บทที่ 4 เธอผู้มากับยูนิคอร์น
บทที่ 4 เธอผู้มากับยูนิคอร์น
ปลายทางออกของหุบเขาวาตะ หลังจากที่ร่ำลาพ่อแม่และคนในหมู่บ้านจนเสร็จสรรพ สไปค์ก็แบกเป้สะพายข้างใบใหญ่ขึ้นมาพาดไว้กับลำตัว สายลมวูบหนึ่งพัดมาพอให้เส้นผมพลิ้วไสว วันนี้อากาศดีเหมาะแก่การออกเดินทางยิ่งนัก เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดยกมือขึ้นอังบริเวณหน้าผาก สัมผัสได้ว่าอุณหภูมิแดดไม่แรงจนเกินไป
“หลายปีที่ผ่านมาพวกเราเห็นในความพยายามฝึกฝนของเจ้า เจ้าเก่งกาจรุดหน้ามากกว่าเมื่อสิบปีก่อนจนเป็นคนละคน” หัวหน้าหมู่บ้านเพ่งพินิจดูร่างกายที่เติบโตขึ้นผิดกับสมัยก่อน สไปค์ได้ผ่านช่วงเจริญเติบโตอย่างที่สุดของร่างกายมาแล้ว ซ้ำยังฝึกฝนอย่างหนักทุกวันจนไม่มีใครกล้าดูแคลนในฝีมืออีก ไม่มีใครกล้าบอกว่าเขาเป็นคนไร้ค่าอีกต่อไป
“อย่างไรก็ตาม สิบเจ็ดปีที่เจ้าอยู่ในหมู่บ้านมันถือเป็นเพียงโลกแคบ ๆ ใบหนึ่งเท่านั้น หลังจากนี้เจ้าจะได้พบกับหลายสิ่งที่ไม่เคยเห็น รวมถึงสามัญสำนึกของโลกภายนอกที่เจ้าจะต้องเรียนรู้อีกมากมาย ขอให้เจ้าเอาชนะมันให้ได้ เพื่ออนาคตของหมู่บ้าน”
“ข้าทราบครับ” สไปค์พยักหน้ารับคำ
พลันนั้นสเปียร์กับลันนาร์ผู้เป็นพ่อแม่ก็ก้าวเท้าเดินมายืนเบื้องหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทันที สีหน้าของลันนาร์แม้จะมองดูปกติ แต่หากจ้องเข้าไปในแววตาจะพบว่าเธอกำลังฝืนกลั้นอารมณ์ตนเองเพราะไม่อยากให้บุตรของตนต้องไปเผชิญกับอันตรายจากโลกภายนอก กลับกันกับที่ทางของสเปียร์ที่ยังคงความเข้มแข็งเฉกเช่นผู้ชายเช่นเดิม เขาสื่อสารกับสไปค์ผ่านแววตาก็เข้าใจกันได้ทันที
“พลังของเจ้ายังไม่เป็นที่ประจักษ์แก่โลกภายนอก จงระวังตัวให้ดี อาจมีผู้ที่จะมาหลอกใช้เจ้าจากผลประโยชน์ของพลัง” กล่าวเพียงประโยคเดียวก็จบ ความจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สเปียร์พูดแบบนี้ ส่วนสไปค์ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญที่จะต้องฟังประโยคซ้ำ ๆ อาจเพราะนี่เป็นช่วงเวลาของการอำลากระมัง
เมื่อกล่าวคำอำลาต่อทุกคนเสร็จสิ้น สไปค์ก็เตรียมหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน!”
แต่ก็มีเสียงหนึ่งดังไล่หลังตามมาทัน ฉุดร่างของสไปค์เอาไว้ได้ทันท่วงที
“กาเรน?”
เป็นกาเรนนั่นเองที่ตะโกนเสียงดังลั่นเรียกสไปค์เอาไว้ เขาใช้สุดกำลังในการวิ่งมาถึงที่นี่ เนื้อตัวของกาเรนดูสกปรกมอมแมม เต็มไปด้วยคราบฝุ่นคราบดิน บางจุดมีรอยฟกช้ำดำเขียวด้วย ทุกคนต่างก็แปลกใจต่อสภาพที่กาเรนเป็นในตอนนี้
หลังจากผ่านไปสิบปีร่างกายของกาเรนที่ใหญ่อยู่แล้วก็ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ร่างของเขาสูงใหญ่กว่าสไปค์ ด้วยส่วนสูงเกือบสองเมตร น้ำหนักเกือบร้อยโล แต่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน นี่ก็เป็นหลักฐานบ่งบอกว่าผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักไม่แพ้กัน
“ฮ..แฮ่ก...ดวลกับข้า...พิสูจน์ว่าเจ้าล้มข้าได้ก่อนที่จะไป!” กาเรนพูดทั้งที่ยังย่อตัวลงเอามือจับเข่าตนเอง เขาเหนื่อยจนแม้แต่แรงจะพูดยังแทบไม่มี
“เจ้า...อย่าบอกนะว่าฝึกหนักก่อนที่จะมาส่งข้า”
“ใครมาส่งเจ้ากัน อย่าสำคัญตัวเองผิดไปนัก ข้าแค่ไม่อยากให้คนที่เกิดและโตในหมู่บ้านนี้ต้องไปทำเรื่องขายขี้หน้าที่อื่น ดังนั้นจงมาดวลกับข้า ถ้าชนะข้าได้ข้าจะปล่อยให้เจ้าไป แต่ถ้าไม่ล่ะก็--”
“เข้าใจแล้ว ๆ” สไปค์พูดตัดบททันที เขาเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา
แท้จริงแล้วช่วงเวลากว่าสิบปีมานี้ กาเรนแม้จะยังวางท่าเป็นหัวโจกของคนรุ่นราวคราวเดียวกันเหมือนเช่นเดิม แต่ด้านนิสัยกลับดีขึ้นมาก เขาเป็นห่วงหมู่บ้านของตนเองและทำทุกอย่างเพื่อที่จะปกป้องหมู่บ้านไว้ให้ได้ เพื่อชดเชยรอยแผลเมื่อสิบปีก่อนที่ตนไม่อาจทำอะไรเพื่อหมู่บ้านได้เลย และทุก ๆ วันเขาจะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อมาท้าดวลฝีมือกับสไปค์ เพราะไม่อยากยอมรับว่าตนเองนั้นด้อยกว่า
ผลการดวลในแต่ละครั้งมักจะเป็นกาเรนที่พ่ายแพ้ไปเสียทุกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้...
“มันจะไม่เหมือนที่ผ่านมา” กาเรนกล่าวเสียงเรียบไม่เหมือนเดิม เขาผ่อนลมหายใจอย่างสงบนิ่งก่อนจะรวบรวมพลังปราณพยัคฆ์ของตนให้เอ่อล้นออกมาจากภายใน ออร่าสีแดงดุจโลหิตช่างดูน่าหวาดกลัว ชายหนุ่มร่างโตตั้งท่าเตรียมจู่โจม มือสองข้างขยับเคลื่อนไหว ข้างขวาตั้งเหนือหัว ข้างซ้ายอยู่บริเวณหน้าอก ปลายนิ้วมือจิกอากาศคล้ายเป็นเขี้ยวของสัตว์ร้าย เท้าขวายันหลังเอาไว้ เท้าซ้ายก้าวไปข้างหน้า
ฝ่ามือเขี้ยวพยัคฆ์!
ออร่าสีแดงไหลกลับสู่ร่าง ปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือเพียงจุดเดียว การควบคุมปราณของกาเรนไหลลื่นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เขาถีบเท้าพุ่งตัวเข้าหาสไปค์ในชั่วอึดใจ ฝ่ามือขวาโฉบเข้าไปหมายจะแทงใส่ที่ใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม พลันนั้นเกิดสายลมหมุนบางเบากะทันหันจนกลายเป็นสุญญากาศช่วงสั้น ๆ การโจมตีของกาเรนพลาดเป้า ร่างกายทุกสัดส่วนของสไปค์ขยับเคลื่อนอย่างอ่อนช้อยรับฝ่ามือข้างนั้นเอาไว้และปัดออกอย่างง่ายดาย
กระบวนยุทธ์ไร้ลักษณ์ เคล็ดหักเขี้ยว
เพียงกระบวนท่าเดียว พลังอันท่วมท้นของฝ่ามือเขี้ยวพยัคฆ์ก็ถูกทำลาย รัศมีปราณสีแดงแตกกระจายราวเศษกระจก กาเรนรู้สึกเหมือนตัวเองโดนอะไรบางอย่างสะกดให้นิ่งอยู่กับที่ เขาทั้งอึ้ง ทั้งทึ่ง ทั้งตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที และเมื่อรู้สึกตัวก็กลายเป็นตัวเองที่หมอบราบกับพื้นในลักษณะนอนหงายให้กับเด็กหนุ่มที่เขาปรามาศมาทั้งชีวิต
เป็นการพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาดที่สุดเท่าที่เขาเคยได้รับ
“ไปได้แล้วใช่มั้ย?”
“สักวันข้าจะเก่งกว่าเจ้าให้ได้”
“จะรอวันนั้น”
“รักษาตัวด้วยล่ะ”
ทั้งสองอำลากันแค่นั้น แล้วสไปค์ก็เดินจากไปโดยไม่ลืมโบกมือลาทั้งครอบครัวตนเองและคนอื่น ๆ
กาเรนมองท้องฟ้าอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะหลับตาแล้วลุกขึ้นมานั่งชันเข่า นี่นับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบ แต่ทุกครั้งที่พ่ายแพ้ เขามักจะถูกทำให้นอนหงายและมองท้องฟ้าเช่นนี้เสมอ มองจนรู้สึกว่าท้องฟ้าเป็นสหายคนสำคัญไปเสียแล้ว...
แม้โลกปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้จะได้รับอิทธิพลความก้าวหน้ามาด้วย ดังนั้นการเดินทางออกจากหมู่บ้านจึงกลายเป็นการเดินเท้าเปล่าไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงจุดหมาย และเส้นทางที่สไปค์มุ่งหน้าไปนี้ก็เป็นเส้นทางมาตรฐานที่ทางหมู่บ้านแนะนำ มันจะทอดยาวไปถึงจักรวรรดิซีแม้อาจจะต้องใช้เวลาในการเดินทางนานพอสมควร นั่นทำให้วัยรุ่นอย่างเขารู้สึกร้อนใจขึ้นมา
ทางสถาบันฝึกปราณลำดับที่ 1 นั้นเปิดรับสมัครนักเรียนทุกวันก็จริง แต่ในแต่ละวันก็มีระยะเวลากำหนดอยู่ หากไปไม่ทันก็ต้องรอวันถัดไป ดังนั้นเขาจึงอยากไปให้ถึงเร็ว ๆ เท่าที่จะเร็วได้ ที่ตื่นมาแต่เช้าก็เพื่อการนี้
พอเริ่มเดินไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ก็ต้องเจอกับแสงแดดที่เริ่มแรงขึ้นทุกที เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลากลางวันแล้ว สไปค์เดินโดยไม่หยุดพักเพื่อหวังจะไปถึงที่หมายไว ๆ แต่อุปสรรคจากแสงแดดช่างรบกวนใจเขาเหลือเกิน มิหนำซ้ำระหว่างทางยังมีเสียงอะไรก็ไม่รู้ดังสะท้อนจากที่ไหนสักแห่งมาเรื่อย ๆ นี่นอกหมู่บ้านเป็นแบบนี้เองเหรอ แค่ออกมาไม่ทันไรก็รู้สึกถึงความวุ่นวายได้ขนาดนี้
ครืนน
กระทั่งเจ้าของเสียงแปลก ๆ ปรากฏขึ้นมา เสียงนี้ใกล้กว่าที่เคย เพราะมันอยู่ข้างตัวสไปค์แล้ว
“หือ...”
พอหันไปมองก็ถึงกับตกใจ เพราะสิ่งที่ปรากฏออกมาคือวัตถุแปลกประหลาดที่น่าจะสร้างขึ้นจากโลหะ แต่สิ่งที่สำคัญคือมันลอยได้ ใช่ มันลอยได้ มันเป็นเครื่องเหล็กทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนยาวจะยาวประมาณสองเมตร ส่วนกว้างจะประมาณหนึ่งเมตร มีแสงไฟสีขาวอมส้มฉายออกมาจากด้านหน้า และเหนือขึ้นไปบนเครื่องนี้ดันมีคนนั่งอยู่ด้วย!
“พ่อหนุ่มจะไปไหน สนใจใช้บริการแท็กเซียร์มั้ย” คนที่นั่งอยู่บนนั้นกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม แต่สไปค์กลับทำหน้าเหวอไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“แท็ก...เซียร์? อะไรนะ คืออะไร”
“ไม่รู้จักแท็กเซียร์เหรอ พ่อหนุ่มมาจากไหนกันนี่” ชายคนนั้นเลื่อนหมวกทรงสูงขึ้นจากหน้าผากเล็กน้อย เผยให้เห็นแววตาที่น่าจะกำลังแปลกใจอยู่จริง ๆ “เอาเถอะ แท็กเซียร์คือบริการรับส่งฉับไวยังไงล่ะ ที่จักรวรรดิซีมีกันแพร่หลายเลย พ่อหนุ่มสนใจมั้ย คิดไม่แพงหรอก เริ่มต้นที่สามสิบซี”
“สามสิบซี...ทำไมถูกจัง”
“ใช่ไหม สนใจรึเปล่า”
“สนครับ ข้าเดินมาเหนื่อยจะแย่ ช่วยไปส่งที่จักรวรรดิซีทีได้ไหม”
“ได้ ขึ้นมาเลย” แล้วสไปค์ก็ขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งคนขับด้านหลัง คนขับแท็กเซียร์หันกลับมามองสไปค์และถามอีกครั้ง
“ปิดกระจกมั้ย หรืออยากจะรับลมธรรมชาติ”
“เอ่อ...ปิดกระจกนี่ปิดยังไง ข้าไม่เห็นมีกระจกที่ไหนเลย”
“พ่อหนุ่มนี่...มาจากบ้านนอกงั้นเรอะ กระจกก็แบบนี้ไง” แล้วคนขับแท็กเซียร์ก็ยื่นมือไปกดปุ่ม ๆ หนึ่งที่บริเวณใกล้ ๆ กับแผงบังคับยานบิน ทันใดนั้นก็มีเสียงครืนดังขึ้นเบา ๆ แล้วก็มีกระจกบางใสแผ่นหนึ่งเลื่อนออกมาจากด้านข้าง ครอบยานบินเอาไว้เป็นทรงกลม สไปค์ทำตาลุกวาวก่อนจะรู้สึกว่าอากาศข้างในถูกปิดกั้นกับข้างนอกโดยสิ้นเชิง แต่แล้วก็มีลมเย็น ๆ พัดกระจายออกมาจากช่องระบายรอบข้าง อันนี้สไปค์พอจะรู้จักว่ามันคือแอร์
“สุดยอด เจ้าเครื่องนี่ประหลาดดีจัง”
“ประหลาดเรอะ...ที่ประหลาดน่ะคือพ่อหนุ่มมากกว่านะ เอ้า จับให้ดี ๆ ล่ะ” คนขับแท็กเซียร์พูดพร้อมกับลงมือบังคับยานทันที การบังคับในยุคสมัยนี้จะไม่ใช่พวงมาลัยอีกแล้ว แต่จะเป็นการสวมเฮ็ดเกียร์ครอบศีรษะเอาไว้และสั่งการโดยตรงผ่านคลื่นสมอง ส่วนการเร่งความเร็วจะต้องกดปุ่มเปลี่ยนเกียร์ตรงแผงบังคับเอาเอง การควบคุมผ่านคลื่นสมองจะทำได้เพียงขับเคลื่อนเท่านั้น
เสียงครืนดังขึ้นก่อนจะสตาร์ทพุ่งออกไป แท็กเซียร์เร็วกว่าที่คิดเอาไว้ อย่างน้อยสไปค์ก็มองเห็นภาพรอบข้างกลายเป็นเส้นแนวนอนเรียงกันเต็มไปหมด นี่มันสุดยอดจริง ๆ แปลกตาชะมัด เจ้าเครื่องนี้เจ๋งและประหลาดเป็นบ้า เขาคิดอย่างนั้น จนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เวลาแห่งความสุขสันต์ก็ทำท่าจะหมดลง เครื่องแท็กเซียร์หยุดจอดกะทันหันจนสไปค์ที่กำลังมองรอบข้างอย่างตื่นเต้นต้องหันไปมองคนขับด้วยสีหน้าสงสัย
สีหน้าของคนขับแลดูไม่สู้ดีสักเท่าไรนัก...
“ย แย่แล้ว”
“มีอะไรเหรอครับคุณลุง”
“มองดูข้างหน้าสิพ่อหนุ่ม นั่นมันชูปาคาบรา!” คนขับแท็กซี่ตื่นตระหนกจนส่งผลต่อคลื่นสมอง เครื่องแท็กเซียร์เริ่มทรงตัวไม่อยู่ แสดงให้เห็นว่าเขากำลังสับสน แต่ไม่นานนักเขาก็พยายามตั้งสติและยื่นมือไปกดปุ่มสีแดงตรงแผงบังคับ แล้วเครื่องก็ลอยตัวปกติดังเดิม สไปค์มองดูชูปาคาบราที่คนขับแท็กซี่พูด
มันมีรูปร่างคล้ายดั่งสัตว์ประหลาด ทั่วร่างมีแต่หนังไม่มีขน ส่วนสูงร่วมสองเมตรครึ่ง ดวงตาสีแดงฉาน มีแผงหลังเป็นหนามแหลมงอกออกมาหลายสิบเส้น ขาทั้งสองข้างยาวใหญ่จนต้องพับข้อเข่าลงมา อุ้งเท้ามีลักษณะคล้ายกับเท้าของนกกระจอกเทศ ร่างกายของมันมีสีเทาเขียวผสมกับสีฟ้าบริเวณท้อง
“ทำไมชูปาคาบราที่ไม่ค่อยจะปรากฏตัวในพื้นที่แบบนี้ถึงได้ปรากฏตัวออกมาได้”
“มันคือตัวอะไรเหรอลุง”
“สัตว์มายาน่ะ พักหลังนี้มักจะได้ข่าวการปรากฏตัวของมันอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่นึกว่าจะมาเจอเองแบบนี้ ซวยจริง ๆ”
“ซวยยังไง” สไปค์ถาม
“ก็ปกติมันชอบดูดเลือดแพะ แต่ข่าวที่ฟังหลัง ๆ มานี้คือมันมีพฤติกรรมใหม่คือการดูดเลือดมนุษย์มากขึ้นน่ะสิ” ลุงคนขับแท็กเซียร์ตอบกลับไป แม้ภายในยานบินจะมีลมเย็นฉ่ำจากแอร์แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้เหงื่อกาฬเขาหยุดไหลเลย สไปค์พอจะรับรู้ถึงสาเหตุที่ลุงคนนี้หวาดกลัวแล้ว เขามองดูร่างของชูปาคาบราที่ยืนขวางทางอยู่ บริเวณปากอันน่าขยะแขยงมีหยดเลือดหล่นกระทบพื้นเบา ๆ เป็นจังหวะ
“ผมจัดการให้มั้ย” สไปค์เสนอตัว
“หา? พ่อหนุ่มจะบ้าหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันอันตรายแค่ไหน”
“ไม่เป็นไรหรอก นี่ก็เป็นการทดสอบเหมือนกัน ลุงช่วยเปิดกระจกให้ผมลงไปหน่อยสิ”
“ข ข้าไม่รู้ด้วยนะ!” คนขับแท็กเซียร์กดปุ่มเปิดกระจกยาน หลังจากนั้นสไปค์ก็กระโดดลงไปที่พื้นดินก่อนจะยืดเหยียดร่างกายแล้วเดินเข้าไปหาชูปาคาบรา แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร เขากลับสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างเข้าเสียก่อน
“นี่แก...” เศษเนื้อมากมายกระจัดกระจายเต็มไปหมด ทั้งหมดนั่นคือฝีมือของชูปาคาบราตัวนี้ สไปค์เห็นแบบนั้นก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมา บรรยากาศรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป ออร่าปราณสีม่วงเข้มเริ่มไหลออกมาจากร่างกาย
แต่ทว่า...เสี้ยววินาทีนั้นเอง
เปรี้ยงง!
แสงสีน้ำเงินดิ่งลงมาจากฟากฟ้าอาบเข้าไปที่ร่างของชูปาคาบราผู้โชคร้ายได้อย่างเหมาะเจาะ เสียงกัมปนาทราวกับระเบิดลงดังขึ้นก่อนที่พื้นเบื้องล่างจะแตกกระจายกลายเป็นกลุ่มควัน สไปค์ยกมือขึ้นป้องใบหน้าเอาไว้ก่อนจะกระโดดถอยกลับหลังตามสัญชาตญาณ แล้วไม่นานนักควันระเบิดก็เริ่มจางลงไป เผยให้เห็นชูปาคาบราที่ล้มแผ่ลงกับพื้นพร้อมกับพยายามใช้มือยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ทั่วร่างของมันมีไอความร้อนจาง ๆ ลอยขึ้นมาเป็นเส้นเล็ก ๆ
เสียงลมพัดโหมดังขึ้นจากเบื้องบนนภา สไปค์เงยหน้าขึ้นไปตามเสียงนั้นและก็พบเห็นร่างสีขาวนวลกำลังย่ำเท้าบนพื้นผิวอากาศ สิ่งนั้นมีรูปกายคล้ายกับสัตว์ที่เรียกว่าม้า แต่สิ่งที่แปลกไปจากม้าทั่วไปคือบริเวณกลางหน้าผากค่อนไปทางศีรษะกลับมีเขาแหลมงอกยาวออกมาประมาณครึ่งเมตร เป็นเขาสีเงิน พื้นผิวมีลักษณะเป็นเกลียวคล้ายก้นหอยจากโคนเขาสู่ปลายแหลม
สัตว์ชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องถามแท็กเซียร์ก็รู้จัก เพราะสไปค์เคยอ่านเจอในบันทึกสัตว์มายาในห้องสมุดของหมู่บ้านอยู่บ่อย ๆ มันคือม้ายูนิคอร์น สัตว์มายาที่ว่ากันว่าจะเชื่องเพียงแค่กับสตรีที่ยังคงความบริสุทธิ์อยู่เท่านั้น และเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งของลูกผู้ชาย
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
เสียงดังมาจากทางยูนิคอร์น แต่แน่นอนว่ายูนิคอร์นไม่ได้พูดคำนี้แน่ ๆ เพราะเจ้าของเสียงคือคนที่นั่งอยู่บนหลังของมันต่างหาก
“เจ้าคือ...”
เป็นหญิงสาวที่แต่งตัวแปลก ๆ เธอสวมหมวกทรงสูงเหมือนหมวกของนักมายากล คลุมเรือนผมสีน้ำเงินเข้มเอาไว้ ใบหน้าและผิวพรรณขาวอมชมพูมีชีวิตชีวาน่าหลงใหล ดวงตากลมโตสีม่วงอ่อนจ้องมองมาภายใต้กรอบเลนส์แว่นตาทรงกลมใหญ่ ทั่วร่างอยู่ในลักษณะคล้ายกับชุดในแบบของวิคก้าสไตล์ แลดูคล้ายคลึงกับแม่มดเสียเหลือเกิน
“ฉันถามว่านายเป็นอะไรรึเปล่า คิดยังไงอยู่ถึงได้ไปยืนประจันหน้ากับชูปาคาบราแบบนั้น เดี๋ยวก็โดนกินเอาหรอก” หญิงสาวแปลกหน้าถามด้วยน้ำเสียงปกติก็จริง แต่สไปค์กลับสัมผัสได้ว่าในน้ำเสียงนั้นมีอารมณ์ดุแฝงปนอยู่ด้วย
“เอ่อ เจ้านี่มันเก่งขนาดนั้นเชียว” สไปค์ชี้นิ้วไปยังชูปาคาบราที่พยายามยันตัวลุกขึ้น ทำท่าว่าอยากจะหนีไปจากที่นี่ให้ได้
“แน่นอน ถ้าพลาดนิดเดียวล่ะก็ได้กลายเป็นอาหารอันโอชะของมันแน่ ดังนั้น...” เธอใช้แขนซ้ายล้วงเข้าไปภายในช่องเล็ก ๆ ตรงเสื้อ ก่อนจะหยิบการ์ดใบหนึ่งออกมา มันเป็นการ์ดสีน้ำเงินครามมีแถบสีทองพาดเป็นสี่เหลี่ยมบริเวณขอบการ์ด ที่ด้านหลังการ์ดตรงกลางมีตัวอักษรที่สไปค์อ่านไม่ออกสลักเอาไว้ตัวโต เธอเขวี้ยงการ์ดใบนั้นไปทางชูปาคาบรา ผิวการ์ดกระทบกับหนังของมันเบา ๆ ก่อนที่การระเบิดครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง
ตูมม!!
“.........”
ชายหนุ่มรู้สึกหมดคำพูด นั่นมันวิชามารบ้าบออะไรกัน แค่เขวี้ยงการ์ดใส่ ไม่มีวี่แววการรวบรวมพลังปราณอะไรเลยทั้งสิ้น เป้าหมายก็ระเบิดกลายเป็นโกโก้ครั้นไปเสียแล้ว...
“เอาล่ะ จบกันที” ร่างของเธอบนหลังม้ายูนิคอร์นค่อย ๆ ร่อนลงมาจนเท้าสัมผัสพื้น ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างรอบกายเธอกระจายหายไป เป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้อย่างแปลกประหลาด สไปค์เดินเข้าไปใกล้กับหญิงสาวกระทั่งเธอทำตาลุกวาวรีบส่งเสียงร้องขึ้น
“เดี๋ยว! อย่าเข้ามาใกล้ ไม่งั้นนายจะ--”
“ยูนิคอร์นตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าสินะ ชื่ออะไรเหรอ”
“...เอ่อ”
“ว่าไง ว่าแต่นี่ตกใจอะไร” สไปค์เอียงคอสงสัย
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้คือตามปกติแล้วยูนิคอร์นจะมีนิสัยที่ค่อนข้างแบ่งแยกเพศ พวกมันชอบเพียงสาวพรหมจรรย์เท่านั้น หากไม่ใช่สาวพรหมจรรย์หรือว่าเป็นผู้ชายเข้ามาใกล้ มันจะไม่มีทางเชื่องด้วยเด็ดขาด ดังนั้นเมื่อสไปค์เข้ามาใกล้เธอจึงรีบห้ามปรามเอาไว้ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือแม้จะเข้ามาใกล้จนยกมือขึ้นลูบหัวได้ ยูนิคอร์นของเธอก็ไม่พยศโวยวายแต่อย่างใด หนำซ้ำยังเชื่องกับสไปค์ซึ่งเป็นผู้ชายอีกต่างหาก
“เป็นไปไม่ได้...อย่าบอกนะว่านาย...เอ่อ เธอ? เป็นผู้หญิงเหรอ?”
“จะบ้าเรอะ ชายทั้งแท่งนะจะบอกให้ นี่เจ้าละเมออะไรของเจ้า เพี้ยนไปแล้วรึ”
ก็นั่นสิ...เธอรู้สึกว่าตัวเองเพี้ยนไปแล้วจริง ๆ ที่ต้องมาเจออะไรประหลาด ๆ แบบนี้
“ว่าแต่นี่จะตอบได้ยังว่ายูนิคอร์นตัวนี้ชื่ออะไร ไม่สิ เธอนั่นแหละเป็นใคร นั่นมันเรียกว่าปราณอะไร จะว่าปราณอินทรีย์ก็ไม่น่าใช่นะ อ้อ ข้าชื่อสไปค์ ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายหนุ่มพูดพร้อมยื่นมือไปให้อีกฝ่ายจับ แต่หญิงสาวไม่เล่นด้วย
“ฉันชื่อฟาร์ชูลัน ส่วนเด็กคนนี้ชื่อยู”
“ทำไมคำพูดคำจาของเจ้าฟังดูแปลก ๆ ชอบกล”
“ที่แปลกคือนายต่างหาก ภาษาพูดโบราณล้าสมัยชะมัด” ฟาร์ชูลันพูดพลางหันไปมองทางที่แท็กเซียร์จอดอยู่ เหมือนก่อนหน้านี้ทั้งคู่จะลืมไปแล้วว่าเคยมีคุณลุงตาดำ ๆ คนหนึ่งนั่งชมเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในรถด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย สีหน้าของคุณลุงคนขับยานบินอยู่ในสภาพเหวออย่างเห็นได้ชัด
“ชูปาคาบรา ยูนิคอร์น ระเบิด เอื๊อก...พ่อหนุ่ม ข้าไม่คิดเงินหรอก แต่คงส่งได้แค่นี้แหละ ขอโทษนะ!” กล่าวจบลุงคนขับก็เคลื่อนยานบินพุ่งตัวหนีออกไปทันทีด้วยความเร็วสูง ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันลอยละล่องตามอากาศกับวัยรุ่นหญิงชายที่กำลังมองหน้ากันด้วยความรู้สึกสงสัยว่าตนเองไปทำอะไรให้
“แย่ล่ะสิ ถ้าไม่รีบไปจะหมดเวลาลงทะเบียนเอา” สไปค์เอามือปาดเหงื่อ รู้สึกเหมือนจะเจอเรื่องยุ่งเข้าแล้ว
“แท็กเซียร์ทิ้งผู้โดยสารเหรอเนี่ย...แต่ก็น่าอยู่หรอก ว่าแต่ลงทะเบียนงั้นเหรอ รีบรึเปล่าล่ะ”
“ใช่ ข้าจะไปลงทะเบียนเรียนที่สถาบันฝึกปราณลำดับที่ 1 ของจักรวรรดิซีน่ะ นี่ถ้าไม่รีบล่ะก็เห็นทีจะต้องเลื่อนไปวันพรุ่งนี้แทน” เมื่อพูดจบ สีหน้าของฟาร์ชูลันก็เปลี่ยนไปทันควัน
“อ้าว พอดีเลย ฉันก็จะไปลงทะเบียนเรียนที่นั่นเหมือนกัน งั้นก็มาด้วยกันเลยสิ”