บทที่ 2 ความฝันเมื่อพันปีก่อน
บทที่ 2 ความฝันเมื่อพันปีก่อน
ตุบ...ตุบ...
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นจังหวะ สอดประสานกับท่าร่างที่เคลื่อนผ่านเงามืด แสงสว่างจากโคมไฟทางขวาเรืองอ่อนให้บรรยากาศสลัว แม้จะเป็นบรรยากาศเช่นนี้ก็ยังไม่อาจลบเลือนความงามที่เด่นชัดของหญิงสาวในเงามืดได้เลยแม้แต่น้อย เธอขยับกายไปข้างหน้าต่อจากจุดเดิมเพื่อมาพบกับกลุ่มคนสามคนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“หวังว่าพวกข้าคงจะได้รับคำอธิบายจากท่านนะ” หนึ่งในสามคนกล่าวออกมา คนพูดเป็นเพศหญิง เรือนผมยาวสยายเป็นลอนสีแดง แววตาเย้ายวนมีเสน่ห์แม้ในยามนี้จะแฝงความโกรธาเอาไว้อยู่ไม่น้อย คนถูกถามกลับนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร ซ้ำยังเบนสายตาไปทางอื่นราวกับไม่สนใจตัวตนเบื้องหน้า
ตึง!
ร่างที่ใหญ่โตที่สุดในกลุ่มสามคนก้าวเท้าก้าวใหญ่มาขวางสายตาของเธอเอาไว้
“อย่าเข้าใจผิดนะ แม้ท่านจะเป็นคนสำคัญของท่านอัชลี่ย์ แต่พวกข้าไม่ยอมรับหรอก”
สามคนนี้คือหนึ่งในหน่วยรบชั้นยอดแห่งโลกของเผ่ามาร ประกอบไปด้วยเฟียร์ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่ควบตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม ตามมาด้วยไกร่า ชายร่างยักษ์ผู้มีส่วนสูงกว่าสามเมตร รูปร่างดูแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า ใบหน้าอัปลักษณ์คล้ายกับพวกออร์คตัวเขียว ปิดท้ายด้วยโมเรน ผู้มีรูปร่างภายนอกไม่ต่างจากเด็กชายวัยไม่ถึงสิบขวบ บนใบหน้าสวมแว่นตากลมโตเอาไว้ก็จริงแต่ก็ยังเห็นดวงตาสีแดงฉานที่ซ่อนอยู่ภายในเลนส์โปร่งใสนั้นได้
“ระวังคำพูดหน่อย” สตรีในชุดคลุมสีดำกล่าวคำพูดออกมาเบา ๆ ราวกับต้องการจะเตือนสติทั้งสามคน
“ถ้าไม่มีท่านอัชลี่ย์คอยหนุนหลัง รับรองได้ ข้าสามคนหักคอเจ้ากินไปนานแล้ว!” เสียงคำรามในลำคอของหญิงสาวคล้ายกล่าวออกมาเหมือนเป็นเสียงปกติ แต่คนที่ได้ยินกลับรู้สึกเหมือนกับเสียงนั้นสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ ทำให้รู้สึกขนลุกซู่ได้ง่าย ๆ
“ฟลอร์เลน ...ท่านสังหารสุนัขที่เราเลี้ยงไม่พอ ยังช่วยเหลือเหยื่อมนุษย์ที่เราเพ่งเล็งเอาไว้ เรื่องนี้จะให้รายงานท่านอัชลี่ย์ว่าอย่างไร?” โมเรนก้าวเท้าออกมายืนเสมอกับเฟียร์ หลังจากพูดเสร็จก็เลื่อนกรอบแว่นขึ้นใช้สายตาจ้องเขม็งไปยังฟลอร์เลน
“พวกเจ้าเป็นถึงมารระดับสูงในหมู่มารด้วยกัน ข้าไม่คิดว่านั่นจะเป็นวิธีการล่ามนุษย์ที่สมศักดิ์ศรีสักเท่าไหร่”
“ดังนั้นถึงยื่นมือมาแทรก? แล้วยังช่วยพาเหยื่อมนุษย์ของเรากลับไปส่งที่หมู่บ้านซอมซ่อนั่น”
“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ วิธีการของพวกเจ้ามันไม่สมศักดิ์ศรี ข้าจะตอบแทนมนุษย์ผู้นั้นก็นับเป็นการปลอบขวัญที่ดี”
“นี่เจ้า!”
หลังจากต่อปากต่อคำกับโมเรนได้ไม่นาน เฟียร์ที่นิ่งฟังมาได้สักพักก็เกิดโทสะจนยกฝ่ามือขึ้นเตรียมจะฟาดฉาดไปที่ใบหน้าสวย ๆ ของฟลอร์เลน แต่ฝ่ามือของเธอกลับหยุดชะงักกับที่เมื่อสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปทันควัน
ทั่วร่างของฟลอร์เลนเปล่งรังสีอำมหิตขึ้นมาอย่างฉุดไม่อยู่ ออร่าสีเทาเข้มกระจายออกมาราวกับเป็นสัญลักษณ์ของจิตสังหารอันดุดัน แววตาของฟลอร์เลนเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ แม้กระทั่งไกร่าผู้มีร่างกายใหญ่โตยังขยับตัวออกห่างไปไกลหลายก้าว
“หากพวกเจ้าสามคนยังกล้าล่วงเกินข้าอีกล่ะก็ อย่าหาว่าไม่เตือน”
กล่าวจบฟลอร์เลนก็ก้าวเท้าฉับออกไปจากสถานที่มืดสลัวแห่งนี้ หลงเหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอเท่านั้น
“กรอด...อย่าคิดว่าข้าจะยอมเลิกราแค่นี้นะ!” เฟียร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อชั่วครู่เธอถึงกับเกิดความรู้สึก ‘หวาดกลัว’ ขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นทำให้เธอยอมรับไม่ได้เด็ดขาด
“ใจเย็นก่อนเฟียร์ ข้ามีความคิดดี ๆ” โมเรนเป็นคนพูดทำลายบรรยากาศนี้ขึ้นมา เพราะเขารู้ดีว่าหากไม่ใช่เขาก็คงไม่มีใครพูดขึ้น
“เจ้ามีความคิดอะไรของเจ้าที่จะลากคอยัยสารเลวนั่นมาแนบเท้าเราได้กันล่ะ?” เฟียร์ยังคงหงุดหงิดไม่หาย
“ใจเย็นก่อนสิ ฟลอร์เลนเป็นคนยังไงกัน? คิดหรือว่าแค่ลากมาแนบเท้าแล้วจะยอมจำนนต่อพวกเราได้ สิ่งที่ข้าคิดกลับเป็นเรื่องอื่นที่น่าจะทำให้ยัยนั่นเกิดความรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาบ้าง” โมเรนกล่าวพร้อมแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา นั่นทำให้เฟียร์รู้สึกแปลกใจจนความหงุดหงิดที่มีแทบจะหายไปหมด
“หมู่บ้านวาตะในหุบเขาวาตะนั่น...ดูเหมือนจะสงบสุขมานานแล้ว เจ้าว่างั้นมั้ย?”
เพียงคำพูดประโยคเดียวก็ทำให้เฟียร์เข้าใจขึ้นมาทันที เธอแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา
“บังเอิญจริง ข้าก็คิดแบบเดียวกัน”
ที่นี่...ที่ไหน?
เสียงรำพึงลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง
นั่นมันอะไร?
สิ่งที่ปรากฏคือภาพของก้อนหินขนาดใหญ่มหึมา...มันคืออุกกาบาตยักษ์ที่ลอยละลิ่วลงมาจากฟากฟ้า ภาพที่ปรากฏเป็นเช่นนั้น และดูเหมือนจะไม่มีมนุษย์คนไหนรู้สึกถึงภัยพิบัตินี้เลย
แย่ล่ะสิ ทุกคนหนีไป!
มัวยืนทำอะไรอยู่ หนีไปสิ!
แต่แม้เด็กหนุ่มจะตะโกนดังเพียงใดก็ไม่มีใครได้ยินเสียงนั้น
อุกกาบาตพุ่งเข้าชนเปลือกโลกส่งผลให้เกิดความเสียหายขึ้นเป็นวงกว้าง และปรากฏกองทัพสิ่งมีชีวิตปริศนาจำนวนมากมาย พวกมันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างไม่ปราณี เป็นภาพที่โหดร้ายเกินกว่าจะทนรับไหว
พอแล้ว หยุดเถอะ!
ภาพดังกล่าวเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพของดาวเคราะห์สีฟ้าที่เล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกิน นั่นคือดาวเคราะห์ดวงใดกัน? เด็กหนุ่มคิดสงสัยก่อนจะเห็นภาพลาง ๆ ของดาวเคราะห์อีกดวงที่ปรากฏขึ้นซ้อนทับกับดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนั้น แสงสว่างหลากสีสันค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเรืองรองเป็นออโรร่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นทัศนียภาพของสิ่งมีชีวิตรวมถึงภูมิประเทศหลายต่อหลายที่ก็พลันเปลี่ยนไปเป็นความอุดมสมบูรณ์
โลกที่กำลังจะหมดอายุขัยกลับคืนชีพอีกครั้ง ทั้งยังขยายขนาดใหญ่กว่าที่เคยเป็นมหาศาล
นั่นคือ...โลกที่เราอาศัยอยู่?
ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้ปรากฏเป็นภาพของชายหนุ่มผมดำร่างเล็กที่กำลังยืนประจัญหน้ากับชายที่มีรูปกายสูงใหญ่กว่าเจ็ดฟุต ผิวกายซีดเผือก ดวงเนตรแดงฉานดูน่าหวาดกลัวยิ่ง ในขณะที่ชายอีกคนกลับดูเหมือนกับคนธรรมดาที่ไม่มีพิษภัยอันใด เขาตั้งท่าร่างเตรียมพร้อมรับมือชายตรงหน้า แสงออร่าสีทองห่อหุ้มร่างกายของชายผมดำจนมิด
นั่นคือปราณมังกร!
ชายผู้มีปราณมังกรกู่ร้องเสียงดังจนพื้นดินสนั่นหวั่นไหว เขาพุ่งตัวเข้าไปหาชายร่างสูงใหญ่ก่อนที่ภาพการต่อสู้จะถูกตัดขาดและหายไปในที่สุด
หลงเหลือเพียงคำพูดปริศนาประโยคหนึ่งที่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท
สักวันหนึ่งข้าจะกลับมา...
“อ้า!”
สไปค์เด้งกายขึ้นจากเตียง ใบหน้าชุ่มเหงื่อกับใจที่เต้นรัวทำให้ความรู้สึกตอนนี้สับสนไปหมด เมื่อครู่เขาฝัน ซ้ำยังเป็นฝันที่แปลกประหลาดเหลือเกิน หลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝันราวกับเป็นภาพของประวัติศาสตร์ในอดีตที่เคยถูกบันทึกเอาไว้เมื่อพันปีก่อนอย่างไรอย่างนั้น
“เกิดอะไรขึ้น” ผู้พูดเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียง เขาเป็นชายวัยกลางคนผิวคล้ำ รูปร่างดูแข็งแรงกำยำมีกล้ามเนื้อ พอใส่เสื้อกล้ามสีขาวแล้วดูราวกับเนื้อผ้าจะปริแตกออกมา คน ๆ นี้ก็คือสเปียร์บิดาของสไปค์นั่นเอง
“ท่านพ่อ...ข ข้าฝันแปลก ๆ”
“ไม่ต้องกังวลหรอก” สเปียร์รีบเข้าไปนั่งข้างเตียงทันที “มันก็แค่ฝัน สักพักเจ้าก็จะลืมมัน”
“ครับ...” สไปค์ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจลงเพราะรู้สึกวางใจเมื่อพ่อของตนเข้ามานั่งอยู่ใกล้ ๆ สักพักลันนาร์แม่ของเขาก็ตามเสียงร้องก่อนหน้านี้เข้ามาและถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นกัน
เนื้อความหลัก ๆ น่ะหรือ...ไหนเลยเด็กหนุ่มจะจำได้ทั้งหมด เขาเล่าอย่างสำนึกผิดว่าเข้าไปในป่าลึกบนหุบเขาเพื่อหาที่สงบเอนกายหลับนอนเฉกเช่นทุกวัน ก่อนจะถูกฝูงหมาป่าขนสีน้ำตาลไล่ขย้ำจนบาดเจ็บสาหัส แล้วก็มีหญิงสาวแปลกหน้าโผล่มาช่วยชีวิตเขาไว้ พอสลบไปก็จำอะไรไม่ได้แล้ว
“หญิงสาวงั้นหรือ...” สเปียร์เอามือลูบคางทำสีหน้าฉงน “รูปกายเธอเป็นเช่นไร?”
“ข้าก็จำไม่ได้ทั้งหมด รู้แค่เพียงเธองดงามมาก แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่ากลับเป็นกลิ่นของเธอ”
“กลิ่น?”
“ใช่ เป็นกลิ่นหอมที่แปลก พอสูดดมเข้าไปกลับให้ความรู้สึกเจือจางเหมือนไม่มีกลิ่น แต่กลับเด่นชัดฝังติดอยู่ไม่ลืม”
“แสดงว่าตอนนี้เจ้าก็ยังจำกลิ่นนั้นได้”
“ข้าคิดอย่างนั้น”
สเปียร์ทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะฝากฝังสไปค์ให้ลันนาร์ดูแลต่อ เขารีบลงไปชั้นล่างทันที บ้านของสไปค์เป็นบ้านไม้เล็ก ๆ มีสองชั้นด้วยกัน ชั้นล่างจะมีห้องที่พ่อกับแม่นอน ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องของสไปค์เพียงคนเดียว ลักษณะภายนอกของบ้านแทบไม่ต่างจากบ้านไม้ทั่วไปเลย แค่ใช้ไม้เป็นองค์ประกอบหลัก ปูหลังคาด้วยกองฟางหนาเตอะ ตั้งเสาด้วยไม้ชั้นดีที่คัดสรรค์มา แค่นั้นเอง
ลันนาร์ยกข้าวต้มที่ต้มเผื่อไว้รอให้เขาฟื้นให้กับเขา สไปค์ค่อย ๆ กลืนข้าวเข้าไปทีละคำสองคำจนหมดก่อนจะลุกออกจากเตียงนอน ลันนาร์เล่าให้เขาฟังว่าเขาสลบอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน และสิ่งที่น่าแปลกคือทั่วร่างของสไปค์ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บอะไรเลยอย่างที่เขาเล่าให้ฟัง
นั่นก็ยิ่งทำให้สไปค์สงสัยเข้าไปอีก เพราะเอาเท่าที่จำได้คือเขาบาดเจ็บเสียเลือดจนสติพร่ามัวไปเสียด้วยซ้ำ แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เด็กหนุ่มเดินลงมาชั้นล่างก่อนจะบอกลาพ่อกับแม่เพื่อไปยังลานฝึกยุทธ์ทันที เพราะนี่ก็ได้เวลาที่ทุกคนจะเริ่มฝึกกันแล้ว และก็เป็นดั่งที่คาดเอาไว้ พอสไปค์มาถึงก็ได้เวลาเริ่มฝึกพอดี ครูฝึกสอนคนเดิมใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงเต็มในการให้เด็ก ๆ ฝึกออกท่าร่างการใช้หมัดหรือเท้าตามเคย
“พักสิบนาที หลังจากนั้นจะเริ่มต้นฝึกพลังปราณ!” ครูฝึกเปล่งเสียงดังพอให้เด็กทุกคนได้ยิน
เด็ก ๆ ทุกคนต่างทรุดกายลงกับพื้นอย่างเหนื่อยล้า มีบ้างที่ยังทำท่าทีอวดเก่งเหมือนตั้งใจจะแสดงออกมาว่าแค่นี้ข้าไม่เหนื่อยหรอก พวกเจ้านี่กระจอกชะมัด โดยส่วนมากแล้วพวกที่แสดงออกแบบนี้มักจะชอบวางตัวเป็นหัวโจกในกลุ่มเด็ก ๆ ด้วยกัน
หนึ่งในนั้นก็คือกาเรน เด็กหัวโจกวัยสิบขวบที่มักจะแสดงท่าทางอวดเบ่งให้เด็กคนอื่นหวาดกลัวและเชื่อฟังตนเสมอ หากใครไม่เชื่อฟังจะต้องถูกลงโทษด้วยการใช้กำลัง ซึ่งก็มักจะไม่ค่อยมีใครต่อต้านนัก เพราะกาเรนนอกจากจะแข็งแรงแล้วยังเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของหัวหน้าหมู่บ้านอีกด้วย
“เฮอะ ชั่วโมงฝึกปราณก็คงน่าเบื่ออีกเช่นเคย” โทบี้แกล้งทำเสียงดัง ลูกนัยน์ตากลิ้งกลอกไปมาเหมือนมีจุดประสงค์ไม่ดีบางอย่าง
“ทำไมล่ะ” โทบี้ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มของกาเรนร้องทักขึ้นมา
“ก็ทุก ๆ วันข้าจะต้องมาฝึกฝนฝีมือร่วมกับสวะบางคนที่แม้แต่เปล่งสีออร่ายังทำไม่ได้ยังไงเล่า!”
พลันนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้น มีทั้งที่หัวเราะแบบตั้งใจหัวเราะ และฝืนหัวเราะเพราะหวาดกลัวบารมีของเขา
“ว่าไงสไปค์? ข้าว่าชั่วโมงฝึกปราณเจ้าไม่ต้องอยู่ก็ได้ รีบ ๆ ไปนอนบนต้นไม้ให้ฝูงหมาป่าไล่กัดตูดเล่นอีกรอบเป็นยังไง? ฮ่า ๆๆๆ” กาเรนหัวเราะเยาะเย้ยพลางหันไปตบบ่าโทบี้อย่างพออกพอใจ
“นั่นสินะ แต่ข้าว่าเจ้าควรจะสนใจการฝึกมากกว่ามาสนใจคนอย่างข้านะว่างั้นมั้ย เพราะไม่งั้นพ่อของเจ้าคงจะยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเมื่อได้รู้ว่าแต่ละวันเจ้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจฝึกมากสักเท่าไหร่” สไปค์สวนกลับในสีหน้าเรียบเฉย แม้แต่หน้าของกาเรนเขาก็ไม่หันมามองเสียด้วยซ้ำ
“ว่าไงนะ ไอ้คนไร้ค่าอย่างเจ้าน่ะหุบปากไปเลย คนอย่างข้าต่อให้ไม่ฝึกก็แข็งแกร่งที่สุด เจ้าถือดีอะไรมาว่าข้ากันหา!” กาเรนลุกขึ้นยืนหมายจะตรงเข้าไปสั่งสอน แต่กลับมีร่างเล็กบางตรงเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งคู่เอาไว้ คน ๆ นั้นคือเด็กสาวนามว่าอาเทียร์
“หยุดนะ เดี๋ยวครูฝึกมาเห็นเจ้าก็โดนลงโทษหรอก”
“ถอยไปนะ ถ้าไม่ได้สั่งสอนไอ้คนอวดดีนี่ข้าคงนอนตายตาไม่หลับ”
“อ้าว เจ้าจะตายแล้วหรือ พึ่งสิบขวบปีดีดัก ไม่น่ารีบนะ”
“กรอด...อาเทียร์ ดูสิ่งที่มันพูดสิ ถ้ายังไม่รีบถอยออกไปอีกอย่าหาว่าข้าใช้กำลังกับผู้หญิง!”
“สไปค์! เจ้าก็อีกคน อย่าแกว่งปากหาเสี้ยนให้มันมากนักเลย!”
“ข้าก็แค่ถาม นี่เป็นประโยคคำถาม ข้าผิดอะไร เจ้าหมอนั่นเป็นคนพูดเองกับปากว่าคงนอนตายตาไม่หลับ นี่มันคำพูดของคนที่เตรียมใจจะตายมิใช่รึ” สไปค์ยังกล่าวต่อไปอย่างไม่กลัวเกรง
“ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!” กาเรนปัดร่างของอาเทียร์จนกระเด็นออกไปไกลก่อนจะเอามือคว้าคือเสื้อของสไปค์แล้วกระชากขึ้นมา ขณะที่ง้างหมัดขึ้นเตรียมจะต่อยนั้นเอง กาเรนกลับรู้สึกว่ามีเรี่ยวแรงขุมหนึ่งเข้ามาหยุดลำแขนเขาเอาไว้
“คนที่จะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านในอนาคตเขาไม่มาหัวเสียกับเรื่องแค่นี้หรอกนะ เจ้ารู้ใช่ไหม” คนพูดคือครูฝึกนั่นเอง เขาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีเลยตรงเข้ามาห้ามเอาไว้ได้ทัน กาเรนกัดฟันด้วยความเจ็บใจ เขาสบถอย่างหัวเสียใส่ครูฝึกก่อนจะหันหลังเดินออกไปยังตำแหน่งฝึกของตัวเอง
สไปค์ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ หากไม่ได้ครูฝึกมาช่วยเอาไว้ล่ะก็ อาจบางทีคงจะโดนต่อยจนลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังมิวายโดนครูฝึกดุว่าทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่จะประกาศเริ่มชั่วโมงฝึกพลังปราณ สไปค์ประจำตำแหน่งของตัวเองก่อนจะรวบรวมสมาธิเฉกเช่นทุกวัน
การจะแสดงพลังปราณออกมาได้นั้นมีอยู่สองกรณี นั่นก็คือพรสวรรค์และการฝึกฝน โดยส่วนมากแล้วเด็ก ๆ ทุกคนจะค้นพบสีของปราณได้โดยบังเอิญก่อนที่จะเริ่มต้นฝึกฝนเพื่อใช้งานมันออกมาได้อย่างไม่ติดขัดอะไร
วิธีการฝึกก็คือการยืนนิ่ง หลับตา เริ่มต้นด้วยการรวบรวมสมาธิและใช้ความคิดประหนึ่งว่าทุกสิ่งโดยรอบไม่มีตัวตนอยู่ มีเพียงผู้ใช้ปราณเท่านั้นที่ยืนอยู่ที่นี่ สมาธิจะดึงเอาศักยภาพที่แฝงอยู่ภายในออกมาโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่านี่เป็นหลักการพื้นฐานที่ใครก็ทำได้ แต่สไปค์กลับทำไม่ได้ ทั้งที่เขาทำตามวิธีทุกอย่างแต่กลับไม่สามารถดึงเอาพลังปราณของตนออกมาได้สักที หรือเขาเป็นคนไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีพลังปราณเหมือนอย่างใคร?
นั่นคือสิ่งที่เคยเป็นมา เพราะไม่รู้ทำไมวันนี้เขากลับเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาว่าตนจะแสดงพลังปราณออกมาได้ เด็กหนุ่มตั้งใจรวบรวมสมาธิ เขาไม่คิดถึงเรื่องอะไรเลยทั้งสิ้น รับรู้เพียงแค่ตัวตนที่กำลังรู้สึกลอยคว้างทั้งที่กำลังยืนอยู่กับที่
และแล้ว...สิ่งที่ควรปรากฏก็พลันปรากฏออกมา
“บ้าน่ะ! เป็นไปไม่ได้!”
เสียงร้องของเด็กบางคนดังขึ้นกะทันหันจนทำให้เด็กคนอื่น ๆ หันหน้าตามกันมาตามทิศทางของเสียง สายตาของเด็กคนที่ตะโกนออกมาจับจ้องไปยังร่างของสไปค์ที่ถูกออร่าสีม่วงเข้มห่อหุ้มอยู่ราวกับเป็นอาภรณ์แห่งความมืดมิด ไม่ผิดแน่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรนั่นก็คือปราณพลัง ในที่สุดสไปค์ก็แสดงพลังปราณออกมาได้แล้ว
“แต่ว่า...สีม่วงเข้มนี่มัน”
“นั่นคือปราณอะไร”
“ไม่เคยมีปราณไหนมีสีม่วงเข้มมาก่อน”
สไปค์ลืมตาขึ้นมามองดูสีม่วงเข้มที่ห่อหุ้มร่างของตนอยู่ ใช่แล้ว เขาเองก็ไม่รู้ นี่มันคือปราณอะไรกัน
“เฮอะ ก็คงจะเป็นปราณสวะ ๆ ที่ไม่มีใครเขาอยากได้นั่นล่ะ ก็เหมาะสมกับสวะอย่างเจ้าดีนะ สไปค์” กาเรนตะโกนมาจากแถวหน้าพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง ครูฝึกอดไม่ได้ที่จะตำหนิเขาอีกครั้งก่อนจะเดินไปหาสไปค์ สีหน้าของครูฝึกบ่งบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่านี่คือปราณอะไร
“ทุกคนตั้งใจฝึกปราณ ส่วนสไปค์...เจ้าพึ่งจะเรียกปราณของตัวเองออกมาได้ แม้จะไม่รู้ว่ามันคือปราณอะไร แต่ก็ต้องฝึกฝนเช่นเดียวกับคนอื่น อย่าคิดว่ามันคือเรื่องแปลกล่ะ”
“ทราบแล้วครับ” สไปค์พยักหน้ารับคำ ก่อนจะเริ่มฝึกฝนต่อทันที
พระอาทิตย์ตกดิน
ทุกคนต่างเตรียมสำรับอาหารเพื่อจะรับประทานกันอย่างขะมักเขม้น สไปค์เล่าเรื่องเกี่ยวกับปราณแปลก ๆ ของตนเองให้พ่อกับแม่ฟังก่อนที่จะขอปลีกตัวออกไปฝึกฝนเพียงลำพังที่ลานฝึกยุทธ์ ซึ่งในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ เด็กหนุ่มอยู่ที่นี่เพียงลำพังก่อนจะตั้งสมาธิเรียกปราณสีม่วงเข้มออกมาอีกครั้ง
“เจ้าคือปราณอะไรกัน...ข้าไม่รู้สึกถึงพลังความพิเศษอะไรเลย”
เป็นดั่งที่เขากล่าวออกมา เพราะตลอดหลายปีมานี้เขาสังเกตมาตลอด เวลามีเด็กคนไหนเรียกปราณออกมาได้จะต้องโอ้อวดถึงความรู้สึกพรั่งพรูเกี่ยวกับพลังกันทั้งนั้น แต่เขากลับไม่เป็นเช่นนั้น เขายังคงรู้สึกเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว หรือแท้จริงแล้วปราณที่เขาเรียกออกมาได้จะเป็นปราณสวะอย่างที่กาเรนกล่าวไว้จริง ๆ
ขณะที่คิดอยู่นั้น จู่ ๆ สไปค์ก็ได้กลิ่นควันไฟลอยออกมาจากทิศทางของบ้านเรือน เขารีบหันไปมองยังจุดนั้นก่อนจะพบว่ามีกลุ่มก้อนควันไฟลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าจริง ๆ ต้นตอด้านล่างยังมีแสงสีส้มแปลบปลาบไปมา นี่หรือว่าไฟกำลังไหม้หมู่บ้านอยู่ ไม่รอช้า เด็กหนุ่มรีบสาวเท้าตรงไปยังจุดบ้านเรือนอย่างเต็มกำลัง ในใจภาวนาขออย่าให้ครอบครัวของตนต้องเป็นอะไรไปเลย
แต่ลางสังหรณ์แปลก ๆ กลับบอกเขาว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้จะเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน