บทที่ 7 ภารกิจหลักสองอย่าง
บทที่ 7 ภารกิจหลักสองอย่าง
ความจริงแล้วไม่ว่าที่ไหนต่างก็มีระบบชนชั้นกันทั้งนั้น
สถาบันฝึกปราณของจักรวรรดิซีแบ่งออกเป็นลำดับหนึ่งถึงลำดับเก้า แม้จะมีการบอกชัดเจนว่าแบ่งแยกลำดับตามการก่อตั้ง แต่ผู้คนที่เข้ามาศึกษาก็มิวายโยงเรื่องว่าสถาบันลำดับที่หนึ่งเป็นสถาบันที่ดีที่สุด ส่วนเก้าที่สร้างมาท้ายสุดยังคงเป็นน้องใหม่ที่ไม่มีใครพอจะเห็นหัว พอเข้าไปดูระบบภายในสถาบันก็ยังมีชนชั้นของนักเรียนที่แบ่งแยกด้วยเกรดตั้งแต่หนึ่งถึงแปดอีก และเหนือยิ่งกว่านักเรียนเกรดแปดก็ยังมีตำแหน่ง ‘เจ้าตำหนัก’ อยู่อีก
เจ้าตำหนักคือตำแหน่งอันทรงคุณค่าที่ถูกแต่งตั้งขึ้นอย่างชอบธรรมผ่านทางราชโองการขององค์จักรพรรดิ โดยจะมีด้วยกันทั้งหมดสี่ตำหนัก อันได้แก่ตำหนักอัคคี ตำหนักเมฆา ตำหนักวายุ และตำหนักอัสนี แต่ละตำหนักจะมีเจ้าตำหนักครอบครองได้เพียงคนเดียวเท่านั้น และในแต่ละตำหนักยังมีผู้คนในอาณัติมากมายที่พร้อมให้การรับใช้ ซึ่งคนเหล่านั้นก็คือเหล่านักเรียนที่คลั่งไคล้หรือเคารพนับถือในตัวเจ้าตำหนักคนดังกล่าวจนยอมติดตามอย่างซื่อสัตย์นั่นเอง
แน่นอนว่าการจะควบคุมดูแลผู้คนใต้อาณัติที่มีจำนวนหลายร้อยและยังอาจเพิ่มขึ้นได้ทุกวันนั้น เจ้าตำหนักจำเป็นจะต้องมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งเพียงพอ ดังนั้นคนจะเป็นเจ้าตำหนักได้จึงต้องผ่านการคัดเลือกในหลากหลายบททดสอบเพื่อที่จะถูกยอมรับว่ามีคุณสมบัติดังกล่าว
กลับมาที่ห้องเรียนรวมของนักเรียนเกรดหนึ่งอีกครั้ง บรรยากาศทั้งห้องเงียบงันเมื่อสไปค์ลุกขึ้นยืนกะทันหัน สายตาจับจ้องไปยังฟลอร์เลน ผู้ถูกเรียกขานในนามของ “เจ้าตำหนักเมฆา”
“ทำอะไรของนาย นั่งลงเดี๋ยวนี้นะ คนอื่นมองหมดแล้ว!” ฟาร์ชูลันแอบคำรามเบา ๆ ในลำคอ เธอมองดูคนรอบข้างอย่างหวาดระแวง
“เจ้ารู้จักท่านเจ้าตำหนักเมฆาด้วย?” ซิลเวอร์กลับไม่ยี่หระต่อท่าทีของสไปค์ ซ้ำยังถามเขาเพิ่มเติมอีก สไปค์ไม่ได้หันหน้ามามองทางซิลเวอร์ เขายังคงมองไปที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้มลทินของฟลอร์เลน
“นักเรียนคนนั้นน่ะ อย่าเสียมารยาทต่อเจ้าตำหนัก นั่งลงซะ!” กลับเป็นอาจารย์ลูคัสที่ไม่พูดเพียงปากเปล่า เพราะดูเหมือนจะมีอำนาจที่มองไม่เห็นบางอย่างกดให้ร่างของสไปค์ทรุดลงจนก้นติดเก้าอี้อีกครั้ง สไปค์ตกใจ กระทั่งพยายามออกแรงขัดขืนจนเผลอปล่อยกระแสปราณสีม่วงเข้มออกมา
“เจ้าต้องการอะไรหรือ?” แต่แล้วปราณของสไปค์ก็สลายไปทันที เมื่อได้ยินแก้วเสียงที่ใสกังวานต่างจากเมื่อเจ็ดปีก่อน แต่ยังคงกลิ่นเดิมอยู่ไม่เสื่อมคลาย ฟลอร์เลนยังคงพูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตอบกลับ “เวลานี้เป็นเวลาเรียน ข้ามีเวลามาแนะนำพวกเจ้าไม่มาก ถ้าเจ้าต้องการอะไรจากข้า เอาไว้หลังจากนี้ก็ได้นะ”
สิ้นเสียงนั้นฟลอร์เลนก็หันกลับไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ลูคัสทั้งที่ไม่ใช่ความผิดตน วินาทีนั้นเหมือนมีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่สไปค์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้จะมีสิ่งกีดขวางไม่ให้มองเห็นบ้างแต่ก็ยังมีคนที่พยายามจ้องมองมาเหมือนกับต้องการจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้
ฟาร์ชูลันสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของสายตาคนรอบข้าง มันเป็นอารมณ์แห่งความไม่พอใจอย่างที่สุด ซึ่งน่าจะมาจากเรื่องที่สไปค์ทำตัวเสียมารยาทต่อคนระดับเจ้าตำหนัก และยังทำให้เธอคนนั้นถึงกับยอมรับผิดทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่ตนต้องกล่าวขอโทษเลย
ส่วนสไปค์เล่า? ยามนี้เขาไม่ได้รู้สึกถึงสายตาคนรอบข้างเลยสักนิด สิ่งที่เขารู้สึกคือ ฟลอร์เลน...เจ้าจำข้าไม่ได้หรือไง?
“เฮ้พวก ดูเหมือนว่าเจ้ามีเรื่องข้องใจบางอย่าง แต่ข้าแนะนำว่าให้เก็บไว้ก่อนนะ เพราะการจะคุยกับคนระดับเจ้าตำหนักน่ะ นักเรียนเกรด 1 ไม่มีสิทธิ์นั้นหรอก” ซิลเวอร์เข้าไปกระซิบข้างหูของสไปค์โดยไม่เกรงกลัวว่าคนรอบข้างจะมองว่าเขาเป็นพวกเดียวกันกับสไปค์หรือเปล่า “แต่ดูเจ้าเป็นคนแปลก ๆ น่าสนใจดีนะ เมื่อกี้เกือบจะทำอะไรที่มันอันตรายออกมาแล้วรึเปล่าล่ะนั่น”
ความจริงถ้าไม่มีเสียงฟลอร์เลนดังขึ้นก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ว่าปราณไร้ลักษณ์ที่เผลอปล่อยออกมาจะแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรออกมาบ้าง เรื่องนี้แม้กระทั่งสไปค์ก็ให้คำตอบไม่ได้เช่นกัน กลับเป็นทางด้านของฟาร์ชูลันที่รู้สึกอึดอัดเต็มทน บรรยากาศที่ทุกคนมองมาทางนี้เป็นสายตาเดียวนั้น ต่อให้ไม่ได้โฟกัสมาที่เธอตรง ๆ ก็ยังรู้สึกอึดอัดไม่แพ้กัน
กระทั่งคลาสเรียนเริ่มขึ้นจากการสร้างบรรยากาศที่ดีในห้องเรียนขึ้นมาใหม่ด้วยฝีมือของฟลอร์เลน ความสนใจที่ทุกคนมีต่อเจ้าตำหนักดูจะมีมากกว่าที่คิดเอาไว้ หญิงสาวสอนด้วยคำพูดและการปฏิบัติเพียงเล็กน้อย มือไม้แม้เคลื่อนไหวเหมือนคนปกติ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกับเทพธิดากำลังร่ายรำอยู่เบื้องหน้า นักเรียนที่คลั่งไคล้ในตัวเธอต่างเคลิบเคลิ้มในท่าร่างและน้ำเสียงจนบทเรียนที่รับมาเหมือนจะลอยผ่านหูออกไป
“สิ้นสุดบทเรียนเพียงเท่านี้ ขอตัวล่ะ” กล่าวจบฟลอร์เลนก็กล่าวลาอาจารย์ลูคัส แล้วเดินออกไปจากห้องเรียนทันที
ราวกับภวังค์ของทุกคนสิ้นสุดลง เมื่อครู่เปรียบเหมือนได้พบกับภาพฝันที่ยาวนานแต่แท้จริงแล้วมีระยะที่สั้นกว่าที่คิดเอาไว้ สไปค์หันไปมองทางซิลเวอร์ก่อนจะพูดคุยเรื่องที่เขากำลังคาใจอยู่
“ต้องทำยังไงถึงจะมีโอกาสได้พูดคุยกับคนระดับเจ้าตำหนัก?”
“ดูเหมือนจะมีแค่คนใกล้ชิดของเจ้าตำหนักเท่านั้นล่ะ ต้องสอบผ่านในระดับเกรด 8 ด้วยนะถึงจะมีสิทธิ์ได้อยู่ในตำแหน่งนั้น” ซิลเวอร์ตอบกลับทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไร
“แล้วต้องใช้เวลานานแค่ไหน สอบยังไงบ้าง?”
“เอ่อ...ก็การสอนจะมีขึ้นในทุก ๆ เดือนนั่นแหละ แต่ขอแนะนำว่าอย่ารีบจะดีกว่า เพราะก็ไม่ได้สอบง่ายขนาดนั้นอะนะ” ขณะที่บอกแบบนี้ชายผมแดงก็เอามือค้นกระเป๋าทำท่าจะหยิบอะไรบางอย่างออกมา “อืม...ตัวอย่างก็นี่เลย”
สิ่งที่เขาเอาออกมาคือกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีทั้งรูปภาพและรายละเอียดตัวหนังสือหลายอย่างเขียนเอาไว้ สไปค์อ่านออกได้ไม่หมดทุกคำ เพราะเขาได้เรียนหนังสือมาน้อยมากจนบางคำก็ไม่รู้เรื่องว่ามันหมายถึงอะไร จนซิลเวอร์ได้อธิบายให้เขาฟังว่ากระดาษแผ่นนั้นมีเนื้อหาอะไรเขียนอยู่บ้าง
“การสอบวัดเกรดน่ะ ไม่จำเป็นจะต้องสอบเป็นขั้นบันได นายสามารถเริ่มสอบที่เกรด 8 ในครั้งแรกเลยก็ได้ แต่นั่นหมายถึงว่านายจะต้องผ่านให้ได้เท่านั้น เพราะสิทธิในการสมัครสอบมันมีข้อจำกัดอยู่ หากยิ่งเกรดสูงมากเท่าไหร่การสอบก็ยิ่งยาก และต้องเตรียมของที่ทางผู้สมัครสอบต้องการมายื่นให้ทุกครั้งด้วย จึงจะมีสิทธิ์ได้สอบ”
“สิ่งของที่ต้องการ?”
“ใช่ ตามหลักแล้วก็จะคิดถึงเงินกันใช่ไหมล่ะ ถ้าเกรดลำดับแรก ๆ ก็จะใช้แค่เงินนั่นแหละ แต่พอขึ้นเกรดที่สูงขึ้นจะต้องรับภารกิจที่ทางผู้คุมสอบมอบให้ เป็นภารกิจตามหาวัตถุดิบ ซึ่งผู้สมัครจะต้องตามหารายชื่อวัตถุดิบที่ถูกลิสต์มาจนครบแล้วนำมายื่นให้จึงจะมีสิทธิ์ได้สอบสักครั้ง ไงล่ะ ฟังดูยากหรือง่าย? ข้าจะบอกก่อนนะว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างนี่หายากเป็นรองแค่สิ่งของระดับตำนานเท่านั้นล่ะ” ซิลเวอร์ถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดต่อไป “เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าพึ่งจะสอบเกรด 2 ไป ก็ใช้ค่าสมัครแค่เงินก็จริงแต่สุดท้ายก็ไม่ผ่านอะนะ เพราะการสอบมันยากสุด ๆ ไปเลย นี่ข้าไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าการสอบเกรด 8 จะยากขนาดไหน คิดแค่ว่าจะหาค่าสมัครสอบมาได้หรือเปล่า แค่นั้นแหละ”
“และต่อให้ผ่านเกรด 8 ไปได้ ก็ไม่แน่ว่าจะได้ใกล้ชิดกับคนระดับเจ้าตำหนักได้อยู่ดี...จะบอกอย่างงั้นสินะ” ฟาร์ชูลันพูดแทรกบทสนทนาเข้ามา ซิลเวอร์ชี้นิ้วไปที่เธอก่อนจะกระดกปลายนิ้วขึ้นเหมือนพึ่งยิงกระสุนปืนออกไป
“ปิ๊งป่อง! ตามนั้นเลย นี่แค่ยกตัวอย่างความยากลำบากในการเข้าใกล้เจ้าตำหนักนะ ดังนั้นเลิกหวังซะเถอะ ต่อให้เป็นคนรู้จักของเจ้ามาก่อนแต่ก็ต้องยอมรับนะว่าถ้าอยู่ที่นี่ เจ้ากับเธอคนนั้นไม่มีทางได้ใกล้ชิดกันแน่ เพราะระดับต่างกันมาก”
สไปค์เงียบไปทันทีเมื่อได้ฟังเรื่องที่ซิลเวอร์พูดมา เขาไม่พูดอะไรทั้งสิ้นจนกระทั่งจบคลาสเรียนในวันนี้...
ดวงอาทิตย์สีส้มฉายแสงยามเย็นลงมา แดดแก่ ๆ เช่นนี้ช่างให้ความรู้สึกสงบและชวนเหงาอย่างน่าประหลาด สไปค์ผู้ยืนอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ใกล้หอพักถึงกับเหม่อลอยไม่ขยับเคลื่อนที่เลยสักนิด ในใจเขารู้สึกสับสนและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ อาจเพราะเดิมทีเป้าหมายในการเดินทางมาที่นี่คือเพื่อตามหาเบาะแสที่จะค้นหาตัวฟลอร์เลนให้เจอ แต่พอมาถึงได้ไม่ทันไรกลับได้เจอแล้ว เจอแบบง่าย ๆ แต่เจอง่ายแล้วยังไง เจอแล้วทำอะไรได้บ้าง คำตอบคือทำอะไรไม่ได้เลย
มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ผู้ที่มองเขามาตั้งแต่เมื่อครู่คือหญิงสาวที่เดินทางมาที่นี่พร้อมกัน ความจริงฟาร์ชูลันก็พอจะสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของสไปค์และพอจะเดาออกได้ว่าเขาคงเคยมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับฟลอร์เลนในสมัยก่อนแน่ ๆ
“จำได้ไหม ฉันเคยบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับนาย” ยังไงก็คงต้องทำลายความเงียบนี้ให้ได้เสียก่อน ฟาร์ชูลันจึงเปิดประเด็นพูดออกมา สไปค์เหมือนพึ่งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงของเธอ
เสียงนกน้อยบนต้นไทรดังระงมคล้ายกำลังบรรเลงบทเพลง น่าแปลกที่เสียงดังขนาดนี้ทั้งคู่กลับไม่รับรู้ไปเสียได้
“ฉันคือแม่มดแห่งดินแดนเอทาเนียร์ ความจริงฉันมีภารกิจหลักสองอย่างในการเดินทางมาที่นี่ หนึ่งคือตามหาของบางอย่าง ส่วนอีกหนึ่งคือ...” เธอเว้นช่วงจังหวะการพูดเอาไว้ พ่นลมหายใจออกมาก่อนจะกล่าวต่อ “...เป็นผู้พิทักษ์ให้กับคนบางคน”
“หมายความว่าไง”
“แม่มดหรือพ่อมดอย่างพวกเราเมื่อเติบโตขึ้นในวัยเตรียมจะบรรลุนิติภาวะจะต้องผ่านบททดสอบมากมาย ซึ่งตัวฉันได้รับบททดสอบในการเป็นแม่มดผู้พิทักษ์ให้กับคนบางคนที่มีปราณสีม่วงเข้ม หน้าที่ของฉันคือปกป้องคน ๆ นั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” สไปค์เบิกตากว้างขึ้นกะทันหันเมื่อได้ฟังประโยคเมื่อครู่
“ปราณสีม่วงเข้มนี่มัน...”
“ใช่ คือสไปค์แห่งหุบเขาวาตะ นายนั่นเอง”
“เดี๋ยว ทำไมถึงเป็นข้าล่ะ?”
“ไม่รู้สิ ก็คำสั่งมันมาแบบนั้น ฉันก็คงต้องทำตาม นี่ก็ไม่นึกหรอกว่าจะได้เจอตัวเร็วขนาดนี้”
“......”
“แต่ว่า...” ฟาร์ชูลันเงียบไปเหมือนกำลังพินิจพิจารณา “ต่อให้เป็นคำสั่งของผู้นำตระกูล แต่ฉันก็ยังไม่อยากรีบด่วนตัดสินใจ ถ้านายทำตัวไม่เหมาะสม ฉันจะขอยื่นเรื่องเปลี่ยนภารกิจเสียใหม่”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” สไปค์เผยรอยยิ้มออกมา นั่นทำให้ฟาร์ชูลันถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปทันที
“อะไรคือไอ้ ‘อ๋อ อย่างนี้นี่เอง’ นั่นน่ะ?”
“อ้าว ก็หมายความว่าตกลงตามนั้นไง”
“นี่ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงหรือขัดเคืองอะไรสักหน่อยเหรอ?”
“ไม่นี่ ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ” คำตอบของสไปค์ค่อนข้างเกินความคาดหมายไปมาก
อย่างไรก็ตาม คำตอบของสไปค์เมื่อครู่ทำเอาฟาร์ชูลันสับสน เธอไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรพูดอะไรต่อ ท้ายที่สุดจึงบอกลาแล้วหันกลับหลังเดินไปทางหอพักนักเรียนหญิง ปล่อยให้สไปค์ยืนอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่เพียงลำพัง ชายหนุ่มยังคงใช้เวลาอยู่ตรงนั้นสักพักก่อนที่จะเดินกลับหอพักตัวเอง
ในหอพักนักเรียนหญิง แม้จะดูโอ่อ่ากว้างขวางและสะอาดกว่าหอพักนักเรียนชาย แต่ก็มีนักเรียนหญิงจำนวนมากที่เลือกจะออกไปอยู่หอนอกใกล้ ๆ กับสถาบันเพราะต้องการอิสรภาพในการเคลื่อนไหวมากกว่า แต่ฟาร์ชูลันที่อยู่ห้องพักเดี่ยวและไม่ค่อยนิยมออกไปข้างนอกอยู่แล้วนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่
เธอทิ้งตัวลงนอนแผ่กับเตียงที่ปูด้วยฟูกอ่อนนุ่ม ผิวฟูกยุบลงตามน้ำหนักกาย หญิงสาวเอามือก่ายหน้าผากปิดบังดวงตากลมโตคู่นั้นไว้ ในหัวพลันนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นฉาก ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง
เธอนึกถึงคำที่ตัวเองพูดออกมา
ถ้านายทำตัวไม่เหมาะสม ฉันจะขอยื่นเรื่องเปลี่ยนภารกิจเสียใหม่
“ไอ้เรื่องแบบนั้น...” เธอครุ่นคิด และส่งเสียงในใจออกมาสู่ภายนอก “ทำได้ที่ไหนกัน”
ชะตาของแม่มดค่อนข้างเจาะจง และตายตัว...หากพวกเธอได้รับภารกิจมาเมื่อไหร่ ต่อให้ต้องตายก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ มันคือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรอื่น ไอ้เรื่องจะขอเปลี่ยนภารกิจให้เป็นอื่นนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นในชีวิตผู้ใช้เวทมนตร์อย่างพวกเธอ
ดังนั้นประโยคที่ว่า ‘จะขอยื่นเรื่องเปลี่ยนภารกิจเสียใหม่’ จึงเป็นเพียงคำลวงที่เธอต้องการพูดเพื่อทดสอบปฏิกิริยาอีกฝ่ายเท่านั้น
ทว่า...ปฏิกิริยานั้น
ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ
รอยยิ้มบาง ๆ พร้อมกับคำพูดที่ตอบออกมาอย่างไม่ลังเล
เธอสัมผัสได้ว่าชั่วขณะนั้นหัวใจของตนเองสั่นไหวขึ้นมากะทันหัน เป็นความรู้สึกสับสนทางใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เธอไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยคิดว่าจะมีวันได้รู้สึกถึงอะไรแบบนี้
หญิงสาวพลิกตัวคว่ำลง มุดหน้าลงกับหมอนหนุน ปล่อยให้ความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นมาจมหายลงไปในนั้น
ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองคนเดินทางมาเรียนที่ห้องเรียนเดิมอีกครั้ง ต่างกันตรงที่ครั้งนี้สไปค์ไม่ได้เดินมาคนเดียว แต่เดินมาพร้อมกับซิลเวอร์ที่อยู่หอพักเดียวกัน ห้องตรงกันข้าม เป็นเรื่องที่บังเอิญจริง ๆ ส่วนฟาร์ชูลันนั้นเดิมทีเข้ากับคนง่ายอยู่แล้ว เธออยู่ที่ห้องเดี่ยวก็จริงแต่ก็ยังไปทักทายนักเรียนที่พักห้องอื่นอยู่บ้าง ทำให้เธอได้รู้จักกับใครหลายคนมากมายจนมีคนเดินมาห้องเรียนด้วยกันกับเธอหลายคน
ทั้งสองคนเจอกันหน้าห้องเรียน สบตากัน สไปค์โบกมือทักทายตามปกติ ส่วนฟาร์ชูลันที่ยังคงนึกถึงเรื่องเมื่อวานกลับยังแสดงอาการปกติตามธรรมชาติออกมาไม่ได้ เธอยกมือขึ้นทักทายกลับเพียงนิดเดียวก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าห้องอย่างไว ซิลเวอร์ซึ่งเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างถึงกับผิวปากวี้ดวิ้วออกมา
“เฮ้ ช่วงที่ข้าไม่อยู่ เจ้าไปทำอะไรเธอเข้ากันล่ะ” ซิลเวอร์ถามอย่างสนอกสนใจ แต่สไปค์กลับงงในคำถามนั้น
“ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ คุยกันตามปกติ”
“อ้อเหรอ” ซิลเวอร์ทำหน้าไม่เชื่อถือ แต่ก็จนใจจะถามต่อเพราะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว
ในคาบเรียนวันนี้ค่อนข้างต่างจากเมื่อวาน ไม่ได้ต่างที่บทเรียน แต่ต่างตรงที่มีคนจำนวนมากมารุมล้อมอยู่นอกห้อง และสอดส่องสายตาเข้ามายังห้องเรียนข้างใน พอสังเกตดี ๆ ก็รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังมองมาทางเดียวกัน นั่นก็คือสไปค์กับฟาร์ชูลัน สไปค์ตอนแรกไม่ได้รู้สึกตัวถึงเรื่องนี้ แต่พอฟาร์ชูลันพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นก็เริ่มทำให้เขาสังเกตเห็นคนรอบข้างขึ้นมา
เริ่มมีเสียงแว่วขึ้นมาจากนอกห้องว่า
‘นั่นน่ะเหรอสองคนที่ผ่านเข้ามาในเกณฑ์ที่ไม่เหมือนคนอื่น’
‘เจ้าผู้ชายนั่นท่าทางดูอ่อนแอชะมัด’
‘เฮ้ ๆ ได้ข่าวว่าเจ้าผู้ชายนั่นน่ะสามารถโค่นล้มทีก้าลงด้วยการจู่โจมครั้งเดียวเลยนะ!’
‘บ้าน่ะ ทีก้าคนนั้นน่ะเรอะ?’
คนที่ถูกกล่าวถึง หรือทีก้านั้น ดูเหมือนจะเป็นชื่อของชายผมทองที่สไปค์ประลองด้วยเพื่อให้ตัวเองผ่านการสอบเข้าเรียนที่นี่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม กระแสการพูดไม่ได้หมายรวมแค่เขาคนเดียว ยังรวมถึงฟาร์ชูลันที่มีข่าวลือหนาหูออกไปว่าแท้จริงแล้วเธอก็คือแม่มดแห่งเอทาเนียร์อันลึกลับ หลายคนต่างมอบความสนใจให้เธอมากขึ้น เพราะเมื่อได้มาเห็นตัวจริงที่มีใบหน้าสะสวยก็ยิ่งอยากเข้ามาทำความรู้จักด้วย
ส่วนสไปค์นั้นจะเป็นเชิงเหน็บแนม ดูถูก ดูแคลนเสียมากกว่า...
พอจบคลาสเรียนแล้วทั้งสไปค์กับฟาร์ชูลันก็ออกจากห้องเรียน ซิลเวอร์นั้นรู้สึกถูกชะตากับทั้งคู่ตั้งแต่วันแรกจึงขอตามมาด้วย ทั้งสามคนเดินทางไปที่โรงอาหารของสถาบันเพื่อจะพักกินอาหารเที่ยงก่อนจะเริ่มเรียนต่อในคลาสเรียนช่วงบ่าย ซิลเวอร์นั้นมีข้อสงสัยหลายอย่างมากมาย เขาเองก็ได้รับข่าวลือเรื่องพวกนี้มาบ้าง และจากการที่ลอบถามไปหลายอย่างก็ได้รู้ว่าข่าวลือหลายอย่างนั้นมีทั้งความจริงและไม่จริง ส่วนมากที่ไม่จริงจะมาจากเรื่องที่นักเรียนคนอื่น ๆ กุข่าวโคมลอยขึ้นแล้วปล่อยออกไปอย่างสนุกสนาน
“จริงเหรอเนี่ย เธอคือแม่มดตัวจริงเสียงจริงสินะ”
“อื้อ อยากขอลายเซ็นต์มั้ยล่ะ” ฟาร์ชูลันตอบซิลเวอร์ด้วยรอยยิ้มแสยะ
“เอาสิเอา! น่าตื่นเต้นชะมัด เกิดมาพึ่งเคยเห็นแม่มดตัวจริงก็ครั้งนี้แหละ” คำพูดของซิลเวอร์ดูดีใจเกินกว่าที่คาดไว้มาก ความจริงแล้วเรื่องลายเซ็นเป็นเรื่องที่ฟาร์ชูลันตอบเชิงประชดไปต่างหาก
“ว่าแต่...เราจะถูกจ้องอีกนานมั้ยนะ” เป็นสไปค์ที่พูดแทรกเข้ามา
ทั้งสามคนนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โรงอาหารอย่างสงบเงียบ...นั่นคือสิ่งที่ทั้งสามคนคิด แต่ความจริงคือมีสายตามากมายจ้องมาทางทั้งสามคนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ถ้ามันถึงขนาดนี้แล้วแม้จะเป็นสไปค์ที่รับรู้เรื่องพวกนี้ช้าก็ยังสามารถรับรู้และมองเห็นได้ ทั้งสามคนไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้จึงได้แต่นั่งกินข้าวไปเงียบ ๆ
กระทั่งมีคน ๆ หนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับคนอีกสี่คน แววตาของชายคนนั้นเกรี้ยวกราดและดุดัน จ้องเขม็งมายังทั้งสามคน เรือนผมสีทองตัดสั้นอันแสนคุ้นเคย ร่างกายที่ดูกำยำอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ นี่คือคนที่ประลองกับสไปค์ในวันสอบเข้าเรียน ทีก้าที่อยู่ในข่าวลือว่าโดนสไปค์อัดลงภายในหนึ่งกระบวนท่า
มองดูก็รู้ว่าเขายังคงโกรธแค้นเรื่องเมื่อวันสอบไม่หาย...
“สุขสบายใจจริงนะพวกแก” ทีก้ากล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว พลางจ้องมองไปยังสไปค์ไม่วางตา
“อ้าว ว่าไง ถ้าไม่ได้เจ้าข้าก็คงไม่ได้เข้ามาเรียนที่นี่ ขอบคุณนะ”
“อย่ามาตลกนะโว้ย! ไอ้บ้านี่ เดี๋ยวข้าจะอัดแกให้รู้สำนึกซะเดี๋ยวนี้แหละ!”
ทีก้าเหลืออดกับท่าทางคำพูดของอีกฝ่าย และไม่รอให้เสียเวลา เขาอัดปราณเข้าที่ฝ่ามือกระแทกเข้าไปที่พื้นโต๊ะอาหาร ส่งแรงกระแทกกระจายออกเป็นวงกว้าง แต่ทั้งที่แรงกระแทกของปราณหนักหน่วงขนาดนั้น โต๊ะอาหารกลับไม่มีร่องรอยความเสียหายเลย นั่นเป็นเพราะกระแสปราณสายหนึ่งกำลังยับยั้งพลังปราณของทีก้าเอาไว้อยู่
ปราณสีม่วงเข้มกระจายตัวออกจากร่างของสไปค์ ต้านทานการจู่โจมของปราณหมาป่าของทีก้าเอาไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เมื่อถูกต้านทานการจู่โจมเอาไว้ได้ ทีก้ากลับรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเหยียดหยาม เพราะอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองดูเขาเลยสักนิด
“ดูถูกกันเกินไปแล้ว! พวกเรา ลุยเลย!” เขาส่งเสียงเรียกให้พรรคพวกเคลื่อนไหว แล้วในขณะนั้นเองโต๊ะของสไปค์ก็ถูกรุมล้อมไปด้วยคนจำนวนห้าคน ทั้งหมดต่างก็เปล่งพลังปราณออกมาครอบคลุมไว้ทั่วทั้งร่าง สไปค์ ซิลเวอร์ ฟาร์ชูลันต่างก็ลุกขึ้นมองดูกลุ่มคนเหล่านั้น
“ฮ่า ๆ คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่มาอยู่กับพวกเจ้า มีเรื่องสนุกแบบนี้ด้วย” ซิลเวอร์หัวเราะพลางกล่าวออกมา
“ฉันไม่สนุกด้วยหรอกนะ คนกำลังกินข้าว ไม่ยกโทษให้แน่” กลับเป็นฟาร์ชูลันที่มีสีหน้าถมึงทึง บรรยากาศรอบกายเธอค่อย ๆ เปลี่ยนไป กระแสลมเริ่มปั่นป่วนรุนแรงหนักขึ้นจนทีก้านึกถึงภาพในวันสอบครั้งนั้น แต่มาถึงจุดนี้แล้วจะให้ถอยก็ไม่ได้ เขาพยายามฝืนรั้งร่างกายตัวเองให้ยืนหยัดกับพลังเวทมนตร์ของฟาร์ชูลัน แม้ว่าพวกพ้องรอบข้างจะเริ่มสั่นกลัวแล้วก็ตาม
“หยุดแค่นั้นแหละ” ทว่ามีมือหนึ่งยื่นเข้ามาขวางหน้าฟาร์ชูลันเอาไว้ เป็นสไปค์นั่นเองที่แทรกเข้ามากะทันหัน
“นี่เป็นเรื่องของข้า เจ้าสองคนห้ามยุ่ง โดยเฉพาะเจ้า ฟาร์ชูลัน”
“ว่าไงนะ?” หญิงสาวมีสีหน้าปนความสงสัย
“ให้ข้าจัดการเองเถอะ” สไปค์ก้าวเท้าออกมายืนข้างหน้าทั้งสองคน
ภาพแผ่นหลังของสไปค์ที่ฟาร์ชูลันมองเห็น ปราณสีม่วงเข้มที่กำลังไหลทะลักออกมา ไม่รู้ทำไมถึงได้ฉุดหัวใจของเธอให้เต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง...