บทที่ 20 ผู้หญิงคนแรกที่เทพเจ้าสร้าง
บทที่ 20
ผู้หญิงคนแรกที่เทพเจ้าสร้าง
สองวันสุดท้ายก่อนการแข่งขัน หลี่ฟูเฉินเข้าใจวิชาดาบหยกแดงกระบวนท่าแรก “สัมผัสของวิชาหยกแดง” อย่างลึกซึ้ง จนบรรลุผลระดับย่อย
“สัมผัสของวิชาหยกแดง” สร้างแรงดึดดูดที่ทรงพลัง ด้วยพื้นที่ครึ่งเมตร มันสามารถดึงดูดดาบเหล็กที่มีน้ำหนักไม่กี่กิโลกรัมได้ และหากใช้ที่ระยะเผาขน พลังของแรงดึงดูดจะรุนแรงขึ้นหลายสิบเท่า แต่จริงๆแล้ว การบ่มเพาะของหลี่ฟู่เฉินเขาไม่น่าสามารถสร้างแรงดึงดูดนี้ได้
“ท่านนายน้อย ระวัง !”
ที่สนามหลังบ้าน ผู้ดูแลตระกูลของหลี่ฟู่เฉินคือ หลี่ต๋ากวนเป็นนักสู้ขอบเขตพลังลมปราณระดับที่แปด ฟันเฉือนไปที่หลี่ฟู่เฉิน
ดาบนั้นมีความเร็วดั่งสายฟ้าผ่าและพลังดั่งเจ้าแห่งพายุ หากเป็นนักสู้คนอื่นในระดับที่หกของขอบเขตพลังลมปราณพวกเขาจะถูกแบ่งแยกออกจากกันและไม่สามารถต้านทานต่อได้
หลี่ฟู่เฉินยิ้มกรุ้มกริ่ม ชักดาบที่เอวและตอบโต้การโจมตีทันที
แคล้ง!
ดาบปะทะกันอย่างเต็มกำลัง
เมื่อหลี่ต๋ากวนใช้พลังลมปราณสลัดดาบหลี่ฟู่เฉิน เขารู้สึกในทันทีว่าดาบไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว จริง ๆ แล้วมันดูดติดอยู่กับดาบของหลี่ฟู่เฉิน
"มันเกิดอะไรขึ้น?"
"เจ้าแพ้แล้ว"ดาบกดลงที่คอของหลี่ต๋ากวน
หลี่ต๋ากวนถึงกับผวา
เขากลืนน้ำลายเอือกใหญ่ “ท่านนายน้อย ท่านเรียนรู้จนสำเร็จวิชาดาบหยกแดง เหรอ”
จากความรู้ที่เขามี ภายในตระกูลหลี่มีเพียงวิชาดาบหยกสีแดงเท่านั้นที่มีแรงดึงดูดดาบของคู่ต่อสู้ได้
“ไม่ถึงขนาดนั้น เฉพาะกระบวนท่าแรกเท่านั้นที่บรรลุผลระดับรอง” หลี่ฟู่เฉินตอบ
“บรรลุผลระดับรองของกระบวนท่าแรก?”
หลี่ต๋ากวนถลึงตามองหลี่ฟู่เฉิน ไม่เคยมีกรณีแบบนี้ ที่ระดับก่อนถึงขอบเขตพลังลมปราณขั้นที่เจ็ด มีคนเข้าถึงสาระสำคัญของศิลปะดาบระดับสูงสีเหลือง การบรรลุผลย่อยถือว่ามีความหยั่งรู้ในสาระสำคัญเพียงเล็กน้อย
วิชาดาบระดับสีเหลืองขั้นสูงที่สำเร็จผลรองแล้ว อาจไม่มีพลังอาวุธสูงกว่าวิชาดาบระดับกลางที่บรรลุแล้ว แต่ในแง่ของวิธีการมันเหนือกว่าระดับกลางเป็นไมล์ และสำหรับขอบเขตพลังลมปราณมีหลายครั้งที่วิธีการสำคัญกว่าพลัง
“อย่าลืมเก็บมันเป็นความลับ” หลี่ฟู่เฉินกำชับ
“ข้าเข้าใจขอรับ ท่านนายน้อย”
ความตื่นเต้นแสดงออกทั่วสีหน้าของหลี่ต๋ากวน บางคนอาจไม่คาดหวังสิ่งดีๆจากนายน้อย แต่ใครจะคิดว่าเขามีท่าสังหาร ถ้านายน้อยได้เข้านิกายคังเหลียนในฐานะผู้ดูแล สถานะของเขาในตระกูลหลี่จะดีขึ้นอย่างแน่นอน
สิ่งที่เขาไม่รู้ คือหลี่ฟู่เฉินฝึกบ่มเพาะวิชาดาบหยกแดงไม่ใช่เพื่อการแข่งขันอัจฉริยะ แต่เพื่ออนาคตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การแสวงหาอำนาจคือสิ่งที่จอมยุทธ์ต้องต่อสู้อย่างหนัก การบ่มเพาะวิชาดาบหยกแดงคือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองอย่างแท้จริง
***
“ท่านอาวุโสเฉิน ขอต้อนรับสู่เมืองหยุ่นวู่”
***
ที่ประตูเคหะสถานของเจ้าเมือง เฉินตูเจียนเหอในชุดคลุมสีน้ำเงิน
กล่าวต้อนรับผู้อาวุโสอย่างอบอุ่น
“ท่านเจ้าเมืองเฉินตู ขอบใจที่ออกมารับข้า”
ผู้อาวุโสอายุราวหกสิบปีสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน หลังของเขามีดาบเล็กสีขาว
คนที่เข้าใจการแต่งตัวของนิกายคังเหลียน พวกเขาจะจำเสื้อคลุมสีฟ้านี้ได้ทันที เฉพาะผู้อาวุโสที่อยู่ด้านนอกของนิกายเท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการสวมเสื้อคลุมนี้โดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้เฒ่าด้านนอกทั้งหมดอยู่ในขอบเขตปฐพี สถานะของพวกเขาเท่ากับเจ้าเมืองภายใต้นิกายคังเหลียน และเฉพาะกิจกรรมพิเศษ ที่สถานะของพวกเขาเหนือกว่าตำแหน่งเจ้าเมือง ดังเช่นการประกวดเฟ้นหาอัจฉริยะ
“ท่านอาวุโสเฉิน ทางนี้ขอรับ”
เฉินตูเจียนเหอนำผู้อาวุโสไปยังห้องโถง
ที่ห้องโถงเฉินตูเจียนเหอนั่งตรงข้ามกับท่านผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสในชุดคลุมสีน้ำเงินคือเฉินจงหมิง จิบชาและค่อยๆกล่าว“เมืองหยุ่นวู่ทำงานได้ดีในการผลิตผู้มีโครงกระดูกระดับสี่ดาว การรับสมัครล่วงหน้าของปีนี้มีทั้งหมดห้าคน อีกสี่คนมาจากเมืองใหญ่ มีเพียงเมืองหย่นวู่ของเจ้าเท่านั้นที่เป็นเมืองขนาดเล็ก”
เฉินตูเจียนเหอพยักหน้าตอบรับ “กวนเซี่ยหญิงสาวผู้นี้มีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง น่าสงสารที่ตระกูลเฉินตูของข้าไม่มีอัจฉริยะเช่นนาง”
สืบเนื่องจากตระกูลกวนมีผู้เป็นอัจฉริยะยิ่ง เฉินตูเจียนเหอรู้สึกอิจฉาอย่างที่สุด
เฉินจงหมิง กล่าวอย่างใจจริง “นางไม่ใช่แค่โครงกระดูกระดับสี่ดาว ท่านเจ้าเมืองเฉินตู ถ้าข้าเป็นท่าน ข้าจะไม่พลาดโอกาศสานสัมพันธ์อันดีกับตระกูลกวน”
“หือ? อะไรดลให้ท่านเฉินให้คำแนะนำนี้” เฉินตูเจียนเหอรู้สึกงงงวย
เฉินจงหมิงอธิบายว่า “กวนเซี่ย ผู้นี้ไม่มีโครงกระดูกระดับสี่ดาวปกติ ภายในโครงกระดูกของนาง มีพลังอันน่าเหลือเชื่อ สามารถเทียบเท่ากับโครงกระดูกระดับห้าดาว ด้วยพรสวรรค์นี้ อย่างน้อยนางก็จะรวมอยู่ในยี่สิบคนแรกภายในนิกายคังเหลียนได้”
“โครงกระดูกพิเศษระดับสี่ดาวเหรอ?”
เฉินตูเจียนเหอผู้โง่เขลา
โครงกระดูกถูกแบ่งออกเป็นประเภทปกติและพิเศษ ไม่มีอะไรมากอธิบายเกี่ยวกับประเภทปกติ สำหรับประเภทพิเศษ มันมีพลังลี้ลับอยู่ภายใน ยกตัวอย่างในตำนาน อาทิโครงกระดูกสุริยะ, โครงกระดูกพายุหมุน, โครงกระดูกเปลวไฟ และโครงกระดูกพายุหิมะ
หากผู้มีโครงกระดูกพิเศษได้รับการฝึกฝนวิชาลักษณะคล้ายกัน มันจะลดเวลาการบ่มเพาะลงครึ่งหนึ่งและสร้างพลังอันน่าสะพรึงกลัว
หากจอมยุทธ์โครงกระดูกสุริยะบ่มเพาะวิชาที่ใช้ดวงอาทิตย์เป็นฐาน พวกเขาจะสามารถแสดงพลังร้อนแรงแห่งรังสีดวงอาทิตย์ได้
โครงกระดูกพายุหมุน บ่มเพาะวิชาที่ใช้พายุหมุนเป็นฐาน ให้พลังหมุนทำลายล้างได้
โครงกระดูกเปลวไฟพร้อมกับวิชาที่มีเปลวไฟเป็นฐาน จะทำให้เกิดเปลวไฟซึ่งสามารถเผาไหม้ทุกอย่างเป็นเถ้าถ่าน
โดยไม่กล่าวเกินจริง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าโครงกระดูกพิเศษระดับสี่ดาวของกวนเซี่ยจะเหนือกว่าสถานะของเขาแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ผู้มีอำนาจในฐานะเจ้าเมืองก็ไม่มีค่าในสายตาของนาง
“ตระกูลกวนได้รับพรจากเทพเจ้าโดยแท้”
เฉินตูเจียนเหอไม่ได้อิจฉา แต่กลับริษยา หากตระกูลเฉินตูของเขามีโครงกระดูกพิเศษระดับสี่ดาว จะรับประกันความรุ่งโรจน์ของตระกูลเฉินตูในศตวรรษหน้า
เฉินจงหมิงหัวเราะ “บางสิ่งไม่อาจควบคุมได้ ชีวิตนั้นดั่งหมุนรอบในวงเวียน เหมือนกับโชคที่ไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นผู้นำหลังจากผ่านไปสามสิบปี”
เฉินจงหมิงเข้าสู่นิกายในช่วงวัยรุ่น หลังจากผ่านไปหลายสิบปี เขาเป็นสักขีพยานการเพิ่มขึ้นและลดลงของอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นโครงกระดูกพิเศษที่หายากยิ่ง และอัจฉริยะที่แข็งแกร่งขึ้นไม่อ่อนแอลง
“โชคดีที่ข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลกวน ท่านผู้อาวุโสเฉินไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก”
เฉินตูเจียนเหอปลาบปลื้ม แต่แรกเริ่มเขาใกล้ชิดตระกูลกวนและละทิ้งตระกูลหลี่เมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้กลับกลายเป็นการออกตัวที่เยี่ยม ดูเหมือนว่ามันถึงเวลาที่จะสะเทือนบัลลังค์ของตระกูลหลี่และมอบธุรกิจครึ่งหนึ่งให้กับตระกูลกวน และหวังว่าตระกูลกวนจะเล็งเห็นสิ่งที่เขากระทำ
เดือนคืนผันมา ผันพาความมืดมิดทั่วเมืองหยุ่นวู่
แต่หัวใจของทุกคนกำลังลุกไหม้ด้วยไฟเพลิง เพราะพรุ่งนี้คือวันเริ่มต้นของการแข่งขันอัจฉริยะ ผลลัพธ์จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของผู้เข้าร่วม เช่นเดียวกับชะตากรรมของตระกูล จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดหรือหลุดออกไปอย่างเงียบ ๆ ทุกคนจะต้องถูกตัดสินในวันพรุ่งนี้
***
ณ ตระกูลหลี่
หลี่ฟู่เฉินมองดูท้องฟ้าพร่างพราวด้วยดวงดาว
ดวงดาวเหล่านี้ถูกก่อตัวขึ้นและส่องประกายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดาวทุกดวงเปล่งประกาย
“ดวงดาว ดวงใดกันถึงหมายถึงตัวข้า”
หลี่ฟู่เฉินเอื้อมมือไปที่ท้องฟ้ามองทะลุไปในความมืดมิด
“บางที ดาวเหล่านี้อาจไม่มีตัวข้า เพราะไม่อาจเป็นสะท้อนความเป็นข้าได้ เพราะข้าจะทำให้ดวงดาวมัวหมอง”
***
สีทองแวววาวเปล่งประกายออกจากแววตาของหลี่ฟู่เฉิน แสงแห่งอำนาจทำให้แสงแห่งดวงดาวดูมืดมัว สวรรค์และโลกที่หมุนรอบโดยตัวเขาเป็นแกนกลาง ทำให้เขาสามารถควบคุมทุกสิ่ง
ในขณะนี้ความคิดของหลี่ฟู่เฉินเกินกว่าจินตนาการและทำให้เกิดรัศมีแห่งอำนาจสูงสุด
ในเวลาเดียวกันจิตใจของหลี่ฟู่เฉิน ดวงจิตวิญญาณสีเขียวอ่อนบางส่วนแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม สามารถมองเห็นเครื่องรางทองคำส่องแสงแวววาวระยิบระยับ……