ซัพที่01: ชาติสามเกือบไม่ได้เกิดแล้วไง!
บทนำ [เหออยู่ร์หาน]
เขาคืออดีตฮ่องเต้ในยุคเฟื่องฟูที่ถูกพระอนุชาลอบสังหาร และได้มาเกิดใหม่เป็นสามัญชนในยุคปัจจุบัน เพื่อให้สามารถจดจำอดีตชาติได้ เขาจึงแลกวาสนามังกรทั้งหมดที่มีเพื่อคงความทรงจำไว้ ทว่าเมื่อเกิดใหม่จึงได้รู้ว่าประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือน ฮ่องเต้ผู้เกรียงไกรกลับกลายเป็นทรราชขายแผ่นดิน
ขณะที่เขากำลังสิ้นหวังก็ได้พบแสงสว่างบนหน้าจอทีวี ภาพประวัติศาสตร์และเรื่องราวถูกถ่ายทอดออกมาให้ผู้คนรับรู้ เขาจึงเริ่มจับปากกาตั้งแต่เด็ก และเขียนเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่แท้จริงผ่านนิยาย แม้ในคราแรกจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปเข้าข้างทรราชก็ตาม
ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน เมื่อนักประวัติศาสตร์ค้นพบหลักฐานที่สอดคล้องกับเรื่องราวที่เขาเขียน นวนิยายของเขาจึงกลายเป็นจุดสนใจ จนกระทั่งมีผู้ที่ต้องการพิสูจน์ คนผู้นั้นจึงเดินทางไปยังสถานที่ที่เขาระบุไว้ในหนังสือนิยาย และพบทุกอย่างสอดคล้องกับสิ่งที่เขาเขียน
ชื่อเสียงของเขาโด่งดังจากการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ นักข่าวมากมายต่างมาสัมภาษณ์ แต่จะให้บอกว่าเป็นฮ่องเต้มาเกิดใหม่ก็กระไรอยู่ เขาจึงบอกว่าตนฝันเห็นชายรูปงามสวมชุดสูงศักดิ์ที่มีมังกรทองอยู่ข้างกายมาเข้าฝัน และขอให้เขาช่วยถ่ายทอดเรื่องราว
ผลงานของเขากลายเป็นซีรีส์และหนังภาพยนตร์ตามที่คาด แต่สิ่งที่เขาตะลึงคือจำนวนเงินมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าบัญชี ตั้งแต่นั้นเขาจึงยึดอาชีพนักเขียนเป็นอาชีพหลัก คอยถ่ายทอดเรื่องราวมากมาย จนเริ่มหลงใหลในโลกวรรณกรรม หนังสือจำนวนมหาศาลถูกอ่านผ่านตา ทำให้เขาค้นพบอะไรมากกว่าที่คิด ทั้งเล่ห์กลของเหล่าสนม ปัญหาในวัง จนรู้ว่าชาติที่แล้วตนโง่งมขนาดไหนที่ถูกวังหลังปั่นหัว
เมื่อนึกถึงชีวิตที่ผ่านมาสองชาติ แม้จะเสียวาสนาไป แต่ก็คุ้มค่านัก เขาไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับเรื่องในวัง ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอย่างเคร่งเครียด และไม่ถูกจำกัดอิสระ อา.. โชคดีจริงๆ ที่ได้เกิดมาในยุคนี้
ชายหนุ่มปิดหนังสือลง ก่อนจะลุกมาจัดเนคไท วันนี้เป็นวันรับรางวัลวรรณกรรมยอดเยี่ยมของเขา ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้ม ทว่าเมื่อก้าวไปที่ประตู พลันหัวใจกลับกระตุกวูบ พร้อมทุกอย่างที่มืดลง
ตึง!!
ความรู้สึกนี้ ช่างเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยนัก แต่ก็..เป็นความรู้สึกที่ไม่คิดจะโหยหา ภาพสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างเด่นชัด เขาจึงนอนหลับตาลงอีกครั้ง โดยหวังให้นี่เป็นเพียงฝันร้าย ..ไม่! ต้องไม่ใช่ที่นี่!
“ลืมตาขึ้นเถิด” เสียงคุ้นหูดังขึ้น
“ไม่ ผมไม่ลืม ไม่ลืมตาเด็ดขาด นี่ต้องเป็นฝันแน่ๆ ผมต้องฝันไปแน่ๆ!” เขายังคงไม่ยอมรับความจริง ทั้งยังใช้มือทั้งสองข้างปิดตาและขดตัวแน่น
“อย่าหลอกตัวเองไปเลย เจ้าก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ฝัน เจ้าตายอีกครั้งแล้ว” ชายชราสวมชุดขาวถอนหายใจกับท่าทางของอีกฝ่าย ..ฮ่องเต้ที่สง่างามในอดีตหายไปไหนกันหนอ
เขายอมลืมตาแล้วลุกขึ้นด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
“ท่านไม่คิดจะให้ผมมีชีวิตถึงสามสิบเลยเหรอ? ชาติแรกก็ตายตอนยี่สิบเก้า ชาตินี้ก็หัวใจวายตายตั้งแต่ยี่สิบสาม” เขาเองก็อยากลิ้มรสชีวิตวัยอื่นบ้างนะ!
“ไม่หรอก แท้จริงชีวิตนี้เจ้ามีอายุขัยร่วมเก้าสิบปี แต่เพราะ..”
“ความผิดพลาด?” เขาพูดแทรก เรื่องแบบนี้พบได้ในนิยายต่างโลกออกจะบ่อย ชายชราชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบส่ายหน้า
“ไม่ๆ ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก แท้จริงคือข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย” ...ภารกิจพิสดารแหงเลยทีนี้
“ปราบจอมมาร ช่วยเผ่ามนุษย์ ไปเป็นผู้กล้า ไปพัฒนาบ้านเมือง อันไหนล่ะ? แต่ถ้าท่านบอกให้ไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกโลก ผมด่าไม่ยั้งเลยนะ” เขาดักทาง ชีวิตนี้ก็ดีอยู่แล้ว ถ้าให้ไปใช้ชีวิตสงบสุขอีกโลกนี่...คงต้องขอให้คืนวาสนามังกรกันแล้วล่ะ
“ไม่ใช่ๆ เจ้าอย่าเพิ่งคิดเช่นนั้นไป โลกที่ข้าจะส่งเจ้าไปก็ไม่ต่างจากโลกเดิม ไม่มีปีศาจอะไรทั้งนั้น” ..งี้ก็ไม่มีเวทมนตร์น่ะสิ
“แล้วจะให้ทำอะไร” ถึงกับต้องฆ่ากันอย่างนี้น่าจะเรื่องใหญ่
“ในโลกนั้นก็เหมือนชาติแรกของเจ้า แต่ข้าอยากให้เจ้าไปเลือกผู้ที่จะมาเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป และพลักดันเขาขึ้นครองบัลลังก์ให้นานที่สุด” ..หะ? เขาทำหน้าเหวอ
“นี่...นี่ท่าน!” ชายหนุ่มกำหมัดแน่น เขาเริ่มโกรธขึ้นมา
“จริงๆ ข้าก็อยากให้เจ้าไปเป็นฮ่องเต้อีกครั้ง แต่เพราะเจ้าไร้วาสนามังกร ข้าจึงไม่อาจทำเช่นนั้นได้” ดีแล้วที่แลกไป!
“นั่นไม่ใช่ประเด็น! แต่เพราะอะไรข้าถึงต้องกลับไปเสี่ยงตายบนโลกเช่นนั้นอีก! ท่านก็มอบวาสนามังกรให้คนเพียงคนเดียวสิ” คิดว่าโลกนั้นมันดีนักหรือไง!
“จากประสบการณ์ที่ข้าพบในดาวดวงนี้ ผู้ที่มีวาสนามังกรใช่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีทุกคน ดาวดวงนั้นเพิ่งเริ่มต้น ข้าอยากให้พัฒนาได้ไกลกว่าดาวดวงนี้” พระเจ้ายังคงไม่สะทกสะท้าน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม” ท่านก็แค่ไปสอดส่องดูแต่ละคนก็จบแล้ว
“เพราะเจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถจดจำอดีตชาติเมื่อครั้นยังเป็นฮ่องเต้ได้ อีกทั้งยังมีความรู้ในยุคปัจจุบัน”
“แล้วไง? แล้วไง! แล้วยังไง?! ท่านให้ผมไปใช้ชีวิตเสี่ยงตายในรั้ววังที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีเพื่อช่วยอีกโลกเนี่ยนะ?!” มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลยไหม?
"ข้ารับประกันว่าชีวิตเจ้าจะเป็นอมตะจนกว่าจะอายุสามสิบ หลังจากนั้นร่างกายเจ้าจะเหมือนคนทั่วไป” เขาชะงักทันทีที่เจอคำนี้ ก่อนจะหรี่ตามอง
“พร้อมพรสองข้อ” พระเจ้าเสนอเพิ่ม
“ตกลง แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะจุดธูปให้ท่านช่วย” เขาต่อรองเพิ่ม
“ข้าช่วยได้แค่เรื่องดินฟ้าอากาศ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
“ก็ยังดี” เขาเริ่มเดินวน ในเมื่อชาติที่แล้วเขาเกิดเป็นนักเขียน ก็ย่อมเคยคิดเล่นๆ ว่าหากเกิดใหม่หรือย้อนกลับชาติเดิม จะขออะไร
“ข้อแรก ผมขอผู้ช่วยที่ไว้ใจได้แน่นอนไปโลกนั้นกับผมอีกคน” ดวงตาของชายชราเบิกโพลง
“เรื่องผู้ช่วยนี่..” อีกฝ่ายอ้าปากจะเถียง เขาจึงถลึงตามอง
“สถานที่ที่ท่านจะส่งข้าไปคือวังหลวง ผู้ที่เชื่อใจได้มีน้อยนัก การทรยศหักหลังเป็นเรื่องปกติ แม้แต่สายเลือดเดียวกันก็มิอาจไว้ใจได้ ภารกิจของท่านไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าเพียงต้องการผู้ที่สามารถปรึกษาหารือเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะจัดการทุกอย่างคนเดียว” มาดฮ่องเต้และเหตุผลในชาติแรกถูกงัดออกมาใช้ ทำเอาอีกฝ่ายเถียงไม่ออก
“ส่วนพรอีกข้อข้าขอยกให้ผู้ช่วยคนนั้นเลือก” ตัวเขาเองมีทั้งความรู้และวรยุทธ์จากโลกเดิม พรอะไรนั่นคงไม่มีประโยชน์มาก ให้คนที่มีความรู้เพียงชาติเดียวจะดีกว่า
“..ตกลง แต่เรื่องผู้ช่วยของเจ้า ข้าต้องใช้เวลาตามหาตัวประมาณห้าปี” ..ก็ไม่นานนัก
“ย่อมได้”
ซัพที่01: ชาติสามเกือบไม่ได้เกิดแล้วไง!
หายใจ..ไม่ได้ ลืมตา..ไม่ไหว ยืดแขนยืดขาไปก็มีแต่ผนังนุ่มๆ รอบกายมีแต่น้ำ ความรู้สึกนี้เขาจำได้ดีนัก เพราะมันเป็นความรู้สึกพิศวงของครรภ์มารดา
เอาแล้วไง นี่ข้าต้องอยู่นิ่งๆ อย่างนี้อีกนานแค่ไหนเนี่ย
เมื่อคิดไปก็ไม่ได้อะไร เขาจึงเปลี่ยนมานอนกลิ้ง ขยับแขนขาออกกำลังกาย ก่อนจะได้ยินเสียงสตรีดังก้องในหู
“ลูกข้าดิ้นแล้ว! ลูกข้าดิ้นแล้ว! ลี่ฉงเจ้าไปหาโอกาสทูลฮ่องเต้เร็ว ให้พระองค์เสด็จมา ลูกคนนี้ช่างแข็งแรงนัก เตะท้องแม่เสียบ่อยเชียว” เนื้อความที่ได้ยินทำเอาเด็กน้อยในครรภ์ถึงกับช็อก ..เดี๋ยว! นี่ข้าเกิดเป็นลูกฮ่องเต้งั้นหรือ งั้นก็หมายความว่าข้าเกิดเป็นองค์ชาย?! ...หรือองค์หญิงหว่า มือน้อยแตะไปที่จุดยุทธศาสตร์ ก่อนจะแทบร่ำไห้
ให้ตายเถอะ ทำไมพระเจ้าถึงให้ข้าเกิดเป็นองค์ชาย!
ด้วยความสามารถอันเก่งกาจและใบหน้าที่หล่อเหลา ไม่ว่ายังไงข้าผู้นี้ก็ถูกเลือกเป็นรัชทายาทแน่!
ความหลงตัวเองที่ไม่เคยจางเริ่มสำแดงฤทธิ์ ขณะที่เขาเอาแต่พร่ำเพ้อไม่สนใจเสียงรอบข้าง ก็มีบางอย่างผ่านเข้ามาในสายสะดือ
อ๊ากกก ปวด! นี่มันอะไร ปวด! ปวดเหลือเกิน!!
