ตอนที่ 162 ปู่ของนางเป็นคนหยิ่งยโสจริง ๆ !
เฟิงหยูเฮงยิ้ม “เพคะ หม่อมฉันตายแล้วกลับมามีชีวิตใหม่เพคะ”
ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ทำไม ?”
“เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังค้างคา”
“เจ้าต้องการลงโทษครอบครัวของเจ้าหรือไม่”
“เพคะ แต่หม่อมฉันไม่มีทางเลือก หม่อมฉันต้องการแก้แค้นคนที่ทำร้ายหม่อมฉันเพคะ”
ยิ่งฮ่องเต้มองเด็กหญิงคนนี้มากเท่าไหร่ พระองค์ก็ยิ่งรู้สึกสนุกมากขึ้น ดังนั้นพระองค์จึงถามนางว่า “ถ้าตำแหน่งบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ตระกูลเฟิงกลับมาเป็นของเจ้า เจ้าคิดอย่างไร?”
เฟิงหยูเฮงส่ายหน้าของนาง “ลูกสะใภ้ไม่ต้องการเพคะ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของฮ่องเต้เพิ่มขึ้น และพระองค์ก็อดไม่ได้ที่จะถามนางต่อว่า "ข้าได้ยินมาว่าพี่สาวคนโตของเจ้าเป็นตัวแทนของหงส์เพลิงหรือ"
เฟิงหยูเฮงยิ้ม “พี่สาวคนโตคือบุตรของตระกูลเฟิง แซ่ของนางคือเฟิง ไม่มีความผิดพลาด” 1
“เมื่อครอบครัวของเจ้ากลับสู่เมืองหลวง เจ้าต้องการทักทายพวกเขาอย่างไร ?”
เฟิงหยูเฮงเงยหน้าขึ้นและไตร่ตรองเล็กน้อย “ถ้าตระกูลเหยากลับมาจากหวงโจว ลูกสะใภ้จะมีความสุขมากเพคะ”
ฮ่องเต้ทรงสรวลดัง ๆ “ไม่น่าแปลกใจที่พระชายาหยุนจะชอบเจ้า” จากนั้นพระองค์ก็ยืนขึ้นและโบกมือให้ทั้งสาม “เจ้ามากับเรา แล้วก็นั่งรออยู่พักหนึ่ง” หลังจากเขาพูดจบ ไปที่เก้าอี้ยาวซึ่งอยู่ด้านหลังฉากกั้นห้อง “อย่าคิดว่าเราไม่รู้ว่าทำไมเจ้าเข้ามาในพระราชวังตอนกลางดึก ข้างนอกมีข่าวแพร่ออกมาว่าเจ้าถูกไฟคลอกเสียชีวิต หากเจ้าไม่ต้องการให้คนอื่นค้นพบความจริงเร็วเกินไป การอยู่ในพระราชวังจะปลอดภัยกว่า”
ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “เสด็จพ่อทรงตรัสถูกต้องแล้วพะยะค่ะ”
องค์ฮ่องเต้กลอกตาของพระองค์และประทับบนเก้าอี้ยาว “สำหรับฮั่วเอ๋อ เจ้ายุ่งกับน้องชายของเจ้ามาก”
ซวนเทียนฮั่วยิ้มออกมา “มันเป็นการดีที่จะป้องกันไม่ให้ตระกูลเฟิงมีชีวิตชีวามากเกินไป”
ฮ่องเต้คิดและไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้ต่อไป แต่พระองค์ชี้ไปที่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามและพูดกับเฟิงหยูเฮง “นั่งเล่นหมากล้อมกับเรา”
จางหยวนยกกระดานทันที และแจกจ่ายตัวหมากก่อนที่จะออกไปยืนอยู่ด้านข้างอีกครั้ง
ซวนเทียนอั่วยังพบสถานที่นั่ง ซวนเทียนหมิงเข้าใกล้ฝั่งของเฟิงหยูเฮงถามว่า “เจ้าเล่นเป็นหรือไม่”
เฟิงหยูเฮงเงยหน้าขึ้น “ข้าเล่นเป็น แต่ข้าเล่นไม่ค่อยเก่ง”
นางบอกว่านางไม่เก่งและนางหมายความตามนั้นจริง ๆ แต่หลังจากการเดินหมากไม่กี่ตานางก็ถูกฮ่องเต้เดินหมากรุกไล่แทบจะไม่มีที่เหลือให้นางวางหมากใด ๆ เฟิงหยูเฮงมองไปที่ฮ่องเต้ด้วยความยินดี “เสด็จพ่อ รู้สึกว่าเอาชนะได้ง่ายเกินไปหรือไม่เพคะ ?”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ระดับของเจ้าต่ำเกินไปนิดหน่อย” ถึงแม้เขาจะพูดอย่างนี้
เฟิงหยูเฮงทำอะไรไม่ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปโอกาสที่จะทำลาย
ขณะที่พวกเขากำลังเล่น ดูเหมือนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หมากสีขาวอยู่ด้านนอก ในขณะที่หมากสีดำอยู่ด้านใน ดูเหมือนว่าหมากสีดำถูกล้อมรอบอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าหมากสีดำต้องการตอบโต้กลับมา มีพื้นที่เหลืออีกเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามฮ่องเต้หยุดการรุกของเขาและชะลอความเร็วลงเพื่อให้โอกาสเฟิงหยูเฮงหายใจ
เฟิงหยูเฮงไม่กล้าชักช้า เมื่อจิตใจของนางสงบ นางค่อย ๆ เริ่มวางหมากสีดำของนางไว้ด้านนอก นางไม่ได้วางหมากตามจุดที่ฮ่องเต้เปิดทิ้งไว้อย่างจงใจ แต่นางเลือกวางหมากที่มีมุม
ความเงียบในห้องนั้นรุนแรงมากเพราะเสียงในห้องนั้นเป็นการเดินหมาก แม้แต่เสียงการหายใจก็เงียบลง
ซวนเทียนหมิงมองไปที่กระดานที่เต็มไปด้วยตัวหมาก และริมฝีปากของเขาก็โค้งเป็นรอยยิ้มที่น่าหลงใหล เขาเข้าใจเสด็จพ่อดีเกินไป เลือกที่จะเดินหมากที่ไปกับเฟิงหยูเฮงโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน? เขารู้อย่างชัดเจนว่านางไม่เก่งมาก แต่เขาก็ยังไม่เคยชนะฮ่องเต้ได้สักตา ? เห็นได้ชัดว่าเขามีความตั้งใจอื่น
แน่นอนเมื่อเฟิงหยูเฮงเลือกวางหมากตรงมุม ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าราชวงศ์ต้าชุนถูกล้อมรอบด้วยสี่แคว้น ?”
เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ที่ชายแดนตะวันออกมันคือซงซุย ชายแดนตะวันตกก็คือกูโม ชายแดนทางใต้ก็คือกูซู ที่ชายแดนทางเหนือคือเคียนโจว”
ฮ่องเต้วางแผ่นปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของเฟิงหยูเฮง “ทั้งสี่ประเทศอาจดูสงบสุข แต่ความจริงก็คือพวกเขามีแผนการของตัวเอง เช่นเดียวกับหมากสีขาวบนกระดานนี้ซึ่งมีหมากสีดำล้อมรอบอย่างแน่นหนา สำหรับหมากสีดำพวกมันเป็นตัวแทนของราชวงศ์ต้าชุนของข้า”
เฟิงหยูเฮงจ้องไปที่กระดานสักครู่แล้วหยิบตัวหมากสีดำของนางออกมา นางไม่ได้พยายามที่จะทำลาย นางไม่เชี่ยวชาญที่เดินไปต่อ ตานี้แพ้ไปนานแล้ว
“พวกเขาจะทำอะไรได้ ถ้าพวกเขามีเราอยู่ล้อมรอบ” นางพูดเบา ๆ “ราชวงศ์ต้าชุนของข้าต่อสู้เพียงลำพังเพื่อผืนดินอันอุดมสมบูรณ์นี้ สำหรับความโลภเป็นเรื่องปกติ สี่แคว้นกำลังทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง หากสี่แคว้นรวมตัวกันเพื่อล้อมรอบสิ่งนั้น พวกเขาย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องความเหนือกว่า หรือหากพวกเขาเข้าร่วมเป็นสองกลุ่มเพื่อล้อมรอบกลุ่มหนึ่ง พวกเขาสามารถทำให้เกิดความวุ่นวายในเขตแดนของราชวงศ์ต้าชุน แต่ในความเป็นจริง ราชวงศ์ต้าชุนแยกทั้งสี่ ไม่มีใครสามารถเห็นอีกคนได้ ในชายแดนอื่น ๆ ของพวกเขามันเป็นภูเขาหิมะหรือทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด ความสามารถเพียงอย่างเดียวของพวกเขาในการติดต่อซึ่งกันและกันคือผ่านราชวงศ์ต้าชุน คนฉลาดรู้จักการยืมพลังโดยอาศัยราชวงศ์ต้าชุนเท่านั้น พวกเขาสามารถมั่นใจได้ว่าพลเมืองของตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าข้าเป็นทั้งสี่แคว้นนี้ข้าคงไม่อยากกบฏ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกคนที่คิดเหมือนเจ้า” เขาผลักหมากออกไปข้างหน้า “เราเสร็จแล้วที่นี่ ความสามารถในการเดินหมากของอาเฮงต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม การที่เราเดินหมากกับเจ้านั้นยังเหนื่อยน้อยกว่าการไปที่นั่น”
เฟิงหยูเฮงรู้สึกอายมาก และลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเพื่อขอโทษ “หม่อมฉันได้สร้างปัญหาให้กับเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้ยิ้มอย่างหงุดหงิด “ลืมมันไปเถอะ เมื่อได้เห็นเจ้ากลับสู่เมืองหลวงอย่างปลอดภัย ข้าก็รู้สึกผ่อนคลายได้ แม้ว่าเราจะไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าจะเสียชีวิตในกองไฟ แต่ข่าวก็ถูกเผยแพร่ออกไป แม้ว่าจะไม่เชื่อก็ต้องคิด” ในขณะที่เขาพูด เขาจ้องมองที่ซวนเทียนหมิง “มันเป็นผลมาจากการกระทำของเจ้า”
ซวนเทียนหมิงยักไหล่ “ครอบครัวเฟิงกำลังทำพิธีศพ แต่ไม่ใช่ของอาเฮง มันมีไว้สำหรับบุตรชายของพวกเขา, เฟิงจื่อเฮา”
“หืม?” เฟิงหยูเฮงตกใจ “เฟิงจื่อเฮาเสียชีวิตแล้วหรือ ?”
ฮ่องเต้งง พระองค์ตรัสถามว่า “ลูกชายของเฟิงจินหยวนกับฮูหยินใหญ่ แม้ว่าจะไม่ทำอะไรเลย แต่ก็มีเพียงคนเดียว ทำไมเขาถึงเสียชีวิต?”
มุมปากของซวนเทียนหมิงม้วนตัว ส่งผลให้เกิดรอยยิ้มที่ร้ายกาจอย่างไม่น่าเชื่อ “ถ้าลูกชายบอกว่าเขาถูกเฟิงจินหยวนทุบตีจนตาย เสด็จพ่อจะเชื่อหรือไม่พะยะค่ะ ?”
ทั้งฮ่องเต้และเฟิงหยูเฮงต่างก็พากันส่ายหน้า
ซวนเทียนหมิงไม่ได้พูดต่อไป อย่างไรก็ตามเขากล่าวว่า “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เขาเป็นเสนาบดีของราชสำนัก เสด็จพ่อมีเหตุผลที่จะให้เขาไปไหนมาไหน และลูกก็ไม่ได้รับแจ้งในเรื่องของราชสำนัก”
ซวนเทียนฮั่วยังกล่าวอีกว่า “เสนาบดีเฟิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่สาม พี่สามนำกลุ่มเจ้าหน้าที่นับไม่ถ้วนไป ที่เสด็จพ่อที่ไม่ลงมือตอนนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”
ฮ่องเต้มองซวนเทียนฮั่วเพื่อขอคำยืนยัน จากนั้นเขาก็หันไปหาเฟิงหยูเฮง และกล่าว “เจ้ามาที่พระราชวังเพื่อหาที่หลบภัย จากนั้นก็มาคุยกับเรา การพูดของเรา ข้ามีความสนใจร้านห้องโถงสมุนไพรของเจ้า เจ้าทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งหรือ ?”
เฟิงหยูเฮงรู้ดีว่าความสนใจของฮ่องเต้นี้นั้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกเรื่อง แต่นางก็เข้าใจเช่นกัน นางเป็นคนนอกและนางเป็นคนในตระกูลเฟิง แต่ซวนเทียนหมิงปกป้องนาง ในท้ายที่สุดฮ่องเต้ยังคงมีความคิดของเขาเกี่ยวกับตัวนาง แต่ไม่สามารถพูดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนัก
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจอธิบายแก่ฮ่องเต้เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง "หัวใจวาย" และ "สมองตาย" "โดยปกติเมื่อพิจารณาว่าบุคคลนั้นเสียชีวิตหรือไม่ อันดับแรกคือตรวจสอบชีพจรที่ข้อมือ จากนั้นเป็นการหาย แล้วก็หลอดเลือดแดง แต่ในความเป็นจริงแล้วปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาความตายของเขาขึ้นอยู่กับสมองเพคะ”
ฮ่องเต้ไม่เคยได้ยินคำอธิบายนี้เลย แม้แต่ซวนเทียนหมิงและซวนเทียนฮั่วก็ยังอยากรู้อยากเห็นมาก ฮ่องเต้ถามนางว่า “แล้วมันจะกำหนดได้อย่างไรว่าสมองของเขาเสียชีวิต”
เฟิงหยูเฮงถอนหายใจ มีวิธีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเครื่องมือในการตัดสินสมองตาย แต่ในยุคนี้มันคงไม่แม่นยำแน่ ๆ นางไตร่ตรองสักพักหนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ก่อนอื่นฝ่าบาทต้องแน่ใจว่าความรู้ทางการแพทย์ของแพทย์ได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว แพทย์เท่านั้นจึงจะสามารถเริ่มประเมินเงื่อนไขต่าง ๆ ของร่างกายของผู้ป่วย ตามปกติแล้วคนที่อยู่ในอาการโคม่าจะไม่มีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าใด ๆ แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรกในการพิจารณาสมองตาย ถัดไปคือการดูว่าผู้ป่วยหยุดหายใจด้วยตนเองหรือไม่ ประการที่สามคือการดูว่าปฏิกิริยาของสมองหายไปหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การกลืน การกระพริบตา และการขยายของม่านตา ประการที่สี่อยู่ที่การเต้นของชีพจร เมื่อผู้ป่วยหยุดหายใจ จะต้องทำการช่วยผายปอดอย่างน้อย 2 ก้านธูป หลังจากจุดนั้น”
คำพูดที่นางพูดนั้นมีความเป็นมืออาชีพมาก แม้แต่ในปัจจุบันที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในยุคนี้ พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ฮ่องเต้รู้วิธีที่จะสรุปได้ทั้งหมดเป็นอย่างดี “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแพทย์”
เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “โดยรวมแล้วเป็นแบบนั้นเพคะ วันนั้นเมื่อข้าช่วยคนตาย ข้าได้ตรวจแล้วว่าชีพจรของเขายังเต้นอยู่ จากนั้นข้าก็บอกว่าข้าจะทำให้คนตายฟื้นมาอีกครั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมีวิธีเช่นไรที่นำคนตายกลับมามีชีวิต ความจริงมันเป็นเพียงเพราะเขาไม่ได้ตาย”
ฮ่องเต้สนใจในสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูด และไม่สามารถช่วยได้แต่จำคำชมของฟานโมบู เขายังจำยาพิเศษที่จำหน่ายที่ร้านห้องโถงสมุนไพร เขาคิดกับตัวเอง นางไม่ทำให้ผิดหวังในฐานะสมาชิกรุ่นหลานของตระกูลเหยา แม้ว่านางจะเป็นเพียงหลานสาว แต่ความสามารถทางการแพทย์ของนางก็ไม่ได้ตื้นเขิน นอกจากนี้เฟิงหยูเฮงคนนี้ยังสามารถพบเจอกับเรื่องบังเอิญที่เจอกับชาวเปอร์เซียเมื่ออายุยังน้อยที่ภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ นางถูกขับไล่ออกจากตระกูลเฟิงแต่กลับกลายเป็นว่านางโชคดี
“น่าเสียดายที่แพทย์ของจักรวรรดิไม่มีความสามารถนี้” เขาถอนหายใจ “ตั้งแต่ผู้อาวุโสจากไปแล้ว พวกเรากลัวที่จะป่วยเป็นเวลานานเพราะกลัวว่าแพทย์ที่ไร้ความสามารถพวกนั้นจะไม่สามารถรักษาข้าได้อย่างถูกต้อง”
เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “นั่นเพราะพระวรกายของเสด็จพ่อแข็งแรงเพคะ ไม่ว่าจะมีแพทย์ดี ๆ อยู่เคียงข้างพระองค์หรือไม่ การไม่เจ็บไข้ได้ป่วยนั้นดีกว่าการล้มป่วย” นางคิดเล็กน้อยแล้วเกิดความคิดใหม่ ในเรื่องที่นางต้องการที่จะขยายสาขาของร้านห้องโถงสมุนไพร ถ้านางได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ โรงพยาบาลรัฐบาลจะเป็นที่ต้องการมากกว่าโรงพยาบาลเอกชน ดังนั้นนางจึงกล่าวเพิ่มเติม “ความรู้ทางการแพทย์ของอาเฮงมาจากท่านปู่ และได้รับการขัดเกลาโดยอาจารย์ชาวเปอร์เซียของข้า แต่ข้าต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อประชาชนของราชวงศ์ต้าชุน”
ฮ่องเต้นั้นฉลาดมากเมื่อเฟิงหยูเฮงพูดเช่นนี้ เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าลูกสะใภ้นี้กำลังขอเงินบริจาค
ดังนั้นเขาโบกมือ “เมื่อทุกอย่างได้รับการเตรียมพร้อมแล้ว เราจะจ่ายสำหรับการขยายร้านห้องโถงสมุนไพรของเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นร้านค้าจะเปิดในต่างเมือง”
เฟิงหยูเฮงยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและคุกเข่า “ลูกสะใภ้ขอบพระทัยเสด็จพ่อแทนประชาชนต้าชุนเพคะ”
ฮ่องเต้มีความสุขมาก พระองค์ช่วยประคองเฟิงหยูเฮงลุกขึ้น พระองค์เตรียมตัวพูดคุยเกี่ยวกับร้านห้องโถงสมุนไพรกับนางอีกสักครู่ ในเวลานี้ขันทีก็วิ่งเข้ามาในห้องโถงจากด้านนอกพร้อมกับหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่ถืออยู่ในมือ “รายงานต่อฝ่าบาท มีข้อความจากใต้เท้าเท้าเหยาจากหวงโจวพะยะค่ะ”
ท่านเหยาจากหวงโจว… นั่นท่านปู่เหยาเซียนไม่ใช่หรือ
เฟิงหยูเฮงกลอกตา ปู่ของนางมาถูกเวลาจริง ๆ !
ฮ่องเต้ก็คิดแบบนี้เช่นกัน เขาได้รับหนังสือเล่มเล็กที่ถูกพับเล็กน้อย หลังจากดูไปซักพัก เขาก็ตะโกนเสียงดัง ๆ “ผู้อาวุโสช่างเย่อหยิ่งนัก !”
เฟิงหยูเฮงอยากรู้เนื้อหาในจดหมาย,kd เมื่อได้เห็นฮ่องเต้ทำท่าทางเช่นนี้ พระองค์ไม่ได้โกรธอย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนว่าสหายเก่าสองคนล้อเล่นกัน
ซวนเทียนหมิงเป็นคนที่ตรงที่สุด ในขณะที่เขาขยับรถเข็นไปข้างหน้าและขโมยหนังสือเล่มเล็ก ๆ จากพระหัตถ์ของฮ่องเต้โดยตรง “ขอลูกดูหน่อยพะยะค่ะ”
เฟิงหยูเฮงก็เข้ามาใกล้เพื่อดู เนื้อหานั้นเรียบง่ายมากและมีเพียงประโยคสองสามประโยค “บุตรสาวของข้ายังเป็นแค่อนุ ดังนั้นคนรุ่นหลังในครอบครัวเหยาของข้าจะมีหน้าเข้าร่วมการสอบจอหงวนได้อย่างไร พวกเขาจะไม่ไป !”
เฟิงหยูเฮงตกใจ ปู่ของนางเป็นคนหยิ่งยโสจริง ๆ !
ฮ่องเต้จิบชาแล้วถอนหายใจ “นั่นเป็นเพียงนิสัยของผู้อาวุโสเหยา” เมื่อมองอีกครั้งที่เฟิงหยูเฮง นางยืนอยู่ที่ฝั่งของซวนเทียนหมิงเท่านั้น นางไม่ได้พูดหรือขอร้องให้อภัย และนางก็ไม่ขอบคุณพระองค์สำหรับความสง่างาม เขารู้อยู่แล้วว่านี่เป็นเด็กพิเศษ แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่านางจะไม่แยแสกับเรื่องราวของครอบครัวเหยา “จางหยวน” ฮ่องเต้ชี้ไปที่ลูกแพร์ “รสชาติของลูกแพร์นี้ค่อนข้างดี ให้ม้าเร็วส่งลูกแพรนี้ไปให้ผู้อาวุโสเหยา 2 ลัง”
จางหยวนโค้งคำนับ และเริ่มส่งคำสั่งขันทีข้างเขา
จากนั้นเฟิงหยูเฮงคำนับฮ่องเต้ “ขอบพระทัยเสด็จพ่อมากเพคะ”
อย่างไรก็ตามฮ่องเต้ได้นึกได้อีกเรื่องหนึ่งและถามจางหยวนว่า “อาการป่วยของพระชายาขององค์ชายสามดีขึ้นหรือไม่”
1 : เป็นการเล่นคำ เฟิง แปลว่า หงส์เพลิง