บทที่ 1 กลิ่นหอมเจือจางมิอาจลืม
Prologue
ย้อนกลับไปเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว
อุกกาบาตขนาดยักษ์ที่ไม่สามารถระบุที่มาได้พุ่งเข้าชนเปลือกโลกอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกที่แฝงตัวมากับอุกกาบาตได้เข้ารุกรานเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งเข่นฆ่า ทำลายบ้านเมือง ประเทศหลายประเทศ ทวีปบางทวีป ล้วนแต่ล่มสลายกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเคยเป็นแบบไหนมาก่อน ภัยพิบัติทางธรรมชาติก่อตัวขึ้นอย่างไม่อาจหยุดยั้ง มนุษย์เรียกสิ่งมีชีวิตนอกโลกตามลักษณะภายนอกว่า “มาร”
มาร...หรือก็คือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกที่มาพร้อมกับอุกกาบาต พวกมันได้เปลี่ยนให้โลกมนุษย์ที่สวยงามกลายเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่กำลังจะดับสูญ อายุขัยของโลกถูกบั่นทอนลงจนใกล้จะแตกดับ มนุษย์ที่เหลือรอดเพียงไม่ถึงครึ่งโลกจากเดิมต่างก็หลบซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ซึ่งเผ่ามารไม่อาจค้นพบได้ ช่วงเวลาที่แสนทรมานดำเนินผ่านไปนานกว่าสามปี
หลังจากนั้น ‘ปาฏิหาริย์’ ก็บังเกิดขึ้นท่ามกลางมนุษย์ที่เหลืออยู่... บุรุษชาวจีนผู้หนึ่งค้นพบพลังพิเศษที่แฝงอยู่ในร่างกายตน เขาลุกขึ้นสู้โดยใช้พลังนั้นเข้าต่อกรกับเผ่ามารด้วยวิชากังฟูที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็ก พลังพิเศษที่เขามีช่วยให้เขาต่อสู้เอาชนะเผ่ามารได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขากลายเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหลืออยู่และชักนำให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ขึ้นเพื่อชิงแผ่นดินของตนกลับคืนมา
และช่วงเวลาเดียวกัน ‘โลกอีกใบ’ ก็ปรากฏขึ้นซ้อนทับกับโลกของมนุษย์ ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวจนกลายเป็นโลกใบใหม่ที่มีขนาดเทียบเท่าดาวพฤหัสบดี แต่ผลที่ตามมาคือการปรากฏของสิ่งมีชีวิตมายามากมายที่ควรจะมีแค่ในโลกของเทพนิยายเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกเอลฟ์หูยาว ออร์คตัวใหญ่ ม้าเพกาซัสที่งามสง่า หรือกระทั่งมังกรน่าเกรงขามที่สยายปีกบนฟากฟ้า ทุกสิ่งเหล่านี้คือหลักฐานว่าโลกใบใหม่ได้กำเนิดขึ้นพร้อมกับยุคสมัยใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมของชาวมนุษย์ไปตลอดกาล...
กลับมาที่ยุคสมัยปัจจุบัน
มนุษย์โลกรู้จักพลังพิเศษในร่างกายตน พวกเขาใช้มันเป็นพลังในการต่อสู้กับเหล่ามารร้ายและคนอื่น ๆ ที่เป็นศัตรู พวกเขาเรียกพลังนั้นว่า “ปราณ” ตามที่บรรพบุรุษเรียกกันมาตลอด แม้คุณสมบัติและลักษณะของพลังจะไม่เหมือนกับ “พลังลมปราณ” ที่ปรากฏในหนังกำลังภายในก็ตาม
ในโลกอนาคตนี้ทุกคนต่างมีความเชื่อเดียวกัน...นั่นก็คือความรู้สึกว่า ‘พลัง’ คือสิ่งที่จะสร้าง ‘อำนาจ’ ขึ้นมาได้ และเมื่อมีอำนาจก็สามารถทำทุกอย่างได้โดยที่ไม่ขัดสนอะไร ทุกคนจึงปรารถนาพลัง กระทั่งมีสถาบันฝึกปราณเพื่อฝึกสอนคนรุ่นใหม่ให้รู้จักวิธีการใช้พลังที่ถูกต้องเพื่อให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ปราณนั้นถูกค้นพบอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่น ปราณหมาป่า ปราณพยัคฆ์ ปราณอินทรีย์ ปราณฉลาม ปราณอสรพิษ ปราณมังกร โดยชนิดของปราณจะมีลักษณะที่แตกต่างกันและมีรูปแบบการใช้พลังที่ไม่เหมือนกัน ผู้คนส่วนมากเชื่อว่าปราณมังกรคือพลังที่น่าเกรงขามและหายากที่สุด
กระทั่งวันหนึ่ง...บุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพลังปราณ “ไร้ลักษณ์” ที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน และนี่ก็คือยุคสมัยของเขา
บทที่ 1 กลิ่นหอมเจือจางมิอาจลืม
หุบเขาวาตะ
สถานที่ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของจักรวรรดิซีแต่กลับอยู่ไกลห่างจากความเจริญราวกับถูกทอดทิ้ง หุบเขาวาตะคือดินแดนที่น้อยคนนักจะอยากมา เพราะความเจริญของตัวเมืองที่มาไม่ถึงทำให้ที่นี่มีสภาพคล้ายกับชนบทเล็ก ๆ ที่มีประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึงสองร้อยคน
ริมแม่น้ำห่างออกไปจากหมู่บ้านราวห้าร้อยเมตร ลึกเข้าไปในป่าบนหุบเขามีดรุณีน้อยสามคนกำลังเล่นน้ำอย่างร่าเริงสมวัย ใกล้กันนั้นมีกลุ่มเด็กผู้ชายประมาณหกคนกำลังเล่นวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็เล่นต่อสู้กัน เมื่อเริ่มเหนื่อยทุกคนจึงลงเล่นน้ำเพื่อชะล้างเหงื่อออกจากร่างกาย ก่อนจะขึ้นมาจากแม่น้ำเพื่อนอนแผ่ตัวลงบนพื้นดิน
“ตกเย็นแล้วเหรอเนี่ย ลืมดูเวลาไปเสียสนิท” เด็กชายคนหนึ่งกล่าวขณะทอดสายตามองไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่
“งั้นเรารีบกลับกันเถอะ ก่อนที่มันจะมืดไปมากกว่านี้” เด็กหญิงอีกคนกล่าวพลางเอามือรวบผมแล้วมัดเป็นทรงหางม้าขึ้น เธอมองไปยังทางออกจากป่าที่มืดลงทุกขณะ
กลุ่มเด็กชายหญิงต่างก็พยักหน้าเพราะเห็นด้วย ทุกคนลุกขึ้นยืนปัดเศษฝุ่นเศษดินพอประมาณก่อนจะจับกลุ่มเดินออกจากริมน้ำเพื่อมุ่งไปยังทางเข้าหมู่บ้านในหุบเขาวาตะ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ยอดนิยมของเหล่าเด็กในหมู่บ้าน พวกเขามักจะจับกลุ่มกันมาเล่นที่นี่ทุกวันจนเป็นกิจวัตรที่ขาดไม่ได้
ในส่วนของการเดินทางนั้นก็ไม่นับว่ายาก แต่หากมืดค่ำเมื่อไหร่ก็เรียกได้ว่าไม่ง่าย เด็ก ๆ ทุกคนมักจะได้ฟังเรื่องเล่าจากปากผู้เป็นบิดามารดามาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าห้ามอยู่ในป่าตอนค่ำมืดเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะหาทางออกจากป่าไม่เจอ เด็กทุกคนจึงเสมือนถูกปลูกฝังใส่ใจว่าห้ามอยู่ในป่าตอนมืด เมื่อถึงตอนเย็นเมื่อไหร่จะเดินทางกลับทันที นั่นทำให้พ่อแม่ทุกคนวางใจ
ทว่ากฎข้อนี้จะยกเว้นไว้อยู่หนึ่งคน
“อ๊ะ เจ้าสไปค์นี่!”
หนึ่งคนในกลุ่มเด็กชายหญิงเอ่ยออกมาเมื่อเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนต้นไม้สูงชัน เด็กหนุ่มคนนั้นมีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวหยักศกเล็กน้อย ในขณะที่นอนทอดกายอยู่บนกิ่งไม้ลำใหญ่ก็ทอดสายตาสีดำอมน้ำตาลลงมามองดูกลุ่มเด็กด้านล่าง เสื้อคลุมผืนบางขนาดยาวใหญ่ย้อยลงมาจากบนต้นไม้ทำให้ทุกคนสังเกตเห็นเด่นชัด
“สวัสดีทุกคน” สไปค์กล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
“ฮึ โทบี้ เจ้าจะร้องทักขึ้นมาทำไม เจ้าหมอนั่นจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา” เด็กชายที่ดูตัวสูงใหญ่ที่สุดในกลุ่มร้องขึ้นพลางขมวดคิ้วจ้องเขม็งไปยังเด็กที่ชื่อโทบี้ ซึ่งนั่นทำให้โทบี้รู้สึกหวั่นเกรงเป็นอย่างมาก เขาพึ่งนึกขึ้นได้ว่านี่คือเรื่องที่ไม่สมควรทำมากที่สุด
“เอาน่ากาเรน เจ้าจะฉุนเฉียวไปทำไมล่ะ โทบี้แค่พลั้งเผลอไปครั้งหนึ่งเท่านั้น อย่าถือสาคนเป็นสหายเลย” สาวน้อยคนหนึ่งกล่าวเสียงใสนั่นทำให้กาเรนใจอ่อนขึ้นมา สีหน้าเริ่มคลายลง เด็กหนุ่มจ้องไปยังสไปค์ที่อยู่บนต้นไม้ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วยกเท้าขึ้นถีบไปที่ต้นไม้ต้นนั้นอย่างแรงหนึ่งครั้ง ราวกับหวังจะให้แรงสะเทือนนี้ส่งผลให้สไปค์ร่วงหล่นลงมา แต่แน่นอนว่าแรงของเด็กน้อยคงทำอันตรายต้นไม้ใหญ่นี้ไม่ได้หรอก
“พวกเราไปเถอะ” กาเรนเดินนำหน้าเด็กทุกคนออกไปทันที ไม่นานนักสถานที่แห่งนี้ก็เหลือแค่สไปค์อยู่เพียงลำพัง
เฉกเช่นเคย...
ทุกวันก็จะเป็นเช่นนี้ สไปค์คือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่ไม่มีเด็กคนไหนคบหา เขาเปรียบดั่งคนนอกคอกที่ไม่มีใครสนใจให้การต้อนรับ จะมีก็แต่เพียงผู้ใหญ่บางคนเท่านั้นที่พูดคุยกับเขาอย่างเป็นปกติ แต่กับเด็ก ๆ นั้นไม่มีทาง เขามักถูกกีดกันมาตลอด
เด็กหนุ่มจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ ความมืดอันเงียบสงบไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบพอ แต่มันก็ไม่เคยตีตัวออกห่างไปไหน สายลมบางเบาแผ่วพัดมา ชายเสื้อคลุมพลิ้วไสวอย่างเรียบง่าย สักพักสไปค์ก็ขยับกายเปลี่ยนอิริยาบถก่อนจะค่อย ๆ เกาะลำต้นลงมาอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็ได้เวลากลับหมู่บ้านแล้ว
ฉับพลันก็มีกลิ่นหอมบางเบาโชยเข้าปลายจมูก สไปค์หันขวับไปตามทิศทางที่ได้กลิ่นก่อนจะเห็นภาพอันแปลกประหลาด สิ่งที่เขาพบคือเด็กผู้หญิงที่น่าจะมีอายุไม่ห่างกันมากนักยืนอยู่ท่ามกลางแมกไม้ใต้แสงเล็ก ๆ จากดวงจันทร์ที่พึ่งเฉิดฉายบนท้องฟ้า เธอคนนั้นจับจ้องไปยังกลุ่มเมฆที่มองไม่เห็นก่อนจะก้มศีรษะลงมามองดูสไปค์ที่ยืนห่างออกไปเล็กน้อย
สายลมพัดโหมหนักขึ้น สไปค์เผลอเอามือทั้งสองขึ้นปกปิดใบหน้าเพื่อกันเศษฝุ่นและใบไม้ เมื่อสายลมสงบลงเขาก็รีบเอามือออกแล้วมองไปยังจุดที่เด็กสาวยืนอยู่อีกครั้ง แต่ทว่า...เธอหายไปแล้ว
“ใครกัน...คงไม่ใช่ผีสางหรอกนะ” เด็กหนุ่มรำพันเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากป่า
วันรุ่งขึ้น สไปค์ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาช่วยงานบิดากับมารดา บ้านของเขาเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีกันอยู่สามคนเท่านั้น พ่อกับแม่ของสไปค์ประกอบอาชีพตัดไม้ไปขาย นั่นทำให้งานของสไปค์คือการตัดไม้ตั้งแต่ยังจำความได้ เมื่อสไปค์จัดการงานในส่วนของตัวเองเสร็จแล้วก็ไปรับประทานอาหารที่แม่ของเขาเตรียมไว้ก่อนจะออกจากบ้านเพื่อมุ่งไปยังลานฝึกยุทธ์
ลานฝึกยุทธ์คือสถานที่สำหรับฝึกซ้อมวิชาต่อสู้ของคนในหมู่บ้าน มีลักษณะเป็นลานกว้างประมาณเส้นผ่าศูนย์กลางร้อยเมตร รายล้อมไปด้วยหุ่นฟางที่สร้างจากไม้แข็งที่คัดมาเป็นพิเศษ เด็ก ๆ ทุกคนเมื่ออายุครบ 3 ปีจะถูกบังคับให้มาฝึกฝนกันที่นี่ และต้องมาทุกวันจนกว่าจะถึงจุดที่สามารถดูแลตัวเองได้การทำเช่นนี้อาจจะมองดูเข้มงวดต่อเด็ก ๆ แต่นั่นก็เพราะเหตุผลว่าไม่มีใครรับประกันได้ว่าเมื่อไหร่ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ นี้จะถูกเหล่ามารเข้าจู่โจม
ประชาชนในหมู่บ้านต่างหวาดกลัวต่อเหล่ามารมาก พวกเขามักได้ยินข่าวลือจากคนที่ออกเดินทางเอาของไปขายในเมืองใหญ่ว่ามักจะมีทัพมารบุกเข้าจู่โจมเมืองนั้น ๆ เสมอ นั่นทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีนักรบเพียงไม่กี่คนต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา พวกเขาต้องฝึกฝนร่างกายเป็นประจำทุกวันและจะบังคับเด็กที่อายุถึงสามขวบทุกคนให้มาฝึกฝนด้วย หากใครไม่ทำตามจะถูกลงโทษโดยที่ไม่อาจขัดขืนได้
สไปค์เดินมาถึงลานฝึกยุทธ์ เขาเหลือบไปเห็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคนที่กำลังฝึกฝนท่าร่างการออกหมัดอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะเดินเข้าไปยังตำแหน่งที่เว้นว่างอยู่ เมื่อถึงจุดแล้วก็เริ่มออกท่าทางตามเด็กคนอื่นทันที ครูฝึกสอนที่อยู่ด้านหน้าแถวสังเกตเห็นสไปค์มาทีหลังแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาทำเหมือนมองไม่เห็นก่อนจะส่งเสียงดังเพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ ออกท่าทางให้ดีกว่าเดิม
“เอาล่ะ ต่อไปเป็นการฝึกปราณ!” สิ้นสุดเสียงของครูฝึก เด็ก ๆ ทุกคนต่างก็ผ่อนคลายกล้ามเนื้อจากการฝึกท่าร่างวิชายุทธ์ พวกเขาทั้งหมดยืนนิ่งสูดลมหายใจเข้าออกเป็นเวลาชั่วครู่ และแล้วก็มีแสงออร่าบางเบาเปล่งออกมาจากร่างทั้งร่าง บางคนมีสีเทาอ่อนผสมน้ำเงิน บางคนมีสีอำพัน บางคนสีแดงเลือด คละเคล้ากันไป
สีของออร่าจะเป็นตัวบ่งบอกว่าลักษณะของปราณคือชนิดไหน ส่วนมากเด็ก ๆ ในหมู่บ้านวาตะจะมีออร่าสีเทาอ่อนผสมน้ำเงินอันเป็นลักษณะของปราณหมาป่า และที่มีน้อยที่สุดจะเป็นปราณอินทรีย์ที่มีสีอำพัน ส่วนมากจะพบเจอแค่สามปราณเป็นหลักนั่นก็คือปราณหมาป่า ปราณอินทรีย์ และปราณพยัคฆ์ หากจะมีหลุดออกมาก็จะเป็นปราณฉลามเท่านั้นเอง
หากใครมีปราณของมังกรล่ะก็ เด็กคนนั้นจะได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อและถูกอบรมสั่งสอนอย่างเป็นพิเศษ เพราะปราณมังกรถือได้ว่าเป็นปราณที่หายากและทรงพลังที่สุดในหมู่ปราณทั้งหมด ทุกคนที่มีปราณมังกรจะถูกกำหนดชะตาให้กลายเป็นยอดนักรบในวันข้างหน้า
ในชั่วโมงฝึกปราณนี้เด็ก ๆ ทุกคนจะสงบนิ่งเพื่อควบคุมพลังปราณไม่ให้รั่วไหลออกไปสู่ภายนอก พวกเขาจะฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มแล้วค่อยพัก เมื่อครบเวลาแล้วครูฝึกจะบอกให้หยุดเพื่อไม่ให้เด็ก ๆ เหนื่อยไปมากกว่านี้
ครูฝึกเหลือบสายตามองมาทางสไปค์ แววตาคมกล้านั้นดุดันจนไม่มีใครกล้าจ้องกลับ ทั้งสีหน้าที่ขึงขังกับส่วนสัดกล้ามเนื้อที่แน่นไปทุกอณูทำให้มีลุคของความน่ายำเกรง ครูฝึกเดินตรงมาทางสไปค์ที่กำลังฝึกปราณอยู่เช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ เขาถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกมา
“ทำไมเจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีสีของปราณ?”
แน่นอน...นี่เป็นคำพูดที่เขาพูดอยู่ทุกวัน และคำพูดของเขามักจะเป็นจุดสนใจให้เด็ก ๆ คนอื่นหันมามองที่สไปค์เป็นสายตาเดียว
“เรื่องนั้น...” สไปค์เองก็ไม่รู้จะตอบอะไร ความจริงคงเป็นเขาที่อยากจะรู้คำตอบเรื่องนี้มากที่สุด
ตามอัตราเฉลี่ยที่เฝ้าสังเกตกันมา ปราณจะเริ่มแสดงผลหรือตื่นขึ้นเมื่อเด็กทุกคนอายุย่างเข้าวัยสามถึงสี่ปี แต่สไปค์ที่มีอายุปีนี้ครบสิบปีกลับไม่สามารถแสดงออกมาได้แม้กระทั่งสีของออร่าที่จะบ่งบอกว่ามีปราณชนิดไหนซ่อนอยู่ภายในร่าง นั่นทำให้เขาถูกตีค่าเป็นคนไร้ค่า อ่อนหัด ไม่มีใครคบหา พอบวกกับบุคลิกนิสัยส่วนตัวยิ่งทำให้เด็ก ๆ ทุกคนตีตัวออกห่าง
ครูฝึกรู้สึกจนใจ เขากล่าวคำพูดทิ้งท้ายทันที “หากเจ้าแสดงพลังปราณออกมาไม่ได้ เจ้าจะไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งการใช้ชีวิตในอนาคต” กล่าวจบก็หันขวับเดินออกไป สร้างความพึงพอใจให้กับเหล่าเด็ก ๆ ที่ไม่ชอบขี้หน้าสไปค์เป็นทุนเดิม
มีเสียงแว่วมาว่า “เจ้าคนไร้ค่า” บ้างล่ะ “เจ้าคนนอกคอก” บ้างล่ะ แต่นั่นคือเรื่องที่สไปค์พบเจออยู่ทุกวัน หากจะตอบว่าชินก็คงต้องชิน แม้ใจจะไม่อยากชินเลยก็ตาม...
เมื่อฝึกเสร็จก็ได้เวลาเล่นของเด็ก ๆ ส่วนใหญ่มักจะเข้าไปในป่าเพื่อเล่นน้ำเล่นต่อสู้หรือวิ่งไล่จับกันเช่นเคย แต่สไปค์จะเป็นเด็กคนเดียวที่มักจะขึ้นไปบนต้นไม้สูงใหญ่ต้นเดิมเพื่อทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าไกล และวันนี้เขาก็ตั้งใจไว้อย่างนั้น เด็กหนุ่มเดินลัดเลาะออกไปตามเส้นทางของป่าก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ที่เขามาขอพึ่งพาเป็นประจำ
แต่วันนี้กลับเกิดความคิดบางอย่างที่ต่างจากทุกวันที่ผ่านมา
“ลองเปลี่ยนที่ดูบ้างดีกว่า”
คิดได้ดังนั้นก็เดินออกไปยังจุดที่ลึกยิ่งกว่า สาเหตุเป็นเพราะเขาเบื่อที่จะต้องมาพบกับกลุ่มเด็กคนอื่น ๆ ที่มักจะมาเจอกับเขาในตอนที่กำลังเดินทางกลับไปยังหมู่บ้าน เด็กหนุ่มเดินเข้าไปเรื่อย ๆ ไกลออกไปจากจุดเดิมมากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น จนกระทั่งเส้นทางที่ผ่านมากลายเป็นทัศนียภาพของป่ารกชัฏมองไม่เห็นทางเดินอีกแล้ว ในที่สุดก็ยืนอยู่หน้าต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง เขารู้สึกว่าต้นนี้นี่แหละที่เหมาะจะเป็นสถานที่ที่จะขึ้นไปนอน
แต่ก่อนที่จะปีนขึ้นไปสไปค์กลับสังเกตเห็นบางสิ่งเข้าเสียก่อน
บนต้นไม้มีสิ่งมีชีวิตที่มีขนปุกปุยสีน้ำตาลอ่อนอยู่บนนั้น มันชูหางสูงก่อนจะส่งเสียงคำรามแผ่วเบาในลำคอ แววตาคมกริบจับจ้องมายังเด็กหนุ่มเบื้องล่าง แต่ทว่าร่างกายของมันกลับกำลังสั่นระริกตรงกันข้ามกับที่แสดงออกมาโดยสิ้นเชิง
“แมวป่ารึ... อย่างงี้นี่เอง เจ้าขึ้นไปแล้วลงมาไม่ได้สินะ” เป็นดังที่กล่าวไว้ แมวป่าตัวนี้ไม่รู้ทำไมถึงขึ้นไปบนต้นไม้แล้วถึงกับลงมาไม่ได้ หรือความจริงมันอาจจะลงมาได้แต่เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่ตนไม่คุ้นเคยก็พลันลืมวิธีลงไปเสียนี่
“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะช่วยเจ้าลงมาเอง” สไปค์เริ่มปีนต้นไม้ขึ้นไป แมวน้อยเริ่มขู่เสียงดังมากขึ้น แต่นั่นไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มหวาดกลัวเลยสักนิด เขาปีนขึ้นไป ปีนขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับแมวป่าตัวนั้น “มาสิ” เขายื่นมือออกไป สิ่งที่แสดงออกมาแม้จะดูน่าหวาดระแวง แต่แมวน้อยที่ส่งเสียงขู่มาตลอดกลับเริ่มผ่อนเสียงลงเรื่อย ๆ
อาจบางทีมันน่าจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่มีพิษภัยที่เด็กหนุ่มปล่อยออกมาก็ได้
มันค่อย ๆ เข้าไปหาสไปค์ เขาเอื้อมมือไปจนจะจับถึงตัวมันได้อยู่แล้ว แต่ทว่ากลับมีเสียงคำรามปริศนาดังขึ้นในฉับพลัน สไปค์หันสายตาลงไปด้านล่าง ใบหน้าเริ่มถอดสีเมื่อรู้ว่าตอนนี้คงถึงคราวซวยของจริงเข้าเสียแล้ว
หมาป่า...ทำไมถึงมีหมาป่าอยู่ที่นี่ ซ้ำยังมีมากถึงหกตัว?
ขนฟูสีน้ำตาลตั้งชูชันพร้อมเสียงขู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด พริบตานั้นสไปค์หันกลับไปมองยังทิศทางที่แมวน้อยอยู่ แล้วเขาก็พบว่าแมวตัวนั้นไม่ได้อยู่บนกิ่งไม้อีกต่อไปแล้ว เมื่อมองกลับลงไปก็พบว่าแมวน้อยตัวนั้นเดินเข้าไปหาฝูงหมาป่าก่อนจะหันกลับมามองสไปค์ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป แววตาของมันดูดุร้ายต่างจากความหวาดกลัวก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“บ้าน่ะ...เจ้าไม่ใช่แมว แต่เป็นลูกของพวกหมาป่าพวกนี้”
หมาป่าเริ่มส่งเสียงคำรามดังลั่น มีตัวหนึ่งกระโดดสูงขึ้นมาใส่โคนต้นไม้ทำให้ลำต้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง นี่มันถึงกับฉลาดที่จะล่าเหยื่อมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
หมาป่าที่สไปค์รู้จักจากในตำราเรียนหรือปากคำของผู้ใหญ่ในหมู่บ้านไม่น่าจะฉลาดถึงขนาดนี้ หรือบางทีการที่แมวน้อย...ไม่สิ การที่ลูกหมาป่าตัวนั้นมาอยู่บนต้นไม้ก็เป็นแผนล่อให้สไปค์มาตกหลุมพรางตั้งแต่แรก แต่นี่มันเป็นไปได้หรือ!? สัตว์พวกนี้ฉลาดถึงเพียงนี้เชียว
“อ๊ะ!” แรงสั่นสะเทือนจากการจู่โจมใส่ต้นไม้ของเหล่าหมาป่าในที่สุดก็ทำให้สไปค์ร่วงหล่นลงมาจนได้ ร่างกายของเขาอัดกระแทกเข้ากับพื้นดินที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง ด้วยความสูงราวสามเมตรทำให้แม้จะฝึกฝนร่างกายอยู่ทุกวันก็ใช่ว่าจะทนทานรับความเสียหายได้หมด สไปค์พยายามขยับตัวเข้าไปพิงที่โคนต้นไม้และจ้องไปยังเหล่าหมาป่าที่รุกคืบเข้ามา ปิดทางหนีไว้หมด
ชีวิตที่แสนไร้ค่าของข้า จะจบลงแค่นี้เองหรือนี่...
หมาป่าตัวหนึ่งส่งเสียงคำรามใส่ก่อนจะกระโจนเข้าหาหมายจะขย้ำเหยื่อให้ตายในคราเดียว สไปค์ใช้แรงที่เหลืออยู่ขยับร่างกายออกมาจากจุดนั้น ปล่อยให้เขี้ยวหมาป่ากระทบเข้ากับเปลือกไม้จนขาดกระจุย บ้าไปแล้ว นี่หมาป่ามีแรงกัดมากขนาดนี้เลย?
เมื่อการจู่โจมแรกพลาดเป้า หมาป่าตัวที่เหลืออยู่ก็ผลัดกันพุ่งเข้ามา คราวนี้จะหลบพ้นก็คงจะเป็นยอดคนมากเกินไป สไปค์ถูกกรงเล็บตวัดใส่หน้า ถูกกัดเฉี่ยวเข้าที่ปลายท้อง ข่วนเข้าที่กลางหลัง เขาพยายามหนีอย่างสุดความสามารถ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝึกฝนมาทุกวันดูเหมือนจะลืมไปจนหมดสิ้น แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่เริ่มแผลงฤทธิ์ออกมา เลือดที่เริ่มหลั่งไหลออกมามากมาย ในที่สุดก็ทำให้สไปค์หน้ามืดจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง เขาล้มลงในที่สุด
อา...จบแล้วสินะ
เสียงขู่ดังในลำคอของกลุ่มหมาป่าเริ่มดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เขารู้สึกได้ว่าลำคอของตนกำลังถูกลมหายใจของพวกมันรดใส่ อีกไม่นานก็คงจะถูกกัดกระชากจนแหว่งผิดรูปผิดรอย แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นอาหารของพวกมันอย่างว่าง่าย เด็กหนุ่มพริ้มตาหลับลง ตลอดสิบปีมานี้ไม่ได้สร้างคุณประโยชน์ใด ๆ ให้กับหมู่บ้านเลย ถูกทุกคนเกลียดชังตีค่าเป็นคนไร้ค่าที่แม้แต่ปราณพลังก็ยังแสดงออกมาไม่ได้
ก็ดีเหมือนกัน...
เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ปลงกับชีวิตที่คนไร้ค่าที่สุดพอจะมี แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครได้เห็น ท้ายที่สุดแล้วเขาจะกลายเป็นเศษเนื้อที่นี่ และคงไม่มีใครผ่านมาฝังศพให้ จมูกของเขาได้รับกลิ่นหอมบางเบาลอยเข้ามา คนกำลังจะตายจะได้กลิ่นหอมงั้นรึ พึ่งจะรู้ก็วันนี้ ช่างเป็นกลิ่นที่แปลกประหลาดชวนให้รู้สึกติดพันอย่างบอกไม่ถูก
กลิ่นหอมที่เขาได้รับนั้นประหลาดยิ่ง มันเป็นกลิ่นที่เจือจางราวกับถูกสายลมพัดหายไปหมด แต่เมื่อได้สูดดมกลับฝังลึกตราตรึงให้ความรู้สึกเด่นชัดจนไม่อาจลืมว่านี่คือกลิ่นอะไร
“เดี๋ยวนะ...กลิ่นนี้มันเหมือนกับเมื่อตอนนั้น” ใช่ มันเหมือนกับเมื่อคืนวานที่เขาได้พบเจอกับหญิงสาวปริศนาที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ สไปค์ลืมตาขึ้นมาจากความรู้สึกยินยอมรับความตาย เขาใช้แรงทั้งหมดที่พอจะมีพลิกตัวกลับมาอยู่ในท่านอนหงาย ในที่สุดก็ยันตัวลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งเอามือค้ำน้ำหนักตัว ก่อนจะมองดูสิ่งที่ปรากฏขึ้น
กลุ่มหมาป่าที่จ้องเล่นงานเขาเมื่อครู่นอนจมกองเลือดกลายเป็นเศษเนื้อชิ้นใหญ่ โลหิตกระจัดกระจายกลายเป็นภาพที่ไม่น่าอภิรมย์ แต่สิ่งที่สะกดสายตาของเด็กหนุ่มกลับเป็นร่างบางเล็กของหญิงสาวในชุดคลุมสีดำ ผิวพรรณสีขาวสะอาดราวกับไม่เคยต้องแสงแดด ใบหน้าสวยสะคราญแม้จะยังเยาว์วัย ทุกสิ่งสะกดสายตาเอาไว้ไม่เว้นกระทั่งปลายฝ่ามือของเธอที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยของเหลวสีแดง
กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายออกมา เธอจ้องมายังสไปค์ที่กำลังทำหน้าเหวอราวกับว่าทั้งหมดนี้คือความฝัน เขายังมีชีวิตอยู่ เขาไม่ได้ถูกฝูงหมาป่าขย้ำตาย และเขาถูกเด็กผู้หญิงแปลกหน้าช่วยเอาไว้ นี่มันเรื่องอะไร ไม่รู้! รู้แค่ตอนนี้เธอเดินเข้ามาใกล้แล้ว แววตาเรียบเฉยนั่น สีดำในนั้นช่างดูลึกลับ เรือนผมสีน้ำตาลแดงอ่อน ๆ นั่นทำไมช่างดูน่ากลัวอย่างนี้
เธอยื่นมือมา ทาบไปที่ใบหน้าของเขา ก่อนจะกล่าวคำพูดบางอย่าง สไปค์รู้สึกเหมือนสติกำลังปั่นป่วน เมื่อเธอคนนั้นดึงฝ่ามือกลับมา ใบหน้าของเธอที่มองเห็นอยู่ก็เริ่มพร่ามัว ในที่สุดเขาก็หมดสติไปโดยที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใครกันแน่
สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในห้วงสำนึกลึก ๆ คงจะเป็นกลิ่นหอมเจือจางของเธอเท่านั้นเอง