ตอนที่แล้วบทที่ 9 เป้าหมายคือ ‘เจ้าตำหนัก’
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 เจ้าตำหนักอัคคี

บทที่ 10 การหายตัวไปของฟาร์ชูลัน


บทที่ 10 การหายตัวไปของฟาร์ชูลัน

การหายตัวไปของฟาร์ชูลันกินเวลาผ่านไปเกือบสัปดาห์...

                        ไม่ใช่ว่าหาตัวเธอไม่เจอ หรือไม่พยายามหา เพราะทั้งสไปค์และซิลเวอร์เองต่างก็ใช้ทุกวิถีทาง เขาพยายามถามทางเจ้าของหอพักนักเรียนหญิงจนได้รับการอนุญาตให้ไปสำรวจห้องของฟาร์ชูลัน และที่นั่นไม่มีใครอยู่เลย ข้าวของยังคงเดิมไม่กระจัดกระจายออกนอกลู่นอกทาง หนำซ้ำยังไม่มีเบาะแสอะไรให้ตามต่อได้ด้วย

หอพักนักเรียนหญิงไม่มีแม้กระทั่งเงาของเธอให้สืบหา เพราะเหตุนั้นทั้งคู่จึงต้องลองหาวิธีอื่น โดยตระเวนไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในรั้วสถาบันเพื่อสืบเสาะแต่ก็ไม่พบเจออะไร ขณะเดียวกันนั้นข่าวลือหนาหูเรื่องมารที่ปลอมแปลงกายเป็นมนุษย์ลอบเข้ามาที่สถาบันก็เริ่มหนาหูขึ้นอย่างลับ ๆ และนักเรียนหลายคนต่างก็เชื่อว่าฟาร์ชูลันคือเหยื่อคนล่าสุดที่ถูกมารตนนั้นจับตัวไป

“คิดในแง่ดีนะ เธออาจจะกลับบ้านเกิดเอทาเนียร์เพื่อไปทำอะไรสักอย่างก็ได้” ซิลเวอร์พูดกับสไปค์เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนชายดูไม่ค่อยดีนัก เพราะหลายวันที่ไม่ได้เจอฟาร์ชูลัน ไม่ได้ทราบข่าวคราว พอรวมกับข่าวลือเรื่องมารมันทำให้รู้สึกวิตกกังวลจริง ๆ

สไปค์ไม่ได้บอกซิลเวอร์หรือใคร ๆ ว่าเขาเคยได้พบเจอกับมารตัวเป็น ๆ มาแล้ว ดังนั้นเขารับรู้ถึงบรรยากาศและความน่ากลัวของมารพวกนั้นดีที่สุด เพราะเหตุนี้จึงเป็นกังวลยิ่งกว่าใครว่าฟาร์ชูลันจะโดนมารทำร้ายและอาจจะรอความช่วยเหลือจากเขาอยู่ก็ได้

“เออใช่ ช่วงนี้มีข่าวรับสมัครเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ด้วยล่ะ เจ้าสนใจมั้ย” จู่ ๆ ซิลเวอร์ก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง เขาพูดต่อทันที “ผู้ชนะการประลองจะได้รับสิทธิในการต่อสู้ชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักกับเจ้าตำหนักคนไหนก็ได้ นี่เป็นโอกาสของเจ้าไม่ใช่เหรอ” กล่าวจบ สไปค์เงยหน้าขึ้นมาทันที

“เจ้าตำหนัก...จริงสิ ขอบใจนะซิลเวอร์!” คำพูดของซิลเวอร์กระตุ้นความคิดหนึ่งขึ้นมา ถ้าเกิดว่าเขากับซิลเวอร์หาตัวฟาร์ชูลันไม่เจอ ดังนั้นทำไมไม่ไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าตำหนักล่ะ ถ้าเป็นทางนั้นที่มีตำแหน่งใหญ่โตมาช่วยเหลือล่ะก็อาจจะมีวงข่าวที่กว้างขวางกว่านี้ก็ได้

พอคิดได้แบบนั้นสไปค์ก็วิ่งออกไปทันที ปล่อยให้ซิลเวอร์ยืนงงอยู่คนเดียว

 

ตำหนักวายุ

อาณาเขตของตำหนักวายุนั้นกว้างขวางและสวยงามสมกับเป็นที่อยู่อาศัยของคนระดับเจ้าตำหนัก เมื่อสไปค์เดินทางถึงที่นี่ก็ได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างดี เหล่าข้ารับใช้ชุดดำจำนวนมากเหมือนรู้ว่าเขาจะมา เพราะต่างก็ยืนรายล้อมเรียงกันเป็นตับพร้อมมีอาวุธครบอยู่ในมือ

ความจริงสไปค์อยากจะไปที่ตำหนักเมฆาอันเป็นที่อยู่ของฟลอร์เลนมากกว่า แต่การจะไปถามหาตัวฟาร์ชูลันกับฟลอร์เลนนั้น...ไม่รู้ว่าทำไม แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันออกจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ เขาจึงเลือกมาที่ตำหนักวายุนี้แทน

“ข้าไม่ได้มาท้าสู้กับเจ้าตำหนักของพวกเจ้าหรอกน่า” ชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น “ขอเข้าไปหาซิลเฟร์หน่อยได้หรือเปล่า?”

“สามหาว! ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกท่านเจ้าตำหนักด้วยชื่อห้วน ๆ แบบนั้น!”

“เอ่อ...ขอข้าเข้าไปหาท่านเจ้าตำหนักวายุหน่อยได้หรือเปล่า?” สไปค์เปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที แต่เหล่าข้ารับใช้ชุดดำก็ยังคงไม่หลีกทางให้ ชายหนุ่มรู้สึกจนใจกับสถานการณ์ตึงเครียดนี้ หากจะเข้าไปมันต้องยากเย็นถึงขนาดนี้เลยหรือไงกันนะ สไปค์คิดเช่นนั้นพลางเอามือเกาศีรษะตน

สายลมวูบหนึ่งพัดมา ใบไม้จากต้นไม้รอบข้างพลันหมุนวนไปมาอยู่จุดเดียว ชั่วพริบตานั้นร่างของบุรุษผิวสีแทนก็ปรากฏตัวขึ้น เรือนผมสีขาวหยักศกยังคงสง่างามตัดกับสีผิวเหมือนดั่งที่เคยพบเจอกันมาก่อน

“ท่านเจ้าตำหนัก!” เสียงของข้ารับใช้ชุดดำกล่าวขึ้นพร้อมกันก่อนจะคุกเข่าเพื่อความเคารพ

“เจ้ามีธุระอะไรที่นี่” ซิลเฟร์ถามพลางมองดูใบหน้าของสไปค์

“มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ” สไปค์ตอบกลับไป สีหน้าจริงจังเสียจนซิลเฟร์สัมผัสถึงความผิดปกตินั้นได้

 

ภายใต้ศาลาสีแดงซึ่งตั้งอยู่เหนือใจกลางบ่อน้ำขนาดใหญ่ภายในตำหนักวายุ ชายหนุ่มสองคนนั่งสนทนากันอยู่ใต้ศาลา มีน้ำชากลิ่นหอมลอยละล่องไปตามลม

“งั้นหรือ...หญิงสาวคนนั้น” ซิลเฟร์นึกถึงใบหน้าของฟาร์ชูลัน แม้ในตอนนั้นจะไม่ได้กล่าวถึงเธอสักถ้อยประโยค แต่เขาก็ยังจำได้ว่าใครบ้างที่ตามหาสไปค์ในวันนั้น

“ช่วยหน่อยได้ไหม พอมีเบาะแสอะไรบ้าง ข้ารู้มาว่าช่วงนี้มีมารปลอมแปลงกายเข้ามา กลัวว่านั่นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟาร์ชูลันต้องหายตัวไป” สไปค์มีสีหน้าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คิ้วของซิลเฟร์กระตุกหนึ่งที

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามีมารปลอมแปลงกายเข้ามาที่สถาบัน?”

“เอ่อ...ไม่รู้หรือว่าช่วงนี้มีข่าวลือหนาหูในหมู่นักเรียนทุกเกรดนั่นล่ะ เพราะมีนักเรียนหลายคนเองก็หายตัวไปอย่างลึกลับ” แม้จะพยายามตอบเลี่ยง แต่สิ่งที่สไปค์พูดมาก็เป็นความจริงเช่นกัน นั่นทำให้ซิลเฟร์ที่นิ่งจ้องอยู่ชั่วครู่ถึงกับคลายความสงสัยลง

“ข่าวลือนั่นไม่ใช่เพียงข่าวลือ แต่เป็นความจริง และพวกเราเจ้าตำหนักกำลังสืบค้นหามารตนนั้นอยู่ แต่ยังหาไม่พบ”

“อะไรนะ! มีมารเข้ามาจริง ๆ สินะ!” สไปค์ลุกขึ้นยืนเอามือทั้งสองฟาดลงที่โต๊ะจนสร้างความแตกตื่นให้กับเหล่าข้ารับใช้ที่กำลังระวังภัยอยู่รอบข้าง การกระทำอันไร้มารยาทนี้เป็นใครก็ไม่กล้าทำแน่เมื่ออยู่ต่อหน้าของซิลเฟร์

“นั่งลงซะ หากทำตัวไร้มารยาทต่อข้าอีก ข้าจะไม่อดทน”

“ข...ขอโทษ” เมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวซิลเฟร์เปลี่ยนไป สไปค์ที่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้จึงลดอาการตื่นเต้นลงอีกครั้ง

“ข้าจะรับเรื่องนี้ไว้ เพราะถึงอย่างไรการหายตัวไปของสหายเจ้าก็น่าจะมีความเกี่ยวพันถึงมารตนนี้อยู่” ซิลเฟร์พูดพลางเอามือลูบปลายคางตนเอง ชั่วขณะนั้นเขาเงียบไปเหมือนต้องการครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “แต่มีเรื่องหนึ่งที่น่าสงสัยเกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา”

“นั่นคือเรื่องอะไร?”

“ช่วงนี้เจ้าตำหนักอัคคี ฟาร์เชน สุขภาพร่างกายย่ำแย่จนไม่สามารถเข้ามาร่วมประชุมได้หลายครั้ง ในครั้งที่มาร่วมประชุมระหว่างเจ้าตำหนักด้วยกันก็ต้องฝืนร่างกายมา ซึ่งเธอไม่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน”

ซิลเฟร์นึกถึงภาพร่างของหญิงสาวผิวดำคนหนึ่งขึ้นมา เธอมีสัดส่วนรูปร่างที่ดูดีมีเสน่ห์เหมือนนางแบบชื่อดัง ริมฝีปากอวบอิ่มนั้นชวนให้ลิ้มลองสัมผัส เรือนผมสีบลอนด์ทองยาวสลวยลงมาเป็นลอน บุคลิกของเธอดูมีความมั่นอกมั่นใจ เพราะการแต่งกายก็ไฮเปอร์ทันยุคสมัยไม่เหมือนเจ้าตำหนักคนอื่น ๆ

กับคนแบบนั้นกลับล้มป่วยติดต่อกันมานานหลายวัน นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับซิลเฟร์...

“จริง ๆ พวกเราเจ้าตำหนักหากร่วมมือกันล่ะก็ ไม่ว่าข่าวคราวใดในสถาบันล้วนต้องสำเร็จราบรื่นเป็นไปได้ด้วยดี แต่ครั้งนี้กลับยังหาต้นตอไม่เจอสักที มันน่าแปลก เพราะเหมือนมีใครบางคนพยายามขวางกั้นและทำลายร่องรอยในทุกครั้งที่พวกเรากำลังจะตามเจอ” ซิลเฟร์กล่าวเช่นนั้น คำพูดของเขาส่อแววสงสัยและประหลาดใจออกมาพร้อมกัน

“ให้ข้าช่วยไหม ถ้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนล่ะก็ น่าจะทำให้เรื่องจบง่ายขึ้น เพราะข้าเองก็กังวลกับการหายตัวไปของฟาร์ชูลันเหมือนกัน”

“เจ้ามีความสามารถในการสืบเสาะหรือไง?”

“แน่นอน ข้าทำได้ทุกอย่างนั่นล่ะ”

“อย่าพูดอะไรเกินจริงมากไปนัก กับคนที่พอจะโดนเตะเข้าหน่อยก็หลับตาปี๋แบบนั้น ข้าไม่คิดว่าพอเจอสถานการณ์รบจริงแล้วจะรอดชีวิตกลับมาได้” แน่นอนว่าซิลเฟร์กำลังบรรยายสถานการณ์ตอนที่เขาต่อสู้กับสไปค์เมื่อหลายวันก่อน และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหมดความสนใจที่จะต่อสู้กับสไปค์อีกเป็นครั้งที่สอง

“ครั้งนั้นก็ส่วนครั้งนั้นสิ เจ้าเล่นงานข้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ ถ้าเริ่มใหม่แล้วข้าเอาจริงขึ้นมาล่ะก็ข้าสู้เจ้าได้แน่!” สไปค์แย้งกลับ น้ำเสียงไม่ยอมแพ้ นั่นจึงทำให้ซิลเฟร์หลุดขำออกมา

“’งั้นก็สมัครเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ซะสิ จะได้ตัดสินกันต่อหน้าคนอื่น ๆ ไปเลย” ซิลเฟร์ยื่นข้อเสนอ

“งานประลอง? อ๋อ...ไอ้ที่ซิลเวอร์บอกนั่นสินะ” สไปค์ทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะพูดต่อ “หลายขั้นตอนจัง ข้าต้องชนะเป็นแชมป์ซะก่อนถึงจะมีสิทธิ์ท้าดวลกับเจ้าตำหนักเพื่อชิงตำแหน่งงั้นสินะเนี่ย...”

“ใช่ งานประลองจะเริ่มในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ระหว่างนี้ก็ตั้งใจฝึกฝนฝีมือเข้าเถอะ”

“ได้! ข้าจะมาร่วมด้วยแน่ ...ว่าแต่มันสมัครยังไงนะ”

“มีรับสมัครหน้างาน ส่วนคู่ประลองจะมีระบบสุ่มอัตโนมัติจากจำนวนคนสมัครทั้งหมดให้”

“งั้นก็ตกลง เจ้าล้างคอรอไว้ให้ข้าไปแก้มือเถอะ”

สไปค์พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนคนอารมณ์ดี ก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้ว่าแท้จริงแล้วเนื้อหาที่สำคัญยังคงคุยกันไม่จบ ซิลเฟร์เองก็รู้จึงได้ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ถ้าเจ้าสนใจจะช่วยข้าสืบหาเรื่องนี้จริง ๆ ล่ะก็ ข้าก็มีงานมอบหมายให้ทำ และน่าจะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำงานนี้ได้” คำพูดของซิลเฟร์แฝงนัยนะบางอย่าง นั่นทำให้สไปค์รู้สึกถึงกลิ่นไม่ชอบมาพากลในคำพูดนั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องหาฟาร์ชูลันให้เจอ ถ้าเธอตกไปอยู่ในเงื้อมมือมารล่ะก็... แค่คิดก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ข้าก็ยินดีรับทำ สั่งข้ามาได้เลยท่านเจ้าตำหนัก”

เมื่อได้ยินคำตอบ รอยยิ้มแสยะก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเจ้าตำหนักวายุ

 

ค่ำคืนวันเดียวกัน ในยามดึกสงัดเช่นนี้ไม่มีแม้แต่สรรพเสียงของสิ่งมีชีวิต มีเพียงแสงไฟจากหลอดสะสมพลังงานแสงอาทิตย์เมื่อตอนกลางวันกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมาในจุดที่แสงสว่างจากหลอดไฟส่องไม่ถึง ลมกลางคืนหนาวเย็นกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อบุรุษหนุ่มที่ยืนแอบอิงอยู่ใกล้ชิดกำแพงสีเทาเข้มซึ่งมีลวดลายของเปลวเพลิงวาดไว้เป็นระลอก

สไปค์ในชุดอำพรางสีดำคลุมมิดทั้งตัวเหมือนกับพวกนินจาในยุคสมัยโบราณเมื่อพันกว่าปีก่อน เขาได้ชุดนี้มาจากความร่วมมือของซิลเวอร์ที่ไปคุ้ยมาจากไหนก็ไม่ทราบได้

ชายหนุ่มอิงแอบอยู่ชิดกำแพงในเงามืดใต้ต้นไม้ใหญ่ อำพรางตัวตนเต็มที่ชนิดที่ไม่ต้องการให้มดสักตัวมาสังเกตเห็น เขาค่อย ๆ ย่องไปทีละคืบสองคืบเพื่อดูว่ายามที่รักษาเวรหน้าประตูกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อเห็นว่ายังมีคนคุมอยู่หน้าประตูแน่นหนา สไปค์จึงมองหาช่องทางอื่นที่จะเข้าไปยังสถานที่แห่งนี้

เข้าไปยังตำหนักอัคคี...

นี่นับเป็นการกระทำที่บ้าระห่ำมาก แต่เชื่อไหมว่าคำสั่งนี้ถ่ายทอดมาโดยตรงผ่านปากของซิลเฟร์ผู้เป็นเจ้าตำหนักวายุ และก็ไม่มีลายลักษณ์อักษรอะไรด้วย นับได้ว่านี่เป็นภารกิจลับโดยแท้...สไปค์อดตื่นเต้นไม่ได้ที่ต้องมารู้สึกตัวว่าตนเองกำลังรับบทสายลับเหมือนหนังดังสักเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรแบบนั้น เขามองดูข้างบนกำแพงก่อนจะพบว่ามีระยะสูงจากพื้นประมาณห้าเมตรได้ ซึ่งแค่นี้ไม่เป็นอุปสรรคในการกระโดดขึ้นไปอยู่แล้ว ปัญหาคือถ้าข้ามไปโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้อาจจะโดนเจอตัวหรือเปล่านี่ล่ะ

การรักษาความปลอดภัยของตำหนักอัคคีจะเน้นหลักที่ประตู ส่วนอื่นไม่ค่อยมีหรอก

                        นี่คือคำพูดที่ซิลเฟร์บอกกับเขาไว้ ดังนั้นสไปค์จึงตัดสินใจเชื่อดู เขาทำท่าจะกระโดดขึ้นไป นับหนึ่งสองในใจแล้วก็ทะยานตัวขึ้นมาเหยียบบนกำแพงแล้วข้ามลงไปด้านล่าง พอเท้าสัมผัสพื้นก็พุ่งตัวเข้าไปในเงามืดตามซอกหลืบของสิ่งก่อสร้างภายในนั้นอย่างรวดเร็ว

แม้สถานที่แห่งนี้จะถูกเกาะกุมด้วยความมืดมิด แต่ก็พอจะมองออกว่ามีสิ่งก่อสร้างทรงอาคารน้อยใหญ่จำนวนไม่น้อยที่เรียงรายต่อกันไปมา และถ้าเดินตรงไปอีกจะพบกับหอคอยสีแดงเพลิงที่เป็นที่อยู่ของเจ้าตำหนักอัคคี ฟาร์เชน หนึ่งในสองสตรีที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสถาบันแห่งนี้

สไปค์ก้าวเท้าวิ่งตรงไปยังซอกหลืบในเงามืดของอาคารหลายต่อหลายหลัง ทะยานไปอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า เป็นอย่างที่ซิลเฟร์พูดเอาไว้ การรักษาความปลอดภัยของที่นี่ไม่แน่นหนาเอาซะเลย ถึงกับปล่อยให้คนแปลกหน้าย่องเบาเข้ามาถึงขนาดนี้ได้ เจ้าตำหนักอัคคีคิดอะไรอยู่กันแน่

ไม่นานนักก็มาหยุดอยู่ที่ซอกหลืบอาคารหลังสุดท้ายที่พอจะมองเห็นคนเฝ้ายามหน้าหออัคคี แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรต่อสไปค์กลับรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา เพราะมีบรรยากาศแปลก ๆ ลอยละล่องออกมาจากภายในนั้น

น่าสงสัยจริง ๆ ด้วย

ดูเหมือนว่าลางสังหรณ์ของซิลเฟร์จะไม่ผิดไปจากความจริงเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม...การจะไปต่อจากตรงนี้ได้ดูจะมีหนทางจำกัดเหลือเกิน เพราะทางเข้ามีเพียงทางเดียว จะให้ปีนหอคอยขึ้นไปก็คงไม่ได้อีก สไปค์จนใจต้องพยายามหาช่องว่างเพื่อเข้าประชิดคนเฝ้ายามสองคนนั้น แต่ยังหาจังหวะไม่ได้สักที

หากพลาด...นั่นอาจหมายถึงชีวิต...

สไปค์เฝ้าอดทนรอจังหวะมานานกว่าชั่วโมง จนกระทั่งเริ่มมองเห็นยามคนหนึ่งหันหลังเดินเข้าไปข้างในหอคอย โอกาสมาถึงแล้ว! สไปค์ใช้ทุกอย่างเท่าที่มีพุ่งไปยังจุดนั้นโดยไม่ให้เกิดเสียงและต้องไวที่สุด เขาย่องเข้าข้างหลังยามคนนั้นก่อนจะฟาดสันมือใส่หลังคอจนยามคนนั้นล้มลงสลบภายในอ้อมแขน สไปค์รีบจัดแจงพื้นที่ตรงนั้น ดึงยามคนนั้นเข้าไปซ่อนอยู่ในพุ่มหญ้าสูงใกล้ ๆ ก่อนจะหยิบเอาเครื่องแต่งกายของยามมาใส่แทน

นี่เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่เขาจดจำมาจากหนังสายลับที่เคยดูเมื่อสมัยเด็ก พอทำเข้าจริงถึงจะตื่นเต้นกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ได้ผลแฮะ

เครื่องแต่งกายของยามเฝ้าหออัคคีมีลักษณะเหมือนชุดเกราะของซามูไรซึ่งเป็นชื่อของนักรบโบราณในประเทศญี่ปุ่นที่ปัจจุบันล่มสลายไปแล้ว ลำตัวเป็นเกราะเบาสีดำมีลายพาดสีทอง ส่วนล่างเป็นกางเกงลำลองสีดำทับด้วยเกราะเอวสีเดียวกันกับเกราะลำตัว ส่วนศีรษะมีหมวกเกราะสีเดียวกันปกปิดใบหน้าเอาไว้ได้มิดชิด

“เอาล่ะ”

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจบริเวณนี้แล้ว สไปค์ก็ทำท่าไม่ยี่หระเดินเข้าไปในหอคอยอัคคีและพยายามทำตัวปกติไม่ให้เกิดพิรุธแก่ผู้พบเห็น แม้ว่าเขาจะยังไม่พบเจอใครเลยก็ตาม

ข้างในหอคอยมืดกว่าที่คิด แม้จะมีแสงสว่างสีส้มจากโคมไฟข้างทางเป็นระยะแต่ก็มีเพียงแค่นั้นเอง บรรยากาศโดยรวมมันดูสลัวเป็นพิเศษจนให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าบ้านผีสิง สไปค์สังเกตเห็นเทคโนโลยีของที่นี่ที่มันค่อนข้างโบราณน่าดูเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่สถาบันหรือภายนอกสถาบันใช้อยู่

เขาเดินขึ้นไปบันไดมาหลายชั้นและก็ต้องพบว่าไม่มีใครอยู่เลย นี่มันช่างน่าแปลกอย่างที่ซิลเฟร์บอกเอาไว้จริง ๆ ชายหนุ่มเดินตรงขึ้นบันไดมาเรื่อย ๆ ก่อนที่จะได้ยินเสียงชุดเกราะดังขึ้นมาในความมืดมิดใกล้ ๆ ไม่รู้ว่าเขาเดินขึ้นมาถึงชั้นไหนแล้ว รู้แต่ว่าสูงจากพื้นน่าดู เพราะเมื่อสังเกตออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าเดินอีกนิดเดียวก็จะถึงก้อนเมฆอยู่แล้ว

มีร่างในชุดเกราะเดินออกมาจากเงามืด สไปค์ตื่นตระหนกขึ้นทันควัน คน ๆ นั้นคือยามคนที่เข้าไปในหอคอยก่อนหน้านี้

“เจ้า...ไม่ใช่ว่าข้าบอกให้เจ้าเฝ้าระวังภัยที่ชั้นล่างหรอกหรือ?” ยามคนนั้นเอ่ยออกมา

“ข้า...ข้าพบเห็นสิ่งผิดปกติ เลยรีบขึ้นมารายงานท่านเจ้าตำหนักน่ะสิ” สไปค์พยายามพูดไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย

“สิ่งผิดปกติ?”

“ใช่ ข้าเจอเงาแปลก ๆ วิ่งไปมาบนพื้นหญ้า เกรงว่าอาจจะเป็นผู้บุกรุก”

“งั้นรึ...เข้าใจแล้ว เจ้าไปรายงานสิ่งที่เจ้าเห็นกับท่านเจ้าตำหนัก ข้าจะรีบลงไปข้างล่าง”

“ได้เลย!” สไปค์ทำท่าจะวิ่งไป แต่จังหวะนั้นเอง ยามคนที่คุยกับเขากลับส่งเสียงเรียกบอกให้เขาหยุดขึ้นมา

“ช้าก่อน!”

“ม...มีอะไรเหรอ?” สไปค์หันใบหน้ากลับมามองยามคนนั้น แม้ว่าใบหน้าโดยรวมจะถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกเกราะและผ้าสีดำที่คลุมตั้งแต่จมูกลงมา แต่ก็สัมผัสได้ว่าใบหน้าของยามคนนั้นส่อแววถึงความรู้สึกบางอย่างที่แปลก ๆ ไป

“ก่อนหน้านี้ข้าคุยกับเจ้าเรื่องที่ว่า ‘ท่านเจ้าตำหนักไม่รับข่าวสารอะไรเพราะอาการป่วย จะต้องแจ้งผ่านข้ารับใช้ส่วนตัวเท่านั้น’ แต่เจ้ากลับดึงดันจะไปหาท่านเจ้าตำหนัก เจ้า...”

“...เป็นใ--”

พล่อกก!

                        ร่างของยามคนนั้นล้มลงกองกับพื้นทันที สไปค์หอบหายใจถี่รัวขึ้นเมื่อรู้ว่าตนอาจจะโดนจับได้เสียแล้ว แม้จะปิดปากยามคนนี้ได้ทันแต่ก็เริ่มใจหวิวขึ้นมา เขารีบลากร่างของยามคนนั้นไปหลบซ่อนอยู่มุมมืดใกล้ ๆ ถอดชุดเกราะที่แสนถ่วงน้ำหนักออกก่อนจะเคลื่อนไหวด้วยชุดลำลองสีดำเฉกเช่นเดิม

บรรยากาศแปลก ๆ ที่สัมผัสได้จากด้านบนเริ่มเด่นชัดมากขึ้น ลางสังหรณ์บางอย่างที่เลวร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ เมื่อเขาวิ่งขึ้นมาถึงหอคอยชั้นด้านบน และหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ที่ภายในมีกลิ่นอายแปลก ๆ บางอย่าง สไปค์หยุดปรับลมหายใจสักพักก่อนจะเดินเข้าไปช้า ๆ พลันนั้นสายตาก็มองเห็นสิ่งของสิ่งหนึ่ง

มันรู้สึกสะดุดตาเสียจนอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปมองสิ่งนั้นและหยิบมันขึ้นมาดู...

มันคือหมวกทรงสูงสีขาวคล้ายกับหมวกนักมายากล ใกล้กันนั้นมีแว่นตาทรงกลมเหมือนเด็กเนิร์ดหล่นอยู่ และมีเศษเลนส์แตกกระจัดกระจายไปทั่ว อารมณ์ของสไปค์พุ่งพล่านขึ้นมาทันทีเมื่อจำได้ว่าสิ่งของทั้งสองนี้มันเป็นของฟาร์ชูลัน!

ชายหนุ่มพุ่งตัวไปด้านหน้า ถีบบานประตูใหญ่นั่นเข้าไปด้วยลูกเตะที่อัดแน่นด้วยพลังปราณ ประตูบานใหญ่ถูกพังทลายลง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของสไปค์ช่างเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกสิ้นหวัง หนำซ้ำยังดึงเอาความโกรธที่ซ่อนอยู่ภายในห้วงลึกของจิตใจออกมา

“แกเป็นใคร!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างตื่นตระหนกภายในบานประตูนั้น สไปค์ก้มหน้าลงหลับตาและกัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงกรอด...เขากำหมัดทั้งสองเข้าด้วยกันสุดแรงจนมองเห็นเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาและยังเปล่งออร่าปราณไร้ลักษณ์จนกระจายออกไปรอบบริเวณนี้ สร้างความหวาดวิตกให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง

ไม่รู้ทำไมกระแสปราณสีม่วงเข้มครั้งนี้ถึงได้ดูน่าหวาดกลัวเหลือเกิน...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด