ทีมบาสหัวใจนักสู้ ตอนที่ 5
ตอนที่ 5
ตอนเช้ามืด เวลาตีห้าครึ่ง ในวันที่สองของแนะแนวการศึกษาช่วงภาคฤดูร้อน
“ผมไปก่อนนะครับ” หลี่กวงเย่าใส่ชุดพละ ในกระเป๋าเป้มีกระเป๋านักเรียน ชุดนักเรียน ถุงพลาสติกและกระติกน้ำ
“อย่าลืมเอาเสื้อผ้าที่มีกลิ่นเหม็นใส่ถุงพลาสติก แล้วมัดปากถุงให้เรียบร้อยนะลูก” หลินเหม่ยอวี้โบกมือบ๊ายบายอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
“รู้แล้วครับ” หลี่กวงเย่าตอบโดยไม่ได้หันหน้าไป
“ลูกคนนี้ ไม่รู้ว่าตอนที่อยู่โรงเรียนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า” หลังจากกลับเข้ามาที่ห้องรับแขก หลินเหม่ยอวี้นั่งลงข้างหลี่หมิงเจิ้ง
“สบายใจได้ หลังจากลูกวิ่งครบสิบกิโลเมตร ถ้าไม่เอาอาหารเช้าที่คุณทำ ออกมาทานให้หมด อย่างนั้นสิ ถึงจะเรียกว่าแปลก” หลี่กวงเจิ้งดูเทปการแข่งขันบาสเกตบอลเอ็นบีเอที่บันทึกก่อนหน้านี้ พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“เรื่องทีมบาสเกตบอลที่กวงเย่าพูดเมื่อวานนี้ คุณคิดว่าจะจัดการยังไงคะ?”
“ที่ผ่านมาคุณไม่อยากให้ลูกเล่นบาสเกตบอลไม่ใช่เหรอ?” หลี่หมิงเจิ้งเอ่ยอย่างขี้เกียจ
“ฉันกลัวว่าลูกจะได้รับบาดเจ็บ” มองดูแผลเป็นที่เท้าของหลี่หมิงเจิ้งแล้ว หลินเหม่ยอวี้ก็ขมวดคิ้ว “แต่เมื่อวานนี้ หลังจากที่ลูกกลับมาจากโรงเรียน ก็ดูท่าทางซึมๆ ไม่ร่าเริง ฉันก็รู้สึกเป็นห่วงลูกน่ะสิ”
“สบายใจได้ ถ้าลูกอยากเข้าร่วมทีมบาสเกตบอลจริงๆ เขาคิดหาวิธีของเขาเองได้ ก็เหมือนกับผมตอนแรก และนี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้นะ”
หลี่หมิงเจิ้งกดรีโมตเล่นซ้ำบางฉาก เอ่ยชื่นชม “โยกหลอกสามครั้งก็วิ่งตัดเข้าได้ สุดยอดจริงๆ”
ภรรยาของหลี่หมิงเจิ้ง หลินเหม่ยอวี้จ้องเขาด้วยความไม่พอใจ คิดในใจพ่อลูกสองคนนี้ช่างเหมือนกันจริงๆ พอพูดถึงบาสเกตบอลทีไรก็ตื่นเต้นขึ้นมาทุกที
“เออใช่ แม่ อีกสักประเดี๋ยวพ่อจะออกไปข้างนอกนะ”
“กี่โมงคะ?” สายตาหลินเหม่ยอวี้เปล่งประกาย
“ประมาณเก้าโมง”
“ไปไหน?”
“โรงเรียนเก่าของพ่อ โรงเรียนมัธยมปลายกวงเป่ย”
“ไปทำอะไร?”
หลี่หมิงยิ้มอย่างเจื่อนๆ รู้สึกได้ถึงน้ำเสียงการตั้งคำถามของภรรยา “ลูกบอกว่าที่โรงเรียนมีผู้อำนวยการคนใหม่ไม่ใช่เหรอ พ่ออยากไปเยี่ยม ไม่แน่อาจจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นของพ่อจริงๆ”
รปภ.เห็นหลี่หมิงเจิ้งเดินมาทางหน้าประตูโรงเรียน จึงรีบเดินมาถาม “คุณเป็นผู้ปกครองของนักเรียนใช่ไหมครับ? มาพบนักเรียนชั้นไหนครับ?”
“ใช่ครับ ผมเป็นผู้ปกครองของนักเรียน แต่ผมมาขอพบผู้อำนวยการครับ” หลี่หมิงเจิ้งบอกความตั้งใจที่มา
“มาพบผู้อำนวยการเหรอครับ?” รปภ.มองหลี่หมิงเจิ้งอย่างพิจารณา
“ใช่ครับ”
“ผู้อำนวยการการงานยุ่งมากครับ ไม่ทราบว่าคุณได้นัดล่วงหน้าไว้ไหมครับ?” น้ำเสียงรปภ.มีความระแวดระวังเล็กน้อย
“ไม่ได้นัดไว้ ต้องรบกวนคุณฝากไปแจ้งด้วยครับ บอกว่าหลี่หมิงเจิ้งมาขอพบ” หลี่หมิงเจิ้งคิดในใจ ถ้าผู้อำนวยการเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา ต้องอนุญาตให้เขาเข้าไปพบทันที ถ้าไม่ใช่ อย่างมากเขาก็แค่ย้ายก้นออกไปจากที่นี่ก็เท่านั้น
รปภ.เกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้น กรุณารอสักครู่ครับ”
รปภ.เดินเข้าไปในป้อมยาม กดโทรศัพท์ไปที่ห้องทำงานของเลขาผู้อำนวยการ“เลขาจางครับ คุณหลี่หมิงเจิ้งมาขอพบผู้อำนวยการครับ”
“หลี่หมิงเจิ้ง? รอสักครู่ค่ะ” เลขาจางเปิดตารางเวลาของผู้อำนวยการ “ผู้อำนวยการวันนี้ไม่ได้มีนัดกับคนนี้”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะบอกกับเขาว่า ผู้อำนวยการไม่ว่างนะครับ ไม่สามารถออกมาพบเขาได้”
เลขาจางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เป็นไร รอดิฉันสักครู่ ดิฉันจะไปถามผู้อำนวยการก่อน คุณบอกว่า เขาชื่อหลี่หมิงเจิ้ง ใช่มั้ย?
“ใช่ครับ”
เลขาจางวางสาย แล้วรีบกดเบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์
“ว่าไง?” ผู้อำนวยการรับโทรศัพท์และตอบด้วยน้ำเสียงอย่างหมดความอดทน
“ขออภัยที่รบกวนค่ะ ผู้อำนวยการ มีคนอยากขอพบค่ะ”
“ใคร?” น้ำเสียงของผู้อำนวยการไม่ค่อยดี เพิ่งจะมารับตำแหน่งผู้อำนวยการ มีหลายอย่างยังไม่คุ้นเคย ไม่สามารถจัดการกับทุกอย่างได้ง่ายดาย ดังนั้นเวลาที่ทำงานไปครึ่งหนึ่ง แต่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ ตามปกติแล้วย่อมหงุดหงิดเป็นธรรมดา
“คุณหลี่หมิงเจิ้งค่ะ”
“หลี่หมิงเจิ้ง” สามคำนี้เหมือนมีเสน่ห์บางอย่าง ทำให้ผู้อำนวยการที่อารมณ์เสีย หายไปทันที เขาแทบจะดีดตัวจากเก้าอี้ “หลี่หมิงเจิ้ง! เมื่อตะกี้คุณพูดว่าหลี่หมิงเจิ้งใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ” เลขาจางรู้สึกตกใจกับน้ำเสียงที่ตื่นเต้นอย่างกะทันหันของผู้อำนวยการ
“เชิญไอ้…คริคริ เชิญคุณคนนั้นขึ้นมาพบผมได้เลย” ผู้อำนวยการตื่นเต้นจนเกือบจะหลุดคำหยาบออกมา
“ได้ค่ะ” เลขาจางรีบวางสายอย่างรวดเร็ว แล้วโทรศัพท์ไปที่ป้อมยาม
หลี่หมิงเจิ้งที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียน เห็นท่าทีของรปภ.ที่รับโทรศัพท์ พลางยิ้มแล้วพูดว่า “ผมเข้าไปได้แล้วสินะครับ”
“เชิญครับ” รปภ.วางหูโทรศัพท์ ยกมือเชิญให้เข้าไปได้
“ขอบคุณครับ”
หลี่หมิงเจิ้งเพิ่งจะเดินเข้าไปในประตูโรงเรียน เห็นเลขาจางยืนรอเขาอยู่ไม่ไกล
“คุณคือหลี่หมิงเจิ้งใช่ไหมคะ?”
“ใช่ครับ ผมคือหลี่หมิงเจิ้ง” หลี่หมิงเจิ้งแสดงรอยยิ้มทะเล้นที่ไม่เข้ากับอายุออกมา
“เชิญตามดิฉันมาค่ะ”
“ครับ”
ก๊อกก๊อก เลขาจางเคาะประตูห้องทำงานของผู้อำนวยการที่อยู่ชั้นสอง พูดว่า “ผู้อำนวยการคะ แขกที่มาขอพบมาถึงแล้วค่ะ”
“เข้ามา” ผู้อำนวยการพูดด้วยน้ำเสียงยากที่จะปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ พอประตูเปิดออก เมื่อได้พบกับเขา ความรู้สึกเหมือนกับที่อยู่ในความทรงจำ ท่าทางที่หยิ่ง จองหอง สีหน้ามีความมั่นใจจนหาที่เปรียบไม่ได้
“โอ้โห ที่แท้ก็เป็นแกนั่นเอง” มองดูท่าทางที่ตื่นเต้นของผู้อำนวยการ หลี่หมิงเจิ้งยิ้มให้ เป็นคำตอบที่เขาไม่คาดคิดเลยสักนิด เย่อวี้เฉิงตัวป้องกันที่บ้าระห่ำของทีม ที่มักจะกวนประสาท และกีดกันคนทำคะแนนของทีมคู่ต่อสู้ไม่ให้ชนะได้อย่างน่ารำคาญสมัยนั้น นึกไม่ถึงจะได้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมปลายเป่ยกวง
“เลขาจาง คุณไปทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวผมต้อนรับคุณหลี่เอง”
ผู้อำนวยการไม่ได้ทักทายหลี่หมิงเจิ้งทันที แต่เชิญเลขาออกไปก่อน
“ค่ะ”
หลังจากที่เลขาจางเดินออกไป แล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ ผู้อำนวยการก็ทนไม่ไหว
“แก ไอ้เหี้ย พอไปสหรัฐอเมริกา ก็เงียบหายไปเลย ยี่สิบกว่าปีมานี้ไปอยู่ที่ไหนมาล่ะ? เย่อวี้เฉิงกำหมัดชกที่แขนของ
หลี่หมิงเจิ้ง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า หลังจากไปสหรัฐอเมริกาแล้ว กระเป๋าเดินทางฉันถูกขโมย อยากจะติดต่อกับพวกแกก็ทำไม่ได้” หลี่หมิงเจิ้งแผ่มือทั้งสองข้างออกอย่างเสียไม่ได้ “พอฉันได้ยินลูกชายพูดว่า ผู้อำนวยการคนใหม่อาจจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉัน ฉันก็รีบมาเลยล่ะ มีความจริงใจพอสินะ”
“ลูกชายของแก?” เย่อวี้เฉิงพูดอย่างประหลาดใจ
“ใช่ เพิ่งจะเข้าโรงเรียนเมื่อวานนี้เอง” หลี่หมิงเจิ้งชี้ไปที่ด้านข้างของเก้าอี้ “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่คิดจะเชิญฉันนั่งเหรอ?”
“ฉันจำไม่ได้เลยว่าแกจำเป็นต้องให้คนกล่าวเชิญ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วยังไม่รีบไปชงชาอีก เอาขนมออกมาให้กินด้วยนะ”
“ไอ้ระยำ ตีนกาก็เยอะ หนังหน้าก็เลยหนาตามสินะ” เย่อวี้เฉิงหยิบใบชาออกมา “คนอื่นรู้ไหมว่าแกกลับมาแล้ว”
“แกเป็นคนแรกที่รู้ แกรู้สึกเป็นเกียรติกับตัวเองไหมล่ะ?” หลี่หมิงเจิ้งส่ายหัวไปมา เผยรอยยิ้มแวววาวออกมา
เย่อวี้เฉิง สบทคำหยาบออกมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกคิดถึงน้ำเสียงที่ไม่เกรงใจและหยาบคายอย่างนี้มาก บวกกับท่าทางที่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้สลักสำคัญอะไร มีเพียงรอยยิ้มอันสดใสอยู่เสมอ หลี่หมิงเจิ้งที่อยู่ในความทรงจำของเขา
“วันนี้ว่างไหม?” เย่อวี้เฉิงถาม
“ทำไมเหรอ?”
“แกยากที่จะปรากฎตัวออกมา ไม่กินข้าวด้วยกันอย่างนี้จะดีเหรอ? ไม่สน วันนี้แกมีธุระอะไร ยกเลิกให้หมด” พูดจบ เย่อวี้เฉิงก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วก็โทรออก”
“ฮัลโหล ไอ้คนที่มันหายหัวไปยี่สิบกว่าปี โผล่มาแล้วนะ วันนี้นัดรวมตัวกันสักหน่อย มอมเหล้าเขากันเถอะ…” “น้องสาม ไอ้บ้านั่นมันกลับมาแล้วนะ วันนี้รวมตัวกันสักหน่อย…” “อาเจ๋อ ไอ้ชั่วนั่นกลับมาแล้วนะ รู้ใช่ไหมว่าฉันพูดถึงใคร ใช่ ก็คือไอ้เหี้ยนั่นแหละ วันนี้ทุกคนออกมากินข้าวด้วยกัน…”
เย่อวี้เฉิงโทรศัพท์หาคนนั้นคนนี้ไม่หยุด เขาใช้คำสรรพนามที่อยู่ในหัวของเขา ที่เขาสามารถคิดออกมาได้ มาบรรยายตัว
หลี่หมิงเจิ้ง เพื่อใช้เรียกแทนหลี่หมิงเจิ้ง สามคำนี้ คำแทนชื่อเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นด้านลบทั้งนั้น แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ไม่ว่าปลายสายจะเป็นใครก็ตาม ก็จะรู้ว่าที่เย่อวี้เฉิงพูดถึงนั้นคือใคร
“ดูเหมือนว่า แกจะเป็นคนทำให้ทุกคนรวมตัวกันได้นะ” หลี่หมิงเจิ้ง หัวเราะเจื่อนๆ
“แน่นอนอยู่แล้ว” เย่อวี้เฉิงเพิ่งจะนั่งลง เริ่มชงชา พร้อมกับถามว่า “ลูกชายของแกเรียนอยู่ชั้นไหน จะเข้าร่วมทีมบาสเกตบอลไหม?”
“น่าจะอยู่ม.4/5 แต่ว่าเรื่องทีมบาสเกตบอล ลูกชายฉันบอกว่าครูประจำชั้น ห้ามพวกเขาเข้าร่วมทีมบาสเกตบอล”
“อะไรนะ!” เย่อวี้เฉิงฟังแล้วหน้าถอดสี “ไม่อยากเชื่อ ตัวเองที่เพิ่งจะรับตำแหน่งผู้อำนวยการ และเรื่องแรกที่สนใจที่สุดคือส่งคนไปจัดการเรื่องนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนทำเรื่องตรงกันข้าม!”
“อย่าตื่นตระหนกไปเลย ฉันรู้จักนิสัยของลูกชายของฉันดี หากเขาอยากเข้าทีมบาสเกตบอล เขาต้องหาวิธีของเขาเอง”
นึกถึงสมัยก่อนในวันที่เล่นบาสเกตบอลด้วยกัน เย่อวี้เฉิงใจเย็นลงมานิดหน่อย แล้วก็หัวเราะ “เหมือนกับแกเมื่อก่อนเลย”
หลี่หมิงเจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ “เหมือนกับฉันเมื่อก่อน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เย่อวี้เฉิงกับหลี่หมิงเจิ้งเงียบไปสักพัก ต่างคนต่างมองกัน แล้วก็หัวเราะร่าออกมา
เฉินเพ่ยอี๋หอบตำราและหนังสืออ้างอิงหลายเล่ม ยืนอยู่บนโพเดี่ยมหน้าชั้นห้องม.4/5 “แนะแนวการศึกษาภาคฤดูร้อนเพิ่งจะเริ่ม หนังสือยังมาไม่ถึง แต่ไม่เป็นไร พวกเธอตั้งใจฟังที่ครูพูดก็พอแล้ว”
สำหรับนักเรียนใหม่แล้ว นี่ไม่ใช่เนื้อหาที่พวกเขาคาดหวังจะได้ยินในคาบเรียนแรกนี้ แล้วก็มีคนเอะอะโวยวายขึ้นมาทันที และให้ความสนใจข้อมูลส่วนตัวของครูทันที เช่นคำถามลักษณะนี้ “ครูอายุเท่าไหร่?” “ครูมีแฟนหรือยัง?” “ครูชอบดูภาพยนตร์แบบไหน” “คุณครูมีไอดอลหรือไม่” เป็นต้น
หลากหลายคำถามที่เผชิญหน้าอยู่นี้ เฉิยเพ่ยอี๋แค่ใช้คำพูดไม่กี่คำก็ปิดปากนักเรียนที่อยากรู้ได้
“ถ้าคำถามเหล่านี้สามารถช่วยให้พวกเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ครูยินดีจะตอบคำถาม ถ้าไม่ได้ พวกเรามาเริ่มเรียนกันได้แล้ว” นักเรียนชั้นม.4/5 อดไม่ได้ที่จะทำเสียงเศร้า ที่ไม่สามารถทำให้ความมุ่งมั่นในสอนของเฉินเพ่ยอี๋หวั่นไหวได้
“พวกเราเริ่มจากเรียนประโยคภาษาอังกฤษง่ายๆ และไวยกรณ์กันก่อน จะทำให้พวกเธอเข้าใจโครงสร้างของประโยคในบทความกับความสัมพันธ์กันของประโยคก่อนหน้าและประโยคหลังได้มากยิ่งขึ้น...” เฉินเพ่ยอี๋อยู่บนโพเดี่ยมบรรยายอย่างจริงจัง หลี่กวงเย่าที่อยู่ด้านล่างหยิบเอากระดาษเปล่าเอสี่ขึ้นมาจดบันทึกอย่างตั้งใจ แต่แท้จริงแล้ว…
“ถ้าในทีมมีสองคนที่ชู้ตแม่น งั้นถ้าต้องปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา ก็ต้องอาศัยตัวป้องกันกับเซ็นเตอร์คอยป้องกันคู่ต่อสู้ให้ ทำให้ตัวชู้ตสามารถหลุดจากคนป้องกันได้ แต่ว่าจุดอ่อนคือ ตัวป้องกันและเซ็นเตอร์ ห่างจากเขตจุดโทษเกินไป เห็นทีจะต้องสละโอกาสในการแข่งกันทำรีบาวด์ หากผู้ชู้ต ชู้ตลงห่วงก็ดี แต่หากชู้ตไม่ลงห่วงแล้วโดนเลย์อัพชู้ตก็…” หลี่กวงเย่าจดจ่ออยู่กับกระดาษจดบันทึกที่เอามาใช้เป็นกระดานแทคติก เพราะอย่างนี้จึงไม่ทันได้สังเกตเฉินเพ่ยอี๋ที่เดินมาจากด้านข้าง
“หลี่กวงเย่า” เฉินเพ่ยอี๋จำนักเรียนคนนี้ได้ เป็นคนเดียวที่กล้าพูดแทรกตอนที่หล่อนกำลังเช็คชื่อ “เธอกำลังวาดอะไรอยู่?”
หลี่กวงเย่าลุกขึ้นยืน ทำท่าเหมือนไม่ได้ทำผิดอะไรสักนิดเดียว ตอบอย่างตรงไปตรงมา “จะใช้เทคนิดอย่างไรให้ผู้ชู้ตใช้พลังสูงสุดครับ”
เฉินเพ่ยอี๋ขมวดคิ้ว “สิ่งนี้สามารถช่วยเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม?”
“หือ?” หลี่กวงเย่าไม่เข้าใจว่า ระหว่างเทคนิคกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมีความเกี่ยวข้องกัน
“ให้ครูบอกอะไรไหมที่สามารถทำได้ นั่นคือ ภาษาอังกฤษ ถ้าตอนนี้เธอไม่ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ ในอนาคตไม่ว่าเธอจะเรียนมหาวิทยาลัยหรือทำงานก็จะลำบาก” พูดจบ เฉินเพ่ยอี๋ตอนแรกคิดจะริบกระดาษที่อยู่บนโต๊ะของหลี่กวงเย่า แต่ท้ายที่สุดตัดสินใจใช้วิธีอื่นที่จะทำให้หลี่กวงเย่าเข้าใจถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษ
“เธอรู้ไหม ตอนนี้ครูกำลังสอนประโยคอะไร?” เฉินเพ่ยอี๋ชี้ไปที่กระดานดำ
“ไม่ทราบครับ” หลี่กวงเย่ามองที่กระดานดำ ส่ายหน้าอย่างซื่อๆ
“แล้วเธอเข้าใจไวยกรณ์ของประโยคนี้ไหม?” เฉินเพ่ยอี่เปิดหนังสือในมือ ชี้ประโยคที่อยู่ในหนังสือ
“ไม่เข้าใจครับ” หลี่กวงเย่าส่ายหน้าอีกครั้ง
“งั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงบทความนี้เลยสินะ”
เกินคามคาดหมายของเฉินเพ่ยอี๋ ครั้งนี้หลี่กวงเย่าไม่ได้ส่ายหน้า “บทความนี้ โอเค ครับ อยากให้ผมอ่านให้ฟังไหมครับครู?”
“เอาสิ” เฉินเพ่ยอี๋คิดว่าหลี่กวงเย่ากำลังดื้อดึง
“That was a beautiful day, and I met a cute girl...” หลี่กวงเย่ารับหนังสือมาแล้วก็เริ่มอ่าน นอกจากอ่านไม่หยุดแล้ว ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็อ่านบทความจบ หลี่กวงเย่าถาม “ครูครับ ต้องอ่านต่อไหมครับ?”
“อืม ไม่ต้องแล้ว” คิดไม่ถึงหลี่กวงเย่าสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้เฉินเพ่ยอี๋เสียหน้าเล็กน้อย แต่หล่อนก็ใจเย็นลง ไม่ยอมให้ตัวเองแสดงความตกตะลึงออกมา
“อ่านได้ดีมาก การออกเสียงก็ยังได้มาตรฐาน เธอเคยไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศมาใช่ไหม?
“ผมเคยเรียนโรงเรียนประถมที่สหรัฐอเมริกาครับ แต่ว่าที่นั่นไม่ได้สอนไวยกรณ์หรือประโยคอะไรเลยครับ ดังนั้นผมเลยอ่านไม่เข้าใจครับ”
แต่ทว่า หลี่กวงเย่ากลับไม่ได้นั่งลง “ครูครับ ผมมีคำถามอยากถามครูครับ?”
“ว่ามา”
“ต้องทำอย่างไรครูถึงจะยอมให้พวกเราเข้าร่วมทีมบาสเกตบอลครับ?” คำถามนี้ทำให้นักเรียนชายหลายคนหูผึ่งขึ้นมาทันที
“ทำไมเธอถึงอยากเข้าร่วมทีมบาสเกตบอล?” เฉินเพ่ยอี๋ถามกลับ
“เพราะว่าผมชอบเล่นบาสเกตบอลครับ” หลี่กวงเย่าตอบโดยที่ไม่ต้องคิด สำหรับเขาแล้ว คำถามของเฉินเพ่ยอี๋ เป็นคำถามง่ายเหมือนกับ “หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง”
“ถ้าอย่างนั้นเธอควรจะไปเข้าเรียนที่ฉี่หนานหรือหรงซิน แต่ไม่ใช่ที่กวงเป่ย” เฉินเพ่ยอี๋ตอบอย่างเย็นชา
“แต่ว่าถ้าผมย้ายไปเรียนแล้ว กวงเป่าก็จะขาดเพื่อนร่วมทีมที่เป็นราชันแห่งบาสเกตบอลไปหนึ่งคนนะครับ” หลี่กวงเย่าตอบด้วยคำพูดที่โอเวอร์อย่างมั่นใจ ทำให้เพื่อนร่วมชั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
แต่หลี่กวงเย่ายืนตัวตรง แววตาของความมั่นใจเด็ดเดี่ยวส่องประกายออกมา ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิดเดียว ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
สีหน้าของเขาในขณะนี้ ทำให้เฉินเพ่ยอี๋มองเห็นความตั้งอกตั้งใจ ในตัวของหลี่กวงเย่า หล่อนเหมือนเห็นตัวเองในช่วงเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัย ภาพนั้นพุ่งเข้ามาในโลกของเธออย่างฉับพลัน แล้วเงานั้นก็หายวับไปอย่างฉับพลัน สายตาที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่กับน้ำเสียงของพวกเขา ช่างเหมือนกันเสียจริง
เฉินเพ่ยอี๋สูดลมหายใจเข้าลึก ทำให้ตัวเองใจเย็นลง เอาความทรงจำแย่ๆ นั้นยัดกลับลงไปในส่วนที่ลึกที่สุดของสมอง “งั้นเธอก็ย้ายไปเรียนสิ ครูเคยพูดแล้ว ม.4/5 ห้ามเข้าร่วมทีมบาสเก็ตบอล”
………………………………………………………………………..