น้ำรอบกายเริ่มปั่นป่วน พร้อมแรงบีบจากช่องท้อง เสียงกรีดร้องดังมาจากด้านนอก
“กุ้ยเฟยเพคะ! ใครก็ได้ ใครก็ได้ตามหมอหลวงมาที กุ้ยเฟยกระอักเลือด!” คาดว่าคงเป็นเสียงนางกำนัลร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วย...ช่วยด้วย..ช่วยลูก..ข้..ข้าด้วย..” เสียงผู้เป็นแม่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่ต่างจากเขาที่ได้แต่ร้องอยู่ในใจ
นี่มันบ้าไปแล้วเหรอ?! ข้ายังไม่ได้เกิ..ด..ก็จะต้อง..ม..มาตายแ..ล้วหรือนี่..
ผ่านไปพักใหญ่ ความปวดร้าวจึงทุเลาลง เสียงภายนอกเริ่มฟังชัดขึ้นเรื่อยๆ
“ทูลฝ่าบาท กุ้ยเฟยทรงถูกผงเพชรโจมตี ผงเพชรนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนกระเพาะและอวัยวะภายใน” เสียงทุ้มดังแว่วจากด้านนอก เขาจึงเอาหูแนบกับผนัง หวังได้ยินชัดขึ้น
“แล้วกุ้ยเฟยเป็นเช่นไรบ้าง เจ้ารักษาได้หรือไม่?!” เสียงทุ้มทรงอำนาจเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใย คาดว่าคงเป็นเสียงของฮ่องเต้หรือก็คือเสด็จพ่อของเขา
“เดิมทีผงเพชรมีฤทธิ์รุนแรงถึงชีวิต แต่กระหม่อม..ไม่ทราบว่าทำไม อาการของกุ้ยเฟยถึงดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ไม่ได้รับยา” เออนั่นสิ แปลกดี เขาครุ่นคิดไปมา เดิมแล้วการรักษาพิษนี้เป็นไปได้ยากนัก
“กระหม่อมคิดว่าอาจเป็นบุญของเด็กในท้อง ที่มีชะตาลิขิตว่าจะได้เกิดมา” ข้า? ข้าน่ะเหรอ?.. จริงสิ ข้ามีพรอมตะจากพระเจ้านี่! เขาโห่ร้องในใจ ก่อนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างสัมผัสบนผนังด้านนอก คงเป็นมือของเสด็จพ่อหรือเสด็จแม่กระมัง เขาออกแรงเตะไปที่มือนั้น เพื่อบอกให้คนภายนอกรู้ว่าเขายังปลอดภัยดี
“โชคดี โชคดีจริงๆ ลูกพ่อ หากเจ้าเกิดมาเป็นหญิงข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าเหม่ยหลง แต่หากเป็นชายข้าจะตั้งชื่อว่าจินหลง” โอเค สรุปชื่อของข้าคือจินหล..ง.. เห้ย! เดี๋ยวสิ ข้าไม่มีวาสนามังกรนะ ใช้ชื่อนี่จะดีเหรอ!
จินหลงเตะรัวเข้าที่มือของผู้เป็นพ่อเพื่อคัดค้าน แต่อีกฝ่ายกลับตีความกลับกัน
“ฮ่าๆๆ เจ้าชอบชื่อนี้ขนาดนั้นเชียวหรือ?” ไม่! ข้าไม่ได้ชอบ! เกิดข้ากลายเป็นรัชทายาทขึ้นมา มีหวังซวยแน่ ข้าไม่อยากเป็นเป้าโจมตีอีกนะ!
ฮือ..อ.. ชีวิตของข้าทำไมช่างอาภัพเสียนี่
เวลาผ่านไปหลายเดือน จินหลงนอนเล่นอยู่ในท้องรอวันที่จะได้ออกมาสู่โลกภายนอก เมื่อคิดถึงความทรงจำในชาติสองก็ได้แต่หวาดหวั่น ในวันนั้นโชคดีที่วิทยาการทางการแพทย์ก้าวไกล แม่ของเขาจึงใช้วิธีผ่าคลอด แต่ในวันนี้..คลอดธรรมชาติแหง ไม่คิดเปล่า จินหลงหมุนตัวให้หัวลงด้านล่าง และจัดรกที่สะดือไม่ให้พันคอพันร่างตัวเอง
ไม่กี่วันต่อมาจินหลงจึงได้ยินเสียงโวยวายจากด้านนอก และเสียงกรีดร้องของผู้เป็นแม่ น้ำรอบตัวลดลงจนรู้สึกได้ แรงบีบเริ่มรัดที่ตัวเขา
ข้ากำลังจะคลอดแล้วว!
จินหลงเก็บมือทั้งสองข้างแนบอก ส่วนขาก็เตรียมช่วยแม่ดันตัวเองออก ทันทีที่ได้ยินเสียงอื้ดดดจากด้านนอก พร้อมกับแรงเบ่งจากแม่ เขาก็เริ่มถีบและพลักตัวเองออกมา ไม่นานนักส่วนหัวก็ได้สัมผัสอากาศด้านนอก
ฮูเร่! ข้าออกมาแล้ววว!
จินหลงยังคงมองไม่เห็น เขารับรู้ทุกสิ่งด้วยสัมผัสและการได้ยิน แต่ตอนนี้หน้าที่สำคัญของเขาคือการแหกปากร้อง
“อุแว๊ อุแว๊!!” เขาพยายามร้องให้ดัง ราวกับประกาศให้พระเจ้ารู้ว่าเขาเกิดมาแล้ว
“กุ้ยเฟย! ยินดีด้วยพะยะค่ะ พระองค์ได้พระโอรส!” หมอหลวงที่กำลังอุ้มเขาอยู่ร้องดีใจ
“จริ..ง จริงเหร..อ ข้า ข้าได้ลูกชายเหรอ?” ผู้เป็นแม่เหนื่อยหอบด้วยความยินดี จินหลงสัมผัสได้ถึงความดีใจและความรักในเนื้อเสียง นอกจากเสด็จแม่จะต้องลำบากอุ้มท้องเขามาเก้าเดือน พระนางยังต้องผ่านเรื่องลำบากในวังมามาก ทั้งถูกวางยา ถูกลอบทำร้าย พระองค์ต้องเก่งกล้าแค่ไหนกว่าเขาจะได้เกิดมา คิดแล้วก็ซึ้งในบุญคุณนัก
เสด็จแม่ ถึงข้าจะไม่อาจเป็นโอรสสวรรค์ ไม่อาจปกครองบัลลังก์ แต่ข้าจะพยายามไม่ให้ท่านผิดหวัง!
เจิ้งจินหลงเกิดใหม่เป็นองค์ชายสี่ โอรสของกุ้ยเฟยและฮ่องเต้ มีพี่ชายร่วมสายเลือดเป็นองค์ชายรองนามเจิ้งเหวินหลง ข่าวการประสูติของจินหลงสร้างความยินดีไปทั่วราชอาณาจักร แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความเกลียดชังภายในวังหลวง
เพล้ง!
หญิงสูงศักดิ์บันดาลโทสะ ปัดแจกันเลอค่าลงพื้นเฉียดนางกำนัลที่นั่งคุกเข่าด้วยความหวาดกลัว ใบหน้างามบิดเบี้ยวไปด้วยความเกลียดชัง
“ทำไมนังเพศยากับเด็กนั่นถึงยังมีชีวิตรอด!! ข้าสั่งให้พวกเจ้าฆ่ามันไม่ใช่หรือไร!” เสียงแหลมทรงอำนาจเสียดแก้วหู
“หม่อมฉันทำตามที่พระนางรับสั่งแล้ว ต..แต่.. แต่หม่อมฉันไม่ทราบว่าเหตุใดผงเพชรจึงไร้ฤทธิ์” นางกำนัลเอ่ยตัวสั่น
พลันประตูตำหนักจึงเปิดออก พร้อมร่างงามที่เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กทารกในอ้อมแขน ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มเย้ยหยัน ใบหน้ารูปไข่เชิดขึ้นอย่างดูแคลนอีกฝ่าย
“คิดไม่ถึงว่าพี่หญิงจะโหดร้ายกับน้องนัก น่าเศร้าใจเสียจริงที่พิษนั่นมิอาจทำร้ายน้องและลูกได้ตามที่ท่านหวัง” กุ้ยเฟยเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ไม้งามด้านข้างอย่างวิสาสะ พลางเล่นกับเด็กน้อยที่แม้หัวเราะเอิ้กอ้าก แต่ดวงตาน้อยๆ กลับจดจ้องไปที่ฮองเฮา
บ้าไปแล้ว! รู้ไหมว่าตอนนั้นข้าทรมานขนาดไหน นี่ถ้าไม่ได้พรจากพระเจ้า มีหวังเสด็จแม่ตายท้องกลมแหง!
จินหลงนึกหวาดหวั่นกับพิษร้ายในวังหลัง โชคยังดีที่ตอนนั้นกุ้ยเฟยตั้งครรภ์เขา จึงได้รับพรนั้นไปด้วยชั่วคราว หากแม่ตายไป ลูกในครรภ์ก็มิรอด
“กุ้ยเฟย..นี่เจ..นี่เจ้า!” ฮองเฮาหันซ้ายหันขวา ใบหน้าซีดเผือด วิ่งไปดูหน้าประตู แต่ก็มิพบใคร กุ้ยเฟยส่งสัญญาณให้นางกำนัลในห้องออกไป แม้นางจะลังเล แต่เมื่อผู้เป็นนายไม่เอ่ยขัด จึงรีบคลานออกไปจากห้องอย่างร้อนรน
“ฮึ ถ้าพี่หญิงมองหาฝ่าบาทล่ะก็ พระองค์ไม่ได้มากับข้าหรอก” กุ้ยเฟยลุกขึ้นอีกครั้ง ร่างอรชรค่อยๆ เดินไปด้านหลังฮองเฮา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยอำนาจ
“โชคดีของพี่หญิง ที่น้องไร้หลักฐาน มิฉะนั้นพี่หญิงคงมีโทษสูงนัก” กุ้ยเฟยเริ่มข่มขู่ พลางเดินวนรอบอีกฝ่าย
โอ้.. เสด็จแม่ข้าเองก็ไม่เบา
“แต่ท่านก็ทำให้ข้าได้รู้ว่าเด็กคนนี้มีบุญวาสนายิ่งใหญ่เพียงไร แม้ถูกฆ่าก็มิตาย ทั้งยังปกป้องผู้เป็นแม่ ดูท่าอนาคตจะน่าสนุกนัก” ฮองเฮาตัวชา กำหมัดแน่น
“หวังว่าเฟิงหยางของท่าน คงไม่ถูกลูกชายทั้งสองของข้าสอยลงมาง่ายๆ นะ” ดวงตาหงส์เบิกโพลง กุ้ยเฟยหันมายืนตรงหน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทางโอหัง
“นังแพศยา!! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าโอหังข่มขู่ข้าได้!” ฮองเฮาแผดเสียง แต่แล้วกุ้ยเฟยกลับตบหน้าตัวเองอย่างแรง ก่อนจะล้มลงไปอยู่บนพื้น ดวงตาของจินหลงเบิกกว้าง
เพี๊ยะ!
เหตุใดเสด็จแม่จึงตบตัวเอง!
ร่างของกุ้ยเฟยล้มลงกับพื้นพร้อมเสียงกรีดร้องและเสียงเดินตึงตังที่ดังมาจากด้านนอก จินหลงตกตะลึงกว่าเดิมเมื่อน้ำตาของผู้เป็นแม่ไหลรินลงมา ท่าทีโอหังเมื่อครู่หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น มืองามป้ายชาดที่ขมับเด็กน้อย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” เสียงทุ้มทรงอำนาจตวาดลั่น ทุกคนยกเว้นกุ้ยเฟยต่างสะดุ้งเฮือก
“ฮ..ฮืออ..อ.. ฝ่าบาท” กุ้ยเฟยเริ่มร้องไห้ จินหลงตะลึงตาค้าง นี่เสด็จแม่ของเขารู้อยู่แล้วว่าเสด็จพ่อจะมางั้นหรือ!
“กุ้ยเฟย! เกิดอะไรขึ้นกัน ใครทำอะไรเจ้า!” ฮ่องเต้ประคองกุ้ยเฟยขึ้นจากพื้น แต่กุ้ยเฟยกลับไม่ลุก พระนางเอาแต่กอดจินหลงในมือและร้องไห้อยู่กับพื้น แต่ใครจะรู้ล่ะว่าตอนนี้เขาถูกบีบก้นอยู่!
โอเค! ข้าร้องไห้ก็ได้ ข้าร้องไห้ก็ได้ หยุดบีบตูดข้าที!
“อุแว๊! อุแว๊...ว” จินหลงยอมให้ความร่วมมือ แหกปากร้องสุดเสียง กุ้ยเฟยจึงเผยรอยยิ้มยินดี ก่อนจะหันไปหาฮ่องเต้
“ฝ่าบาท หมอ..หมอหลวง..หมอหลวงเว่ยอยู่ไหน ท..ท่าน..ท่านรีบตามหมอหลวงให้ข้าที จินเอ๋อร์ จินเอ๋อร์ของข้าศีรษะกระแทกพื้น ลูก..ลูกของข้า!” กุ้ยเฟยร้องไห้ปานจะขาดใจ ดูท่าพระนางคงนัดแนะกับหมอหลวงคนนั้นไว้แล้ว
“ตามหมอหลวงเว่ยมา! เร็ว!!” ขันทีเริ่มวิ่งวุ่น ขณะฮ่องเต้ย่อตัวลงเพื่อดูบาดแผลของเจ้าตัวเล็ก เมื่อเห็นพระองค์จะยื่นมือมาสัมผัส กุ้ยเฟยจึงรีบเบี่ยงตัวหลบ
“ไม่!! ข้าไม่ให้ใครมาแตะลูกของข้า ไม่! ข้าไม่ให้ใครมาทำร้ายลูกของข้า!!” พระนางแกล้งทำทีเสียสติ
“กุ้ยเฟยใจเย็นๆ ข้าไม่ทำอะไรจินเอ๋อร์หรอก ข้าสัญญา” ฮ่องเต้ปลอบประโลมทั้งพยายามเอาตัวจินหลงมาดู ..แหม่ ได้ดูซีรีส์สดขนาดนี้ มีหรือข้าจะยอมให้ผิดคิว จินหลงทั้งปัดทั้งถีบมือของฮ่องเต้พร้อมกับแหกปากร้องดังกว่าเคย ทำเอาฮ่องเต้ยอมแพ้ พระองค์ลุกขึ้นยืน หันมาทางฮองเฮาด้วยโทสะ
“ฮองเฮา นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” ฮองเฮาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าหงส์ขาวซีด พระนางส่ายหน้าช้าๆ
“ข้า..ข้าไม่รู้ จู่ๆ กุ้ยเฟยนางก็ตบหน้าตัวเอง” แม้จะเป็นความจริง แต่สถานการณ์อย่างนี้มีหรือที่ฮ่องเต้จะเชื่อ จินหลงเข้าใจดีว่าฮ่องเต้คิดเยี่ยงไร ในเมื่อเขาก็เคยโดนไม้นี้กับตัวในชาติแรกจนทะเลาะกับฮองเฮาที่รักเสียหนักหนา
“บังอาจ! อยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าโป้ปด เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากุ้ยเฟยถูกเจ้าตบจนล้ม!” ..นั่นไง อย่างที่เขาคิด
“ฝ่าบาท! ข้าไม่บังอาจกล้าหลอกท่าน แต่นี่เป็นแผนของนังแพศย..”
“หุบปาก! กุ้ยเฟย เจ้าเล่าความจริงมาว่าทำไมเจ้าถึงมาอยู่นี่ ไม่ต้องกลัวว่าฮองเฮาจะกล้าทำอะไรเจ้า” โอ้.. เสด็จพ่อข้าช่างเท่เสียจริง
“หม่อม..หม่อมฉัน หม่อมฉันเพียงแค่อยากให้จินเอ๋อร์ได้มาพบกับฮองเฮา แต่..แต่ไม่นึกว่าพระนางจะเกลียดชังข้านัก จึงตบข้าแรงจน..แรงจนจินเอ๋อร์ของหม่อมฉันได้รับบาดเจ็บไปด้วย” กุ้ยเฟยแสดงได้สมจริงจนจินหลงนึกอยากตบมืออยู่ในใจ
“ฝ่าบาท หมอหลวงเว่ยมาแล้วพะยะค่ะ” ขันทีรายงาน พร้อมหมอหลวงวัยชราที่รีบวิ่งมาดูอาการจินหลง ทว่าเจ้าตัวเล็กกลับเห็นหมอหลวงและกุ้ยเฟยขยิบตาส่งสัญญาณให้กัน
“หมอหลวงเว่ย! รีบดูอาการพระชายากับลูกเราเร็ว!” ฮ่องเต้รับสั่ง หมอหลวงเว่ยจึงทำทีเป็นตรวจเช็คและทำแผล ก่อนจะรายงาน
“ทูลฝ่าบาท อาการของกุ้ยเฟยและองค์ชายไม่หนักหนา โชคดีที่กุ้ยเฟยใช้มือรองรับศีรษะองค์ชายไว้ มิเช่นนั้นองค์ชายคงได้รับแรงกระแทกรุนแรงจน...” หมอหลวงเว่ยเล่นตามบท
“ประกาศราชโองการห้ามฮองเฮาออกจากตำหนักเป็นเวลาสามเดือน และห้ามใครเข้าพบเด็ดขาด!” ฮ่องเต้รับสั่ง
“แต่ฝ่าบาท ข้..”
“หุบปาก!! มากุ้ยเฟย ข้าจะพาเจ้ากลับตำหนัก” ฮ่องเต้ค่อยๆ พยุงกุ้ยเฟยให้ลุกขึ้น เมื่อพระนางลุกได้แล้ว จึงส่งจินหลงที่สะอึกสะอื้นให้กับฮ่องเต้ พระองค์อุ้มจินหลงไว้ในอ้อมแขน เจ้าตัวเล็กจึงหยุดร้องไห้ทันที แล้วเปลี่ยนมาหัวเราะเอิ๊กอ้าก สร้างความตื่นตะลึงนัก
เสด็จแม่อุตส่าห์แอคติ้งซะเวอร์วัง มีหรือข้าจะไม่ให้ความร่วมมือจนจบ คึคึ
“ดูสิเพคะ พอจินหลงอยู่ในอ้อมแขนของฝ่าบาทก็หยุดร้องไห้ทันที ทั้งที่เมื่อครู่ยังร้องหนักอยู่เลย” กุ้ยเฟยเอ็นดู ขณะเดินออกจากตำหนักฮองเฮา
“ฮ่าๆๆ เห็นเสด็จพ่อช่วยเสด็จแม่สินะ เจ้าจึงอารมณ์ดีขึ้นมา เจ้าตัวแสบนี่ฉลาดนัก” ฮ่องเต้หัวเราะพึงพอใจ
ไม่นานนักจึงมาถึงตำหนัก เหวินหลงวัยสามปีจึงวิ่งเตาะแตะเข้ามารับเสด็จทั้งสองสร้างความเอ็นดูให้กับฮ่องเต้ ก่อนพระองค์จะอยู่สนทนาเย้าแหย่กันชั่วครู่ ฮ่องเต้จึงเสด็จไปยังห้องทรงงาน กุ้ยเฟยส่งจินหลงให้กับแม่นม
“เหวินหลง วันนี้เจ้าไปไหนมาบ้าง” กุ้ยเฟยถามเสียงเรียบ พร้อมบีบนวดไหล่ตน เด็กชายเห็นดังนั้นจึงปีนขึ้นมาช่วยทุบไหล่
“เรียนเสด็จแม่ วันนี้หม่อมฉันอยู่กับท่านลุงจู ท่านลุงจูพาหม่อมฉันไปดูการฝึกทหารพะยะค่ะ” เหวินหลงตอบ กุ้ยเฟยยกพัดมาพัดเบาๆ
“แล้วเจ้าคิดยังไง” ใบหน้าเล็กเอียงไปมาอย่างขบคิด
“หม่อมฉันคิดว่า ทหารมีความจำเป็นต่อแคว้นมาก หม่อมฉันอยากเป็นทหาร หม่อมฉันอยากเป็นแม่ทัพ โตขึ้นหม่อมฉันจะได้ปกป้องเสด็จแม่ได้” กุ้ยเฟยขบขันในคำตอบ เด็กหนอเด็ก ไร้เดียงสาเสียจริง ตอบคล่องแคล่วราวกับท่องเช่นนี้ คงโดนพี่จูสอนมากระมัง
“ใช่แล้วเหวินเอ๋อร์ ทหารมีความจำเป็นต่อแคว้นมาก แต่การที่ลูกจะคุมทหารได้ลูกก็ต้องมีฝีมือ เรียนรู้วรยุทธ์และกลศึก ไว้ลูกโตขึ้นอีกหน่อยค่อยเริ่มฝึกแล้วกัน ดีไหม?” กุ้ยเฟยหันไปยิ้ม ทำให้เหวินหลงดีใจที่เสด็จแม่พึงพอใจในคำตอบของเขา ต่างจากจินหลงที่ฟังแล้วได้แต่เอือม
..เหอะ นี่ปลูกฝังลูกแต่เล็กเลยเหรอเนี่ย เล่นพาไปเดินเที่ยวค่ายทหารให้เด็กเกิดความสนใจ อย่างไรเสีย อำนาจทางทหารย่อมสำคัญที่สุด เสด็จแม่คงคิดดันเสด็จพี่ให้เป็นรัชทายาทแหง ดีนะข้าไม่เกิดเป็นลูกคนโต ไม่งั้นนะ หูยยย งานเข้า!
“พอจินหลงโตขึ้น แม่จะให้จินหลงช่วยสนับสนุนลูกด้วย ลูกว่าดีไหม?” ไม่ดี! อย่าเอาข้าไปเกี่ยวสิเห้ย
“ดีพะยะค่ะ พวกเราสองพี่น้องจะไม่ทำให้เสด็จแม่ผิดหวัง!” เดี๋ยว! อะไรคือคำว่าเรา? ข้าไม่ได้รับปากด้วยเลยนะเห้ย อย่าเอาข้าไปเกี่ยวสิ!
ทารกน้อยเริ่มดิ้นงอแง ทำท่าจะไปหาแม่และพี่ชาย แต่กลับถูกแม่นมพาไปอีกทาง เพื่อไม่ให้เด็กน้อยไปกวนใจมารดา