงเป็นแม่ทัพใหญ่ จินหลงเป็นขุนนางผู้ปราดเปรื่อง เยี่ยม! เยี่ยมยอดนัก หากสองพี่น้องร่วมมือกัน ตำแหน่งไทเฮาก็ต้องเป็นนางที่ได้ครอบครอง!

 

เมื่อจินหลงอายุได้สี่ปี เขาจึงเริ่มฝึกร่างกาย เตรียมพร้อมสำหรับฝึกยุทธ์ ทุกวันจินหลงจะออกวิ่งรอบตำหนัก แม้จะมีล้มตามวัยบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยร้องไห้ ทั้งยังลุกขึ้นมาฝึกโยคะบ้าง วิดพื้นบ้าง สร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้คน

“เจ้าว่ายังไงนะ จินหลงน่ะหรือ?!” ฮ่องเต้ตกตะลึงในสิ่งที่ขันทีทูลรายงาน พระองค์รีบเสด็จไปดูด้วยตาที่ตำหนักกุ้ยเฟย โดยห้ามไม่ให้ขันทีหน้าตำหนักร้องขานว่าฮ่องเต้เสด็จ

ภาพจินหลงที่กำลังกระโดดไปมาเพื่อฝึกวิชาตัวเบาจึงปรากฏเข้าสู่สายตา ไม่นานนักเจ้าตัวเล็กจึงเปลี่ยนมาฝึกกล้ามเนื้อแขนและขา ท่าทางที่เกิดเด็กทำให้ฮ่องเต้และขันทีตะลึง

“ฝ่าบาท! พระวรกายองค์ชายยังเด็กนัก ไม่ควรให้..” ฮ่องเต้ยกมือห้าม พระองค์พยักพระพักตร์น้อยๆ พระโอษฐ์ประดับรอยยิ้ม

“ดูท่าข้าจะได้ตัวรัชทายาทแล้ว” ใบหน้าพึงพอใจทำให้ขันทีเริ่มหวาดหวั่น หลังฮ่องเต้เสด็จกลับ ขันทีผู้น้อยจึงวิ่งไปรายงานฮองเฮา

 

“เจ้าว่ายังไงนะ!!” เสียงแหลมแผดลั่น ใบหน้างามเต็มไปด้วยโทสะ มือบางกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดเขียว

“บ่าว..บ่าวไม่กล้าทูลเท็จ แต่..แต่ดูท่าฮ่องเต้จะทรงเลือกองค์ชายสี่..เป็น..เป็นองค์รัชทายาทพะยะค่ะ” ขันทีผู้น้อยหวาดกลัวตัวสั่น ฮองเฮาทรุดนั่งบนบัลลังก์ด้วยท่าทางตะลึง

“ไม่..เป็นไปไม่ได้ จินหลงเพิ่งอายุเพียงสี่ปี หากเจ้าบอกว่าเป็นเหวินหลงยังน่าเชื่อกว่านัก”

“เป็นเรื่องจริงพะยะค่ะ องค์ชายสี่จินหลงมีความสามารถในด้านการอ่านเขียน มีพัฒนาการก้าวไกล ทั้งยังฝึกฝนร่างกายด้วยตัวพระองค์เอง วันนี้ฮ่องเต้ไปพบ ก็ดูพึงพอใจยิ่งนัก” ขันทีมิกล้าโป้ปด

“เจ้าออกไปได้แล้ว เรียกเฟิงหยางมาให้ข้าด้วย” ผู้น้อยรีบคลานถอยออกจากห้อง

 

หลายเดือนผ่านไป จินหลงฝึกวิชาตัวเบาได้อย่างคล่องแคล่ว ประกอบกับร่างกายที่มีขนาดเล็ก จึงหลบสายตาผู้คนในวังได้ดี สิ่งแรกที่จินหลงต้องการทำ คือการสอดส่ององค์ชายทั้งสี่ โดยเริ่มจากองค์ชายใหญ่เฟิงหยาง

องค์ชายใหญ่เจิ้งเฟิงหยาง มีอายุเก้าปี เป็นโอรสที่เกิดกับฮองเฮา องค์ชายใหญ่มีบุคลิกเย็นชา พูดน้อย เด็ดขาด รู้จักวางตัว แต่ดวงตาของเขากลับทำให้จินหลงไม่วางใจ เมื่อถึงเวลากลางคืน จินหลงจึงนำผ้าดำมาคลุมตัว ก่อนจะกระโดดออกด้านนอก มุ่งหน้าสู่ตำหนักฮองเฮา

ร่างเล็กหลบอยู่หลังพุ่มไม้หนา ดวงตาจับจ้องไปที่เด็กชายภายในห้อง เฟิงหยางตอนนี้กำลังนั่งอ่านตำรา ใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่แล้วจินหลงก็สะดุ้งเฮือก เมื่อเฟิงหยางกำตำราในมือแน่น แล้วเขวี้ยงลงพื้นด้วยโทสะ ใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยความเกลียดชัง

“บัดซบ! เจิ้งจินหลง ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่!!” เฟิงหยางคำรามลั่นพร้อมกระทืบตำราซ้ำ ทำเอาเจ้าของชื่อถึงกับเหวอ

เดี๋ยวสิ เกี่ยวอะไรกับเขา! เขายังไม่เคยเจอพี่ใหญ่สักครั้งเลยนี่

จินหลงไม่เข้าใจ แต่ก็ยังสังเกตพฤติกรรมเฟิงหยางต่อไป ก่อนจะล้มเลิกเมื่อเขากลายเป็นแหล่งอาหารอันโอชะของยุงบริเวณนั้น

 

“ตายแล้วองค์ชาย! นี่พระองค์ไปทำอะไรมา เหตุใดจึงมีตุ่มขึ้นเต็มตัว!” เสียงนางกำนัลดังจนแสบแก้วหูเมื่อเห็นตุ่มแดงตามตัวจินหลง

“ลี่ฉง เจ้าอย่าร้องโวยวายไปสิ ข้าแค่ถูกยุงกัด ไม่ได้เป็นโรคระบาด” จินหลงเบื่อหน่ายกับท่าทางเกินจริงของนางกำนัลคนสนิทของแม่เขา

“หมอหลวง! ข้าต้องตามหมอหลวง” จินหลงจึงต้องดึงชายกระโปรงนางไว้ แม้จะกำลังเกาแผลตามตัวและบนใบหน้า

“พอเลย เจ้าไปเอายาแก้คันมาก็พอแล้ว” จินหลงกลอกตา ก่อนจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียง เพราะยังเพลียกับเรื่องเมื่อคืน

แค่โดนยุงกัดแค่นี้ไม่เห็นต้องเรียกหมอหลวงเลย!

ระหว่างที่รอลี่ฉงไปเอายา เสียงอึกทึกครึกโครมจากด้านนอกก็ทำเอาเจ้าตัวเล็กหงุดหงิดจนต้องลุกขึ้นมาดู

คนจะนอน จะโหวกเหวกอะไรนักหนา!

จินหลงเดินไปยังโถงในตำหนัก ก่อนเขาจะตะลึงกับจำนวนข้าวของที่ขุนนางส่งมาให้เสด็จแม่เพื่อเป็นของกำนัล

“จินหลง เจ้าตื่นแล้วหรือ” กุ้ยเฟยมีสีพระพักตร์สดชื่นกว่าเคย ดวงตางามเปล่งประกายกว่าทุกวัน ต่างจากเหวินหลงเสด็จพี่ของเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าบูดบึ้งไม่ชอบใจ

“เสด็จแม่ เกิดอะไรขึ้นหรือพะยะค่ะ” จินหลงยืดตัวเกาะโต๊ะเพื่อดูของด้านบน

หูย ทั้งโสม ทั้งของเล่น ทั้งเครื่องประดับ เลอค่าทั้งนั้น!

กุ้ยเฟยเผยยิ้มยินดี ก่อนจะอุ้มจินหลงขึ้นมาจากพื้น

“ของพวกนี้เป็นของที่ขุนนางกับสนมอื่นส่งมาให้ยังไงล่ะ จินหลงเจ้าดูสิ ชอบไหม?” กุ้ยเฟยหยิบของเล่นไม้ชิ้นหนึ่งขึ้นมา

...ขอเป็นแบบเพลย์สเตชั่นงี้แทนได้ไหม? ไม่ก็ไอแพทหรือโน๊ตบุ๊คก็ยังดี

“ชอบพะยะค่ะ แต่หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าทำไมขุนนางกับสนมถึงส่งของพวกนี้มา” จะบอกไม่ชอบก็ไม่ได้

“ก็ส่งมาแสดงความยินดีล่วงหน้ากับตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าไง”

....

หะ?

หะ?!

ห้ะ?!!!!!!

“ส..เสด็จ..เสด็จแม่..เมื่อครู่ว่าอย่างไร..นะพะยะค่ะ” เจ้าตัวเล็กตะลึงจนแทบช็อกตาย

จะบ้าไปแล้วเหรอ! ไม่สิ นี่มันเรื่องตลกอะไร!

ถึงแม้ข้าจะทั้งหล่อทั้งเก่งตั้งแต่เด็ก แต่คนที่ควรถูกตั้งเป็นรัชทายาทคนแรกคือองค์ชายใหญ่ไม่ใช่หรือ!

“ตอนนี้ท้องพระโรงเริ่มมีการยื่นเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ชื่อของเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งเสด็จพ่อยังเห็นดีเห็นงามด้วย เจ้าไม่ดีใจหรือ?” ไม่ดีใจ! ไม่ดีใจมากๆ! จินหลงหันไปมองเหวินหลงคล้ายขอความช่วยเหลือ แต่สายตาเหวินหลงกลับเต็มไปด้วยความชิงชัง

ซวย! นี่เขาไปเป็นศัตรูกับเสด็จพี่ตั้งแต่เมื่อไร!

“แต่ทำไมถึงเป็นหม่อมฉัน ทำไมไม่เป็นพี่ใหญ่ พี่รอง หรือพี่สาม” จินหลงพยายามโต้แย้ง แต่เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงหวานของกุ้ยเฟย แต่กลับกลายเป็นเสียงทุ้มของฮ่องเต้

“เพราะเจ้ามีคุณสมบัติมากที่สุดยังไงล่ะ” กุ้ยเฟยและเหวินหลงเตรียมทำความเคารพ แต่ฮ่องเต้ยกมือห้าม

“แต่หม่อมฉันเพิ่งอายุสี่ปี หม่อมฉันไม่คู่ควรกับตำแหน่งรัชทายาท” จินหลงพยายามปฏิเสธ

“ไม่หรอกจินหลง เจ้ามีความสามารถ ทั้งเฉลียวฉลาด แข็งแกร่ง ไหวพริบดี รู้จักวางตัว มีวุฒิภาวะสูงแต่เล็ก นับว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากนัก” ข้ารู้ตัวว่าข้าทั้งเก่งทั้งหล่อหาใครเทียบได้ แต่ข้าไม่ได้เป็นอัจฉริยะ! วุฒิภาวะข้าก็พอๆ กับเสด็จพ่อนั่นแหละ! ให้เสด็จพี่มีชีวิตสักห้าสิบปี รับรองความสามารถก็ได้แบบข้า!

“พอแล้วจินหลง เจ้าไม่ต้องพูดอะไร การเลือกรัชทายาทยังไม่ได้มีในเร็ววันนี้” จินหลงเม้มปากแน่น ตอนแรกเขาคิดแต่จะทำให้เสด็จแม่ดีใจและลดความริษยาลง จะได้ไม่ต้องมีจุดจบที่น่าอนาถ แต่ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นสร้างความเกลียดชังในหมู่พี่น้อง ที่เฟิงหยางเกิดโทสะเมื่อคืน ก็คงเพราะเรื่องนี้

หลังฮ่องเต้เสด็จกลับ จินหลงก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ตอนนี้เขาต้องเอาตัวเองออกจากตัวเลือกรัชทายาทให้ได้เร็วที่สุด หากรับตำแหน่งไปแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนตัว แต่จะปฏิเสธโต้งๆ ก็จะกลายเป็นทำให้เสด็จแม่เสียหน้า ทั้งยังจะทำให้เสด็จพ่อเกิดโทสะ

อ๊ากกกก ข้าไม่น่าโง... ไม่! ข้าไม่ได้โง่ ข้าแค่คิดน้อย!

“คิดสิคิดจินหลง ถ้าเป็นชาติก่อนๆ เจ้าจะทำยังไง” จินหลงบีบนวดขมับ หลับตานึกถึงนิยายที่เคยอ่านในชาติที่แล้ว

ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ตัวเอกกระทำ แต่เป็นสภาพแวดล้อม สถานการณ์ที่จะพลิกทุกอย่าง..

ดวงตาสีดำเบิกโพลงเมื่อได้คำตอบ

จริงสิ! ยังมีวิธีนั้นอยู่!

 

จินหลงมุ่งหน้ายังห้องตำรา ก่อนจะใช้เวลาทั้งวันคลุกอยู่ในนั้น สร้างความแปลกใจให้ผู้พบเห็น ทั้งเจ้าตัวยังไปศึกษาเพิ่มพูนความรู้กับขุนนางน้อยใหญ่ สร้างความเอ็นดูไปทั่ววัง

บางคราเขาก็วิ่งไปหาฮ่องเต้ที่วังหลวง ตั้งใจให้ชนกับเวลาตรวจฎีกา ทำทีเป็นอยากอยู่กับเสด็จพ่อ นั่งอ่านตำรา ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่วิ่งวุ่นวายหรือกวนใจ พฤติกรรมต่างจากเด็กทั่วไป เมื่อเห็นฮ่องเต้หน้านิ่ว เขาก็เอ่ยปากถามเรื่องฎีกา

“ทำไมถึงเจ้าเกิดสนใจฎีกาขึ้นมาเล่า?” แม้จะเป็นเรื่องปกติของเด็กที่อยากรู้อยากเห็น แต่ท่าทางของจินหลงกลับดูต่างจากเด็กทั่วไป

“ข้าเห็นสีพระพักตร์เสด็จพ่อเปลี่ยนไป จึงนึกสงสัยว่าอะไรทำให้เสด็จพ่อลำบากใจ” จินหลงยิ้ม ก่อนจะเดินมาเกาะข้างๆ โต๊ะทรงงาน ฮ่องเต้ยังคงไม่เอ่ยอันใด จินหลงจึงอ้าปากแทน

“ขุนนางทุจริตหรือพะยะค่ะ” ฮ่องเต้ชะงัก

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” จินหลงกระตุกยิ้ม

“หม่อมฉันเห็นเสด็จพ่อเริ่มหน้านิ่วตั้งแต่ฎีกาก่อนๆ ทั้งยังดูไม่พอใจขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังวางฎีกาส่วนหนึ่งกองไว้ราวกับนับจำนวน” จินหลงชี้ไปที่กองฎีกาด้านข้าง

“แค่นั้น?” ฮ่องเต้หรี่ตาราวกับจะจับผิด เจ้าตัวแสบจึงยิ้มแหยๆ

“เมื่อครู่ที่หม่อมฉันเดินมา ก็เพื่อแอบอ่านฎีกาในมือเสด็จพ่อ โอ้ย!” ฏีกาในมือถูกเคาะลงบนหัวของเจ้าตัวเล็ก

“ข้าก็หลงนึกว่าเจ้าฉลาดคาดเดาถูกต้อง ที่แท้ก็แอบอ่าน” ฮ่องเต้ส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนจะปิดฎีกาไม่ให้เด็กน้อยดู

“มีขุนนางชั้นผู้น้อยร้องเรียนขุนนางชั้นผู้ใหญ่เรื่องการคดโกง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้นั้นเป็นคนสนิทของพ่อ ทั้งเรื่องที่ว่ามาก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เป็นเจ้า เจ้าจะตัดสินใจเช่นไร?” ฮ่องเต้ไม่ได้อ่านฎีกาให้จินหลงฟัง พระองค์เพียงสมมุติเหตุการณ์ขึ้นมาลองภูมิเด็กชาย

“ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนั้นเล็กน้อยจริงหรือไม่ มีเบื้องลึกตื้นลึกเพียงใด หากเป็นเรื่องเล็กน้อยจริงท่านควรปล่อยผ่าน มิเช่นนั้นจะกลายเป็นทำตัวขวางหูขวางตา อาจทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงกว่าเคย” เช่นการที่เขาถูกพระอนุชาฆ่าตายนี่ไง

“ที่หม่อมฉันบอกว่าต้องดูตื้นลึกหนาบาง เพราะคัมภีร์โบราณว่าไว้ ถ้าเหตุเล็กน้อย ซึ่งทำให้แผ่นดินวุ่นวายมิถูกกำจัดโดยเร็ว จะสร้างความเสียหายให้กับแผ่นดิน”

“การไม่เข้าข้างคนของตน ไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่ จึงจะเป็นผู้ดำรงอยู่ในธรรม ปกครองบ้านเมืองได้เรียบร้อย” ฮ่องเต้ไม่เพียงทึ่ง ทั้งยังตบมือให้กับปรัชญาของจินหลง

 

นานวันผ่านไป จึงมีเสียงล่ำลือในวังหลวง ว่าองค์ชายสี่เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด คิดการณ์ไกล มีใจคุณธรรม ไหวพริบดีเลิศ ทั้งยังมีวรยุทธ์สูงส่ง แม้แม่ทัพใหญ่เห็นต่างก็ต้องตบมือให้กับความสามารถ

มีฎีกาเสนอชื่อจินหลงเข้าเป็นรัชทายาทมากมายไม่ขาดสาย กระทั่งขุนนางฝ่ายฮองเฮาก็มิอาจคัดค้าน แม้องค์ชายใหญ่จะมีอายุมากกว่า แต่ความสามารถไม่อาจทัดเทียมจินหลงได้

กระทั่งเสียงล่ำลือถูกกระจายออกไปยังราษฎรทั่วแคว้น ทั้งยังถูกใส่สีตีไข่โดยขุนนางฝ่ายกุ้ยเฟย จนจินหลงกลายเป็นมังกรสวรรค์ที่ลงมาจุติบนผืนดิน เมื่อเจ้าตัวได้ฟังก็เอาแต่หัวเราะขบขัน

พูดให้ถูก ต้องเป็นอดีตมังกรที่สวรรค์ให้ลงมาจุติต่างหากเล่า!

 

ยิ่งชื่อเสียงของจินหลงดีเลิศเพียงใด ความเกลียดชังของฮองเฮายิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น ทุกวันเมื่อว่างจินหลงจะใช้วิชาตัวเบาไปซ่อนตัวอยู่บริเวณตำหนักฮองเฮา หวังให้แผนของเขาสัมฤทธิ์ผล

กระทั่งมีข่าวลือการแต่งตั้งรัชทายาทแว่วเข้ามา กุ้ยเฟยจึงไปเยาะเย้ยฮองเฮาถึงตำหนัก สร้างความเคียดแค้นให้กับฮองเฮานัก นางกำนัลคนสนิทจึงพูดโน้มน้าวให้พระองค์สังหารกุ้ยเฟยและรับองค์ชายสี่เป็นบุตรบุญธรรม ความสามารถขององค์ชายสี่เป็นของจริง หากเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายสี่แล้ว ฮ่องเต้คงไม่ให้เรื่องจบง่ายๆ อีกทั้งหากองค์ชายสี่ตายไป ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเฟิงหยางจะได้เป็นรัชทายาท

จินหลงได้ฟังดังนั้นก็เผยยิ้ม

 

เมื่อถึงวันที่ฮองเฮาจะลงมือ จินหลงจึงแกล้งไปวิ่งเล่นอยู่ในสวน ทว่าดวงตากลับคอยเหลือบมองอากัปกิริยาคนด้านใน ทันทีที่เห็นนางกำนัลใส่บางสิ่งลงในถ้วยชา เจ้าตัวเล็กก็รีบวิ่งไปแย่งมันก่อนถึงมือเสด็จแม่

“เสด็จแม่! หม่อมฉันหิวน้ำ” จินหลงกลั้นใจกระดกพิษเข้าปาก โดยไม่ทันให้กุ้ยเฟยตำหนิเรื่องกิริยา นางกำนัลตกตะลึง ใบหน้าซีดเผือด

หวังว่าพรอมตะจะยังใช้ได้อยู่นะ..

แค่ก!!!

“กรี๊ดดดด!!” เลือดสีแดงสดทะลักจากปาก ดวงตาดวงน้อยปูดโปนจนเห็นเส้นเลือด จินหลงรีบล้มลงกับพื้น โดยเน้นกระแทกศีรษะเข้ากับเสาอย่างแรง

“จินหลง!! จินหลง!!!” กุ้ยเฟยหวีดร้อง

“หมอหลวง! ใครก็ได้ตามหมอหลวงเร็ว! เร็วเข้า! จับนางกำนัลนั่นไว้ด้วย!” ดวงตาจินหลงเริ่มเลือนราง ภาพสุดท้ายที่เห็นคือภาพของเสด็จแม่ที่สวมกอดเขาแน่น ท่าทางตื่นตระหนก ใบหน้าประดับด้วยน้ำตา

เสด็จแม่ ข้าขอโทษ..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด