บทที่ 5 แม่มดน้อยแห่งเอทาเนียร์
บทที่ 5 แม่มดน้อยแห่งเอทาเนียร์
ในยุคสมัยปัจจุบัน การพบเห็นสัตว์มายาลึกลับหลายชนิด หลายเผ่าพันธุ์ ล้วนไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลย ไม่ว่าใครต่างก็มองเห็นได้จากหน้าต่างบ้าน เดินอยู่ในป่า ว่ายน้ำอยู่ในแม่น้ำ หรือจะจุดใดบนโลกก็มองเห็นได้ทั้งนั้น เสมือนว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นกลายเป็นเพียงสัตว์โลกธรรมดาไม่ได้อยู่ในฐานะของสัตว์มายาอีกต่อไปแล้ว
แต่มองเห็นได้ ก็ใช่ว่าจะสัมผัสได้ทั้งหมด เหล่าสัตว์มายาแทบทุกเผ่าพันธุ์มีนิสัยที่คล้ายคลึงกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “ความขี้อาย” หรือ “ความระแวดระวัง” เพราะเมื่อใดที่ถูกมนุษย์พบเห็น พวกมันจะรีบวิ่งแจ้นหนีไปทางอื่นเพื่อหลบเลี่ยง ส่วนหนึ่งก็คือความขี้อาย อีกส่วนหนึ่งก็คือสัญชาตญาณระวังภัยโดยธรรมชาติ
หากพูดถึงม้ายูนิคอร์นคงไม่มีใครไม่รู้จัก แม้จะกล่าวชัดว่ามีเพียงหญิงสาวบริสุทธิ์เท่านั้นที่มันยอมให้เข้าใกล้ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดนั้นหรอก เพราะจากปากคำที่ฟาร์ชูลันเล่าให้สไปค์ฟังมาระหว่างทาง ดูเหมือนว่ายูนิคอร์นเองก็เลือกหญิงที่ยอมให้สัมผัสอยู่เหมือนกัน
“ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่ามันก็คือม้าขี้หลีดี ๆ นี่เอง” สไปค์กล่าวเบา ๆ แต่เหมือนเจ้ายูจะได้ยินเสียง มันพ่นลมหายใจเข้าออกให้เกิดเสียงดังขึ้นจังหวะหนึ่ง แสดงออกถึงความไม่พอใจเล็ก ๆ
“เดี๋ยวเถอะ แค่มันยอมให้ผู้ชายอย่างนายขึ้นขี่บนหลังได้นี่ก็ประหลาดมากละนะ” ฟาร์ชูลันรีบเอามือลูบไปที่หลังคอของยูราวกับจะปลอมประโลมให้มันรู้สึกสบายใจขึ้น
“ว่าแต่เราจะไปถึงในอีกกี่ชั่วโมงกันเนี่ย” แม้ยูนิคอร์นจะสามารถวิ่งควบไปได้ด้วยความเร็วสูงไม่แพ้แท็กเซียร์ก็ตาม แต่เพราะอย่างงั้นล่ะถึงได้สงสัยว่าเมื่อไหร่จะถึงสักที
“ข้างหน้านี่แหละ ใกล้จะถึงแล้ว”
“ว่าไงนะ ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“จักรวรรดิซีคือเมืองหลวงของโลกนะ ถ้าหากเปิดเผยตัวตนเด่นชัดก็ถูกเผ่ามารบุกจู่โจมกันเข้าพอดี เพราะแบบนั้นเลยถูกตั้งโปรแกรมสร้างภาพจำลองมายาเอาไว้ ธรรมดาจะมองไม่เห็นหรอก” ฟาร์ชูลันกล่าว สไปค์เริ่มตามไม่ทัน
“ภาพจำลอง? มองไม่เห็น? มันคืออะไรล่ะนั่น”
“โอ๊ย ขี้สงสัยจริง ๆ เดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ” ฟาร์ชูลันรีบควบคุมให้เจ้ายูวิ่งไปไวขึ้น จริง ๆ ตอนนี้ทั้งคู่กำลังควบอยู่บนอากาศ ส่วนสาเหตุที่ลอยอยู่บนอากาศได้ยังไง เรื่องนี้สไปค์ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนเจอกับชูปาคาบราทั้งสองก็ลอยตัวอยู่บนอากาศ แต่ยูนิคอร์นนี่ลอยได้ด้วยเหรอ นั่นมันควรจะเป็นเพกาซัสมากกว่ามั้ยนะ แต่ว่าช่างมันเถอะ
แม้จะยังคลายความสงสัยไม่ได้ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ซักไซ้ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะรำคาญที่ต้องคอยมาตอบคำถามตลอด
“ถึงแล้ว” ในที่สุดเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นในโสตประสาทรับรู้ของสไปค์ และไม่รอให้เขาพูดอะไร ฟาร์ชูลันก็ควบม้ายูนิคอร์นพุ่งเข้าไปในผิวอากาศอันว่างเปล่าเบื้องหน้า เมื่อร่างของทั้งสามจมหายเข้าไปก็บังเกิดระลอกคลื่นคล้ายน้ำหยดตรงผิวอากาศ สไปค์มีความรู้สึกว่าตนเองหล่นลงไปในแม่น้ำเพียงเสี้ยววินาที แล้วบรรยากาศรอบกายก็เปลี่ยนไปทันควัน
ก่อนหน้านี้ยังเป็นพื้นดิน ป่าไม้ และทุ่งหญ้าอยู่เลย ตอนนี้กลับเป็นภาพของเมืองใหญ่เมืองหนึ่งที่คับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาเสียแล้ว ทิวทัศน์ของเมืองไม่ได้จัดว่าสวยงาม แต่นับว่าเป็นภาพที่แปลกประหลาดเกินพอที่ชาวบ้านในหุบเขาวาตะจะตกอยู่ในภวังค์เพียงชั่วครู่
ตึกสูงใหญ่มากมาย อาคารหลายหลังเรียงต่อกันเป็นทอด มียานบินน้อยใหญ่ลอยลำไปมาอยู่เบื้องบน ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นก็มีลูกโป่งขนาดยักษ์ (ภายหลังรู้มาว่านั่นคือบอลลูน) ลอยนิ่งอยู่กับที่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีไว้เพื่ออะไร และผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมากลับไม่ได้มีเพียงแค่มนุษย์เท่านั้น กลับยังมีเผ่าพันธุ์มายาอื่น ๆ ปะปนไปทั่วราวกับเป็นเรื่องปกติ และที่สำคัญคือไม่มีใครแยแสเรื่องนี้เลย ราวกับการอยู่ร่วมกันหลายเผ่าพันธุ์จะเป็นเรื่องปกติของที่นี่
“สถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่ง อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ จะไปเลยมั้ย”
“แน่นอน”
ยูนิคอร์นสีขาวส่งเสียงร้องขึ้นจนสะเทือนผิวอากาศ มันยกขาหน้าขึ้นชูชันก่อนจะวิ่งพุ่งไปบนผิวอากาศอีกครั้ง ผู้คนที่พบเห็นต่างแสดงสีหน้าตื่นตะลึงอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ และฟาร์ชูลันมั่นใจว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ตื่นตะลึงที่ได้เห็นยูนิคอร์น แต่น่าจะตื่นตะลึงจากการได้เห็นผู้ชายนั่งอยู่บนหลังของมันมากกว่า
แม้จะได้ยินเสียงแซ่ซ้องดังมาได้ใจความประมาณว่า “นั่นมันผู้ชายไม่ใช่เหรอ” “หรือจะเป็นทอม” “ดูกล้ามนั่นสิ” ไล่หลังตามมาแต่ทั้งคู่ก็หาได้สนใจ ทั้งยังแอบขำเบา ๆ ด้วยซ้ำไป
ในที่สุดก็ถึงจุดหมายสักที จุดลงทะเบียนนักเรียนใหม่จะตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าสถาบันฝึกปราณ มีลักษณะเป็นอาคารเดี่ยว ความกว้างประมาณหกเมตร มีห้องเชื่อมเข้าไปอีกสองห้องรวมเนื้อที่ห้องละหกเมตรเช่นกันกับห้องหลัก ด้านหน้าอาคารมีการตั้งโต๊ะประชาสัมพันธ์พร้อมติดป้ายดิจิตอลตัวหนังสือหนาเตอะว่า “รับสมัครนักเรียนใหม่เข้าศึกษาที่สถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่ง”
หลังโต๊ะปูนเปลือยทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งเคียงกัน ทั้งคู่สวมชุดเรียบร้อย เสื้อคอปก กางเกงสแล็ค ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ดูเป็นต้นฉบับของพนักงานต้อนรับที่ดี สไปค์กับฟาร์ชูลันเดินเข้าไปหาทั้งคู่ก่อนจะบอกว่ามาสมัครเรียน สไปค์หยิบจดหมายที่หัวหน้าหมู่บ้านเขียนยื่นให้กับพนักงานทั้งสองคน พอพนักงานอ่านเสร็จก็ทำหน้างงก่อนจะบอกกับสไปค์ว่า “เดี๋ยวรอแปปนึงนะ”
พนักงานผู้ชายยืนขึ้นหันหลังเดินกลับเข้าไปในอาคาร พนักงานผู้หญิงเห็นแบบนั้นก็เลยหันมาคุยกับฟาร์ชูลันที่ยังว่างเว้นอยู่ทันที
“ทางนี้ก็มาสมัครเรียนเหมือนกันใช่มั้ยคะ”
“อ้อ ใช่ค่ะ” พนักงานหญิงทำท่าจะยื่นใบสมัครให้เซ็นต์ แต่ฟาร์ชูลันกลับทำแบบเดียวกับสไปค์ เธอเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบเอาซองจดหมายที่ดูเป็นทางการมากกว่าของสไปค์ออกมา และยื่นให้กับพนักงานหญิงฝั่งตรงข้าม
“เอ่อ...รอแปปนึงนะคะ” พนักงานหญิงรับจดหมายมาอ่านทันที
ตามปกติแล้วการสมัครเข้าเป็นนักเรียนของที่นี่จะต้องกรอกใบสมัครทิ้งไว้และรอวันที่จะโดนเรียกเข้าไปทดสอบ ซึ่งกำหนดการก็ไม่ได้มีระบุชัดเจนว่าจะเรียกเมื่อไหร่ ดังนั้นใจความจดหมายของทั้งสไปค์และฟาร์ชูลันจึงเขียนขึ้นมาเพื่อเร่งกำหนดการตรงส่วนนี้ให้ด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทางของสไปค์เป็นลายมือของหัวหน้าหมู่บ้านเผ่าวาตะ ซึ่งดูเหมือนว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะเคยรู้จักมักจี่กับจักรพรรดิคนปัจจุบันมาแต่กาลก่อน เลยคิดว่าน่าจะใช้เส้นสายทางนี้ได้
ไม่นานนักพนักงานหญิงก็ขอตัวเดินเข้าไปข้างในเช่นเดียวกับพนักงานผู้ชาย เวลาผ่านไปประมาณสิบนาทีทั้งคู่ก็เดินออกมาพร้อมกัน แต่ไม่ได้ออกมาแค่สองคน ด้านหลังของทั้งคู่มีเงาร่างใหญ่ยักษ์เดินตามมาด้วย เจ้าของร่างคือชายวัยกลางคนรูปกายสูงใหญ่ ใบหน้ามีริ้วรอยพอให้เห็นบ้างประปราย ดวงตาคมเข้มรับกับคิ้วเรียวหนา สีฟ้าของดวงตาจับจ้องไปยังใบหน้าของฟาร์ชูลันและสไปค์โดยไม่หวั่นเกรง ความองอาจที่แผ่ออกมาช่างชวนให้รู้สึกขนลุก
“ตามข้ามา” เขาพูดสั้น ๆ ก่อนจะหันหลังนำทางเข้าไปข้างในอาคาร และไม่รอช้า สไปค์กับฟาร์ชูลันก็เดินตามเข้าไปอย่างว่าง่ายทันที
“เจ้าคือทายาทคนล่าสุดของเอนด์เลสงั้นรึ” ชายคนนั้นเอ่ยถามฟาร์ชูลันโดยไม่หันหน้ากลับมามอง
“ใช่ค่ะ”
“ส่วนเจ้า...ในจดหมายของเจ้าค่อนข้างมีเนื้อหาที่แปลก เจ้าไม่ได้มีปราณมังกร แต่ในเนื้อหากลับระบุปราณแปลก ๆ ของเจ้า ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่ามันจะใช้การได้มากแค่ไหน” คราวนี้เป็นทีของสไปค์ที่จะถูกถามบ้าง แต่กลับกันที่ชายร่างยักษ์คนนั้นหันศีรษะมามองเขาในขณะที่พูดออกมา
“เพราะความเพี้ยนของจดหมาย...อย่างน้อยข้าจะขอพิสูจน์ก่อนว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าไปเรียนที่สถาบันได้หรือเปล่า”
“ทดสอบข้าเหรอ?” สไปค์ถามกลับ
ชายร่างยักษ์ไม่ตอบอะไร เพียงแสดงรอยยิ้มแสยะขึ้นเพียงชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น
เขาเดินนำทั้งสองคนเข้าไปจนถึงใจกลางห้องหลักของอาคาร ทั้งคู่ต้องประหลาดใจเมื่อข้างในห้องกลับเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาเต็มไปหมด มีทั้งเด็กกว่า แก่กว่า ผู้หญิง ผู้ชาย หรือกระทั่งเพศที่สามก็ยังมีปรากฏให้ได้เห็น ชายร่างยักษ์นำทางทั้งสองคนไปยังจุด ๆ หนึ่งและพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “รอตรงนี้”
“ท่านมาร์ติน สองคนนั้นคือ?”
“เด็กเส้นน่ะ ทั้งคู่จะเข้ารับการทดสอบเข้าสถาบันด้วย”
จบประโยคเท่านั้น เสียงโห่ก็ดังขึ้นไล่หลัง มีคำว่าเด็กเส้นเหรอมั่งล่ะ ไม่ยุติธรรมมั่งล่ะ แม้มาร์ตินจะพูดตรงไปตรงมาเหมือนต้องการจะเสียดแทง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องการให้มีบรรยากาศไม่สงบเช่นนี้เกิดขึ้น เขาใช้สายตาเพ่งมองดูกลุ่มคนจำนวนมากทุกคน ตาเขม็งคู่นั้นช่างเกรี้ยวกราดดุดัน ส่งผลลัพธ์ให้ทั้งห้องเงียบสงบลงทันใด
“ตาลุงนั่น...ประกาศโท่ง ๆ ว่าพวกเราเป็นเด็กเส้นเลยเหรอเนี่ย แบบนี้ก็เป็นเป้าเด่นเลยสิ” ฟาร์ชูลันกล่าวอย่างเอือมระอา
“ฮ่ะ ๆ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เจอมานานแค่ไหนแล้วนะ” ขณะที่พูดก็นึกถึงช่วงวัยเด็กเมื่อตอนที่ตัวเองถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียวจากเพื่อนวัยเดียวกัน แต่สไปค์กลับไม่มีความเศร้าส่อแววออกมาจากใบหน้า เขาหัวเราะเสียด้วยซ้ำไป
“ว่าไง เด็กเส้นทั้งสอง” จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาระหว่างกลางของทั้งคู่ เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มหัวทองผมตั้ง ใบหน้าท่าทางแข็งกร้าวดุดัน สีหน้าไม่เป็นมิตรฉายแววออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ต่อให้ใช้เส้นผ่านเข้ามาตรงรอบทดสอบนี่ได้ แต่ก็ต้องจอดแค่นี้ล่ะวะ ถ้าพวกแกไม่มีอะไรดีพอ โดยเฉพาะแก” เขาหันไปมองทางสไปค์เป็นสายตาเดียว “ใบหน้าท่าทางอ่อนแอแบบแก ข้าล่ะชอบนัก ชอบที่จะเห็นมันตกลงไปในหลุมแห่งความพ่ายแพ้จนปีนขึ้นมาอีกไม่ได้!” เขาหัวเราะคิกคักเบา ๆ และแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ
“เอ่อ...นายเป็นใครกัน” สไปค์ถามกลับด้วยสีหน้าที่บรรยายความรู้สึกออกมาไม่ได้ บางทีเขาอาจจะกำลังเอือมระอาชายผมทองคนนี้อยู่
“ข้า? ข้าก็คือท่านคีเนซิสผู้โด่งดังยังไงล่ะ ตัวเต็งของการทดสอบก็ข้านี่แหละจำไว้ด้วย”
“โลกภายนอกมีแต่คนแบบนี้เต็มไปหมดเลยเหรอ ฟาร์ชูลัน”
“จริง ๆ ฉันก็พึ่งจะเคยเจอคนแบบนี้นี่แหละ”
“เฮ้ย อย่าเมินนะโว้ย เดี๋ยวพวกแกเจอดีแน่”
“ตรงนั้นน่ะ เงียบหน่อย!”
ทั้งสามคนเงียบทันที แล้วการทดสอบก็เริ่มต้นขึ้น
การทดสอบก่อนเข้าศึกษาที่สถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่งจะมีเกณฑ์วัดอยู่สามข้อ นั่นก็คือ
1.ปริมาณของปราณ
2.ทักษะกระบวนยุทธ์
3.ฝีมือโดยรวมของผู้ใช้
โดยการทดสอบแรกจะเป็นการวัดปริมาณของปราณว่ามีมากน้อยแค่ไหน หากผ่านเกินเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ก็จะสามารถเข้าสู่การทดสอบรอบถัดไปได้ วิธีการทดสอบก็ไม่ยาก ทางผู้จัดสอบได้เตรียมเครื่องมือสำหรับวัดระดับพลังไว้แล้ว มันเป็นเครื่องทรงสี่เหลี่ยมที่มีแผงสีดำเรียบตั้งอยู่ด้านบน เพียงแค่ผู้ทดสอบเอามือข้างไหนก็ได้ลงไปสัมผัสกับจุดที่วงไว้ตรงแผงก็จะเริ่มคำนวณระดับของพลังปราณทันที
ในการทดสอบนี้มีผู้ที่สอบตกไปเยอะพอควร หลายคนเชื่อมั่นว่าตัวเองแข็งแกร่งเพียงพอแต่กลับไม่มีปริมาณของปราณที่เหมาะสมพอจะเข้าไปศึกษาที่สถาบันได้ บางคนถึงกับโวยวายเสียงดังลั่นเพราะไม่อยากยอมรับเรื่องนี้จนต้องโดนผู้คุมสอบควบคุมตัวไปข้างนอกอาคารทันที บางคนก็ขออยู่ต่อเพราะอยากดูว่าจะมีใครสอบผ่านอีกบ้าง ซึ่งทางผู้จัดสอบก็ไม่ได้บังคับให้ออกไปทันทีอยู่แล้ว
เมื่อผ่านไปหลายคนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็มาถึงคิวของสไปค์ พอเขาลุกขึ้นก็เริ่มมีเสียงแว่วมาในทำนองว่า “ไอ้เด็กเส้น” ดังไม่หยุด สไปค์ไม่สนใจเสียงเหล่านั้น จริง ๆ คือเขามีวิธีการที่จะไม่สนใจเสียงที่เขาไม่อยากฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงทำให้การวางตัวในตอนนี้ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเครื่องทดสอบปริมาณของพลังปราณ ก่อนจะสูดลมหายใจขึ้นแล้วทาบฝ่ามือลงไปบนแผงสีดำ
ออร่าปราณสีม่วงเข้มไหลหลั่งออกมาจากรูขุมขนห่อหุ้มร่างเอาไว้จนดูคล้ายเมือกใสบาง ๆ ที่ลอยอยู่รอบกาย เขาหลับตาและใช้สมาธิจดจ่อไปยังเครื่องวัดปริมาณของพลังปราณ ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“ระดับ 1!”
