ทีมบาสหัวใจนักสู้ ตอนที่ 12
ตอนที่ 12
พอเข้ามาในห้องผู้อำนวยการ เว่ยอี้ฝานก็พูดกับเย่อวี้เฉิงว่า “ผู้อำนวยการ ขอบคุณครับ!”
เย่อวี้เฉิงโบกมือปฏิเสธ ชี้ไปที่โซฟา “นั่งก่อนค่อยคุยกัน”
“เมื่อคืนนี้ ผมกับแม่คุยกันหลายเรื่องมาก แม่บอกว่า แม่สนับสนุนเต็มที่ให้ผมเล่นบาสเกตบอล”
เย่อวี้เฉิงเอาน้ำชาให้เว่ยอี้ฝาน “ครูเคยบอกแล้ว ประตูทีมบาสเกตบอลของกวงเป่ยเปิดให้เธอเสมอ”
แต่ เว่ยอี้ฝานที่ได้ยินประโยคนี้ ไม่เพียงแค่แสดงความไม่สบายใจหรือซาบซึ้ง แต่สายตาเผยให้เห็นถึงความขัดแย้งและขอโทษออกมา เขาเรียกความกล้า แล้วลุกขี้นโค้งคำนับให้เย่อวี้เฉิง “ผู้อำนวยการ ขอโทษครับ”
เย่อวี้เฉิง ตะลึงไปครู่หนึ่ง คล้ายกับว่าเดาความคิดของเว่ยอี้ฝานออก “นั่งลง นั่งลง”
แต่เว่ยอี้ฝานก้มโค้งคำนับต่ำลงกว่าเดิม “ผู้อำนวยการ ผมกับแม่ขอบคุณความช่วยเหลือของคุณมาก แต่ผมรู้สึกว่าหากอยู่เล่นบาสเกตบอลที่กวงเป่ย สำหรับอนาคตนักบาสเกตบอลอาชีพของผมแล้ว ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
ฟังคำพูดของเว่ยอี้ฝานแล้ว เย่อวี้เฉิงยังคงพูดประโยคนั้น “นั่งลงก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
รินน้ำชาให้ตัวเอง เย่อวี้เฉิงจิบชาไปหนึ่งคำ แล้วพูดอย่างช้าๆ “ครูเข้าใจความคิดของเธอ ทุกเงื่อนไขของหรงซินดีกว่ากวงเป่ยทั้งนั้น หากเธอกลับไปเล่นบาสเกตบอลที่หรงซิน ไม่ว่าตอนนี้หรืออนาคตก็ล้วนดีขึ้นอยู่แล้ว โอกาสในการพัฒนาก็ยิ่งไปได้ไกล”
ดูเหมือนเว่ยอี้ฝานจะอ้าปากพูด เย่อวี้เฉิงทำมือหยุดเขาไว้ “แต่ครูคิดว่าหากเธอกลับไปหรงซินอย่างนี้ ฟอร์มการเล่นของเธอก็ไม่ต่างอะไรจากนี้ การแสวงหาความความก้าวหน้า ในสภาพที่ยากลำบาก ย่อมมีค่ามากกว่าการเติบโตคล้อยตามสภาพแวดล้อม สำหรับเธอแล้ว การกลับไปที่หรงซินอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ครูมองว่า เธออยู่ต่อที่กวงเป่ยคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด
เธอต้องไม่เชื่อที่ครูพูดแน่นอน ครูจะวิเคราะห์ให้เธอฟัง เธอกลับไปหรงซิน กลับไปในทีมที่ผู้เล่นมีความแข็งแกร่งไม่ต่างกับเธอ เธอคิดว่าความแข็งแกร่งของเธอก่อนเรียนจบจะได้ชูโรงไหม? สมมติว่าได้ แม้ว่าเธอเป็นผู้เล่นตัวหลักของหรงซิน เธอคิดว่าในสายตาของแมวมองส่วนใหญ่ เมื่อถูกผู้เล่นของมัธยมปลายฉี่หนานดึงดูดไปหมดแล้ว เธอสามารถเป็นที่โดดเด่นในสายตาของพวกเขาได้ไหม? แต่ถ้าหากว่าเธออยู่ที่กวงเป่ย ช่วยให้ทีมเข้าไปถึงการแข่งขันลีกเอได้ เธอจะได้รับความสนใจมากกว่าที่เธอกลับไปหรงซินเสียอีก
เว่ยอี้ฝานสูดหายใจเข้าลึก หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เรียกความกล้าแล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “แต่ ผู้อำนวยการครับ ผมไม่รู้สึกว่ามัธยมปลายกวงเป่ยจะสามารถเข้าไปถึงการแข่งขันลีกเอได้”
เย่อวี้เฉิงมองเว่ยอี้ฝาน แล้วก็หัวเราะลั่น เพราะว่าคำพูดของเว่ยอี้ฝาน ทำให้เขาคิดถึงอดีต “ขอโทษ รอครูแป๊บนึง ฮ่า ฮ่าๆ…”
เวยอี้ฝานไม่เข้าใจว่าเมื่อตะกี้คำพูดของตัวเองน่าขันตรงไหน ถึงทำให้ผู้อำนวยการตัวเราะจนน้ำตาไหล
ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที เย่อวี้เฉิงถึงจะสามารถบังคับตัวเองให้หยุดหัวเราะได้ “ขอโทษนะ ครูเสียมารยาทไปหน่อย บางทีในมุมมองของเธอ กวงเป่ยเป็นโรงเรียนที่ไม่มีความแข็งแกร่ง แต่นั่นมันนานมาแล้ว เหมือนกับที่เคยถูกทุกคนคิดว่ามัธยมปลายกวงเป่ยที่ไม่มีความแข็งแกร่ง แต่กลับสามารถเอาชนะมัธยมปลายฉี่หนานได้”
มองตาทั้งสองข้างของเว่ยอี้ฝาน หน้าตาไม่อยากจะเชื่อ เย่อวี้เฉิงพูดต่อ “เธอไม่รู้เหรอ? โค้ชเคยพูดเรื่องนี้สินะ แม้ว่าฉี่หนานจะเคยแพ้ แต่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะตลอดกาล แล้วก็ไม่มีใครอยากเป็นประเภทที่ถูกเรียกว่าแพ้ตลอดไป”?
เว่ยอี้ฝานครุ่นคิด “โค้ชเคยพูดว่าฉี่หนานแพ้ แต่ไม่ได้บอกว่าแพ้ให้กวงเป่ย”
“ไม่พูดอยู่แล้ว ถึงพูด เธอในตอนนั้นก็อาจจะยังไม่เคยได้ยินชื่อกวงเป่ย” เย่อวี้เฉิงยิ้มให้ เผยให้เห็นว่าเข้าใจ “หากเธอยังยืนยันที่จะไปหรงซิน ครูก็ไม่จะห้ามเธอไว้ แต่ครูรู้สึกว่าตอนนี้เธอยังไม่มีคุณสมบัติที่จะกลับหรงซิน”
“ทำไมครับ?”
“เธอเคยอ่าน ‘สแลมดังก์’ ไหม?” เว่ยอี้ฝานพยักหน้า เย่อวี้เฉิงพูดต่อ “ดี เธอจำรุคาว่า คาเอเดะได้ไหม มีครั้งหนึ่งไปหาโค้ชอันไซ พูดกับโค้ชว่าเขาอยากไปเล่นบาสเกตบอลที่สหรัฐอเมริกา แล้วโค้ชอันไซพูดว่าอะไร?
“โค้ชอันไซต้องการให้เขาเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดในจังหวัดก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที” พูดจบ เว่ยอี้ฝานอึ้งไปพักหนึ่ง ราวกับว่าคิดอะไรออกแล้วมองเย่อวี้เฉิง “ความหมายของผู้อำนวยการคือ กวงเป่ยยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าผมเหรอครับ?
“ตอนบ่ายช่วงเวลาทำความสะอาด ที่สนามบาสเกตบอล หากเธอแพ้ ก็อยู่ที่กวงเป่ยต่อไป ถ้าชนะ แล้วแต่เธอจะเลือก”
ในเวลานี้ เสียงออดดังขึ้น เว่ยอี้ฝานยืนขึ้น “ครับ” ในโลกของบาสเกตบอล เขาเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง
ก่อนที่เว่ยอี้ฝานจะเปิดประตูเดินออกไป เย่อวี้เฉิงพูดเสริม “เออ เมื่อตะกี้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามคุยกับเธอ ก็คือผู้เล่นตัวหลักที่เอาชนะฉี่หนานในปีนั้นได้”
ตอนบ่ายช่วงเวลาทำความสะอาด หลี่กวงเย่าที่วิ่งได้สองรอบสนามกีฬา กำลังวอร์มอัพที่สนามบาสเกตบอล หมุนข้อมือ ข้อเท้า รู้สึกต้องการให้คนช่วย จึงเรียกไมค์ที่ก้มหน้าอยู่ข้างสนาม “ไมค์ ช่วยฉันดึงกล้ามเนื้อที ดึงแขน ใช่ แบบนี้แหละ”
หลังจากหลี่กวงเย่าวอร์มร่างกายเรียบร้อยแล้ว ก็ถือลูกบาสเข้าไปในสนาม
“ไมค์ รบกวนนายมาช่วยฉันเก็บบอลได้ไหม?” หลี่กวงเย่าหันหน้ากลับไปโบกมือให้ไมค์
ไมค์เชื่อฟังหลี่กวงเย่ามาก รีบวิ่งมาทันที แล้วหลี่กวงเย่าครุ่นคิด “ไมค์ นายยกมือทั้งสองข้างขึ้น”
หลี่กวงเย่ามองความยาวของแขนไมค์อย่างตกตะลึง พยักหน้าด้วยความพอใจ “ฉันยังมีภารกิจที่สำคัญให้นาย นายยกมือขึ้นสูง ยืนเลยตำแหน่งหลังเส้นจุดโทษ ใช่ อย่าขยับนะ”
หลี่กวงเย่าถือลูกบาส ยืนนิ่งที่เส้นสามคะแนน ย่อเข่าลง ก้มต่ำกดแรงไว้ เลี้ยงบอลไปทางไมค์อย่างฉับพลัน การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน แม้ว่าจะทำให้ไมค์ตกใจกลัว แต่เขาก็เชื่อฟังหลี่กวงเย่า ที่บอกให้ยืนตรงๆ ไม่ขยับ แล้วหลังจากที่หลี่กวงเย่าก้าวเท้าออกมารีบยกบอลขึ้นมา แล้วก้าวขาไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กระโดดขึ้นชู้ต เป็นเพราะว่าความสูงของไมค์บวกกับแขนยาว ยังทำให้วิถีโค้งของลูกบอลลอยสูงขึ้น
เสียงตึง ลูกบอลกระเด้งอยู่ด้านหน้าขอบห่วง ไม่ลงห่วง ไมค์รีบเก็บบอล ถือกลับมาให้หลี่กวงเย่าอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า “ลองอีกลูกหนึ่ง”
“อืม อีกนิดเดียว” หลี่กวงเย่ายกนิ้วโป้งขึ้นให้เย่อวี้เฉิง อู๋ติ้งหวาแล้วยังมีเฉินเพ่ยอี๋ที่ยืนอยู่ข้างสนาม แสดงให้เห็นว่าตัวเองนั้นพร้อมแล้ว
“เว่ยฝาน เธอพร้อมไหม?” เย่อวี้เฉิ้งตะโกนถามเว่ยอี้ฝานที่ยืนซ้อมชู้ตบาสที่เส้นจุดโทษอีกฝั่งหนึ่ง
เว่ยอี้ฝานหันหลังกลับมา “พร้อมแล้วครับ”
“โอเค ผมจะแจ้งกติกาการแข่งขัน” อู๋ติ้งหวากระแอมให้โล่งคอ “การแข่งขันครั้งนี้คนที่ได้สิบสามคะแนนก่อน จะเป็นผู้ชนะ
ชู้ตลงภายในเส้นสามคะแนนจะได้สองคะแนน ชู้ตนอกเส้นสามคะแนนจะได้สามคะแนน หลังจากฝ่ายตรงข้ามชู้ตลงแล้ว สิทธิ์ครองบอลจะเป็นของอีกฝ่าย จะไม่มีกติกาชู้ตลูกโทษ แต่คนที่ถูกทำฟาลว์จะได้สิทธิ์ครองบอล ถ้าฝ่ายที่ได้ฟาลว์ชู้ตไม่ลง อีกฝ่ายแย่งรีบาวด์ได้ จะต้องเลี้ยงบอลไปนอกเส้นสามคะแนนจึงจะรุกเกมได้ ผู้ตัดสินเกมนี้ ผมเป็นคนรับผิดชอบ มีคำถามอื่นไหม?”
หลังจากหลี่กวงเย่ากับเว่ยอี้ฝานทั้งสองคนส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่มีคำถาม อู๋ติ้งหวาหยิบนกหวีดออกมา แขวนไว้ที่คอ “ดี เป่ายิงฉุบตัดสินว่าใครจะได้สิทธิ์ครองบอลครั้งแรก”
ในขณะนี้ เย่อวี้เฉิงกับเฉินเพ่ยอี๋ที่อยู่ข้างสนามเริ่มคุยกัน
เย่อวี้เฉิงมองไปในสนาม “ครูเฉิน คุณทำไมมาที่นี่ได้?
เฉินเพ่ยอี๋ก็มองคนที่อยู่ในสนามเช่นกัน “เป็นห่วงไมค์นิดหน่อยค่ะ ก็เลยเดินมาดู”
พอได้ยินว่าไมค์ เย่อวี้เฉิงถามด้วยความเป็นห่วงขึ้นมาทันที “ไมค์ เขาโอเคไหม?”
เฉินเพ่ยอี๋ตอบด้วยน้ำเสียงเบา “เขาเป็นเด็กที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษจริงๆ ค่ะ จากที่แสดงออกในตอนนี้ถือว่ายังโอเค แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ดิฉันยังกังวลคือ ดูเหมือนเขาจะติดหลี่กวงเย่าค่ะ”
เย่อวี้เฉิงถามด้วยความสงสัย “ติดหลี่กวงเย่าไม่ดีเหรอครับ?”
“ดิฉันเกรงว่าเขาจะถูกหลี่กวงเย่าพาเสียคน ไปเล่นบาสเกตบอลค่ะ”
เย่อวี้เฉิงหัวเราะลั่น “ครูเฉิน รู้สึกว่าคุณจะมีอคติกับคนที่ชอบเล่นบาสเกตบอลนะครับ”
เฉินเพ่ยอี๋ขยับแว่นตา “ไม่ใช่อคติค่ะ มันคือเรื่องจริง ในไต้หวัน เล่นบาสเกตบอลไม่มีอนาคต”
เย่อวี้เฉินยิ้มอย่างลุ่มลึกออกมา “บางทีในมุมมองของนักเรียนเกียรตินิยมอย่างคุณ การเล่นบาสเกตบอลไม่มีอนาคต แต่ครูเฉิน คุณเคยเห็นนักเรียนที่จบมัธยมต้นแล้วไม่เรียนต่อ ไปสูบบุหรี่ กินหมากทั้งวัน คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่จริงๆ แล้วในสายตาของทุกคน เป็นประเภท เศษสวะ อันธพาล ของสังคมไหม?”
เฉินเพ่ยอี๋ พยักหน้า “เคยเห็นค่ะ คนแบบนี้มีเยอะ”
“คุณคิดว่าเล่นบาสเกตบอลกับเป็นอันธพาลข้างถนนเมื่อเปรียบเทียบกัน แบบไหนดีกว่ากันครับ?”
เฉินเพ่ยอี๋ตอบอย่างไม่เต็มใจนัก “เล่นบาสเกตบอลดีกว่าค่ะ”
“ครูเฉิน ผมรู้ว่าคุณไม่เห็นด้วยเรื่องโรงเรียนตั้งทีมบาสเกตบอล ดังนั้นผมต้องถือโอกาสในวันนี้ ทำให้คุณเข้าใจสาเหตุที่ผมทำแบบนี้”
เย่อวี้เฉิงเผยความจริงจังออกมา “สมัยก่อน นานมาแล้ว ผมก็เคยเป็นพวกอันธพาลที่ทุกคนว่ากัน”
เฉินเพ่ยอี๋มองผู้อำนวยการด้วยความประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อ
เย่อวี้เฉิงหันไปทางหลี่กวงเย่าที่อยู่ในสนามแล้วพูดต่อ “ส่วนหลี่กวงเย่าที่คุณมีอคตินั้น พ่อของเขาช่วยผมไว้ ทำให้ผมหลงรักบาสเกตบอล ถ้าผมไม่ได้เจอหลี่หมิงเจิ้ง ไม่ได้สัมผัสโลกของบาสเกตบอล ผมคงไม่มีทางได้มาเป็นผู้อำนวยการอย่างแน่นอน ครูเฉิน ผมไม่ใช่นักเรียนเกียรตินิยมอะไรแบบนั้น ดังนั้นแนวคิดด้านการศึกษาของผม อาจจะฟังดูไร้สาระ แต่ผมคิดว่า หนังสือไม่ใช่ทั้งหมดของการศึกษา ในสนามบาสเกตบอลมีบางสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ โดยที่ในหนังสือเรียนหาไม่ได้
…………………………………………………………………………..