“ระดับ 2!”
“ย ยังเพิ่มขึ้นอีก!”
แม้ค่าของกราฟจะลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ที่ระดับ 2 เท่านั้น สไปค์ผ่อนลมหายใจอย่างช้า ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นและเก็บมือกลับมา ผู้คุมสอบยังคงไม่ประกาศผลว่าเขาผ่านหรือไม่ผ่าน กระทั่งมาร์ตินเดินเข้ามาหาสไปค์ด้วยสีหน้าขึงขัง
“สีม่วงเข้มของเจ้า...มันคือปราณอะไร?”
“มันคือปราณไร้ลักษณ์ครับ” สไปค์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ปราณไร้ลักษณ์? มันคืออะไร”
“ข้าเอง...ก็ไม่รู้เรื่องนั้นหรอก”
มาร์ตินเงียบไปทันควัน สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป ริ้วรอยบางส่วนย่นเข้าหากันราวกับกำลังเกิดโทสะ
“ในการทดสอบรอบนี้...จะยังไม่กำหนดผลคะแนน เพราะปราณของเจ้ามันแปลก” กล่าวจบมาร์ตินก็เดินกลับไปนั่งที่ของตนซึ่งอยู่ตรงบริเวณของผู้คุมสอบ คำพูดของมาร์ตินสร้างความพอใจให้กับเหล่าผู้เข้าสอบทุกคนในที่แห่งนี้ สไปค์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินกลับมาหาฟาร์ชูลันที่ยืนรอเขาด้วยสีหน้าและแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม
“มีอะไรเหรอ” สไปค์ถาม
“ปราณ...สีม่วงเข้ม นายคือสไปค์แห่งหุบเขาวาตะเหรอ!?” ฟาร์ชูลันซักถามขึ้นมาทันที
“เอ่อ ใช่ อ้อ เธอพึ่งจะรู้จักชื่อฉันนี่ ใช่มั้ย”
“นาย...” หญิงสาวเงียบไปราวกับกำลังใช้ความคิด ในจังหวะที่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็มีเสียงเรียกชื่อเธอดังขึ้นมา ถึงเวลาที่เธอจะต้องเข้าไปร่วมการทดสอบวัดพลังปราณแล้ว ฟาร์ชูลันเก็บความคิดบางอย่างที่มีต่อสไปค์เอาไว้ก่อนจะขยับแว่นตาทรงกลมของตนแล้วเดินตรงไปยังหน้าแท่นวัดพลังปราณทันที เธอมองดูเครื่องวัดตรงหน้าอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
“เจ้าเครื่องนี่วัดพลังฉันไม่ได้หรอก” เธอชี้นิ้วไปที่เครื่องพลางกล่าวกับมาร์ตินและผู้คุมสอบคนอื่น ๆ
“อะไร เครื่องเสียเหรอ”
“เปล่า ๆ แต่คือ...พลังของฉันมันใช้หลักการของเครื่องนี้วัดไม่ได้น่ะ”
“ละเมออะไร ถ้าอยากเข้าเรียนก็รีบ ๆ ทำซะ”
“เฮ้ ก็บอกอยู่นี่ไงว่า--”
“โทษที ข้าลืมไป” จู่ ๆ มาร์ตินก็เป็นฝ่ายพูดขัดบทสนทนาขึ้นมา “เดิมทีนี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนวัดพลังของเจ้าได้เหมือนกัน”
มาร์ตินลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินตรงไปหาฟาร์ชูลันที่กำลังเอียงคอสงสัยว่าเขาคิดจะทำอะไร เมื่อทั้งคู่ยืนประจันหน้ากัน ส่วนสูงที่ห่างกันมากกว่าห้าสิบเซ็นต์ยิ่งประจักษ์ชัด บรรยากาศรอบข้างนิ่งเงียบจนชวนให้รู้สึกสงสัยและอึดอัด ขณะนั้นฟาร์ชูลันก็กล่าวคำพูดที่น่าเหลือเชื่อออกมา
.“ถ้าฉันทำให้คุณมาร์ตินขยับถอยออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ได้ ถือว่าฉันผ่านเข้าเรียนเลยได้มั้ย”
“!!!”
ทุกคนรอบข้างมีสีหน้าเปลี่ยนไป คำพูดของฟาร์ชูลันทำให้ทุก ๆ คนล้วนตกอยู่ในภวังค์อันสับสน เมื่อครู่เธอพึ่งจะพูดออกมาว่าอะไรนะ เธอพูดว่าจะทำให้มาร์ตินคนนี้ถอยออกไปจากจุดที่ยืนอยู่งั้นสินะ หากถามว่ามันเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกช็อกมากขนาดไหนล่ะก็ คงตอบได้ง่าย ๆ ว่าไม่มีใครเคยคิดฝันว่าจะมีคนกล้าท้าทายมาร์ตินเช่นนี้ เพราะทุกคนที่มาสอบยกเว้นฟาร์ชูลันกับสไปค์ต่างก็รู้ดีแก่ใจว่ามาร์ตินนั้นมีฐานะแท้จริงเป็นอะไร
ในจักรวรรดิซีมีนักรบมากมายที่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิและคอยคุ้มครององค์จักรพรรดิอย่างสัตย์ซื่อ ในบรรดานั้นมีกลุ่มนักรบปราณที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดนั่นก็คือ “กระจก บุปผา จันทรา วารี” ซึ่งเป็นฐานะของสุดยอดนักรบปราณทั้งสี่ที่เป็นระดับหัวหน้าหน่วย มีลูกน้องในสังกัดหน่วยของตนเองอีกมากมาย รวมถึงมาร์ตินเองก็เป็นหนึ่งในนักรบประจำหน่วยกระจก และยังอยู่ในฐานะของนักรบปราณระดับสูงในหน่วยอีกด้วย
พลังของมาร์ติน แทบทุกคนในที่นี้ล้วนเคยได้ยินได้สัมผัสกันมาแล้วทั้งนั้น เขาเป็นยอดนักรบที่แข็งแกร่งและองอาจจนได้รับความไว้วางใจอย่างที่สุดจากหัวหน้าหน่วยกระจก เขาใช้ความสามารถของตนสร้างความก้าวหน้าทั้งระดับพลังและหน้าที่การงานจนได้รับตำแหน่งพิเศษในฐานะคนคุมสอบของสถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่ง
แต่อยู่ดีไม่ว่าดีกลับมีอาคันตุกะหญิงที่ไหนก็ไม่ทราบใช้คำพูดคำจาไม่รักดีออกมาห้วน ๆ ท้าทายคนอย่างมาร์ตินซะนี่
“ถ้าข้าไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว เจ้าจะไม่มีสิทธิ์ได้เข้าไปสถาบันอีกแน่ รู้ตัวใช่มั้ย” มาร์ตินถามย้ำ
ฟาร์ชูลันไม่เพียงไม่ตอบ เธอส่งรอยยิ้มหวานกลับไป พริบตานั้นเองทั่วร่างของเธอก็เกิดกระแสลมหมุนขึ้นมาเป็นเกลียวจากฝ่าเท้า สิ่งที่เปล่งออกมาจากร่างกายไม่ใช่วิชามารพิสดารอะไร แต่กระแสของสายลมกลับเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ หนักหน่วงจนน่าสงสัยว่าลมมหึมาขนาดนี้มันมุดเข้ามาจากรูอากาศรูไหน แต่แม้กระแสลมจะหนักหน่วงก็ยังทำให้มาร์ตินเคลื่อนไหวไม่ได้อยู่ดี
“ไม่เลว งั้นเจอนี่หน่อย” ทั่วร่างบางเล็กของหญิงสาวเริ่มปรากฏแสงสีน้ำเงินออกมาจาง ๆ สายลมที่พัดโหมก่อนหน้านี้ยิ่งทวีความรุนแรงหนักขึ้นจนทำให้คนรอบข้างเริ่มเสียหลักและทรงตัวไม่อยู่ ผู้ที่มีพลังปราณสูงหน่อยเริ่มใช้พลังปราณของตนเองในการยึดเหนี่ยวพื้นข้างล่างไว้ กระทั่งสไปค์ก็ยังต้องเร่งพลังปราณเพื่อต้านรับสายลมอันหนักหน่วงเหล่านี้
ความกดดันเริ่มถาโถมหนักขึ้น เวลานี้ฟาร์ชูลันเหมือนไม่ใช่หญิงสาวตัวเล็กอีกแล้ว ที่ฉากหลังของเธอราวกับมีออร่าของความน่าหวาดกลัวบางอย่างลอยสูงขึ้นจนท่วมท้นไปทั่วห้อง ร่างของมาร์ตินเริ่มกระตุกสั่นจากความหนักหน่วงที่สัมผัสได้จากพลังของอีกฝ่าย
“นี่มันพลังบ้าอะไรกัน! มันแทบจะทำลายอาคารหลังนี้อยู่แล้วนะคุณมาร์ติน!” มีเสียงของหนึ่งในผู้คุมสอบดังขึ้นมา แน่นอนว่ามาร์ตินเองก็รู้ตัวดี เพราะความจริงคือเขาเองก็แทบจะทรงตัวยืนไม่อยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะถือครองศักดิ์ศรีเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกล่ะก็ เขาคงจะยอมขยับตัวสักก้าวหนึ่งเพื่อให้เธอเป็นฝ่ายชนะไป แต่ว่า...ต่อให้อาคารจะพังไปทั้งหลังเขาก็ยังไม่ยอมแพ้หรอก!
มาร์ตินพยายามเร่งเร้าพลังปราณให้สูงมากพอที่จะห่อหุ้มทั้งตัวเองและอาคารหลังนี้เอาไว้ ปราณของเขามีสีแดงเลือดอันเป็นสีของปราณพยัคฆ์ ในตอนนี้ออร่าของทั้งสองคนกำลังห้ำหั่นกัน และดูเหมือนจะเป็นฝ่ายของฟาร์ชูลันที่กำลังได้เปรียบมากขึ้นไปเรื่อย ๆ พลังของเธอเริ่มผลักออร่าปราณของมาร์ตินให้ถอยกลับไปอย่างช้า ๆ
กระทั่งทนไม่ไหว...
“อึก!”
มาร์ตินถูกพลังอันท่วมท้นนั้นเข้าแทรกแซงจนท้ายที่สุดต้องถอยไปด้านหลังถึงสองก้าว!
พลันนั้นความกดดันทุกอย่าง รวมถึงออร่าที่ฟาร์ชูลันปล่อยออกมาก็จางหายไปหมดสิ้น ราวกับก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏพลังอะไรมาก่อน มาร์ตินรู้สึกเหมือนหมดเรี่ยวแรง แม้กระทั่งแรงจะยืนก็ยังรั้งเอาไว้แทบจะไม่ได้ แต่ด้วยศักดิ์ศรีของตนเอง เขาเลือกที่จะยืนหยัดแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม และฟาร์ชูลันที่สังเกตเห็นจุดนี้ก็ยังแอบชื่นชมอยู่ในใจ
“ไม่เลว...พลังเวทมนตร์มันเป็นแบบนี้นี่เอง”
รอบข้างแตกฮือขึ้นมาทันที
เมื่อกี้มาร์ตินกล่าวคำว่า “เวทมนตร์” ออกมา?
“หรือว่าเธอก็คือแม่มดแห่งเอทาเนียร์!”