Divine King Of All Directions - 130
Divine King Of All Directions - 130
เหล็งเฟิง ? หลินเทียนได้มองไปยังชายชุดสีฟ้าที่กำลังทำสีหน้าราบเรียบ
"คนตระกูลเหล็ง ! "
หลินเทียนได้คิดอยู่ภายในใจ
ณ ตอนนี้สายตาของผู้คนทั้งหมดได้ตกอยู่ที่ร่างของเหล็งเฟิงเป็นสายตาเดียวกันซึ่งหากเทียบกันแล้วต่างกับศิษย์เก่าทั้ง 4 คนที่อยู่ข้างๆมากๆ
"หล่อจริงๆ !"
"หากว่าแต่งกันกับเขาได้ก็คงจะดี ! "
ตรงหน้าประตูทางเข้านั้นมีผู้คนอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวคนไหนๆก็ต่างจ้องมองไปทางเหล็งเฟิงเป็นสายตาเดียวกัน
หลายๆคนได้แต่พูดออกมาว่า
"อย่าโง่ไปหน่อยเลย เขาเป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลเหล็งซึ่งอยู่อันดับที่ 7 ในตารางสายลมและหมู่เมฆ จะใช้คนที่เจ้าจะเอาได้อย่างไร "
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วท่าทางของหลินเทียนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
"อันดับที่ 7 ตารางสายลมและหมู่เมฆ"
เขาได้กระซิบอยู่ภายในใจ
หลังจากที่ได้มาอยู่ที่นี่ไม่กี่วันนั้นเขาก็พอรู้เรื่องของตารางนี้มาบ้างว่ามันเป็น 10 อันดับคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองนี้ซึ่งวัดอายุอยู่ที่ช่วง 16 – 20 ปีเท่านั้น เหล็งเฟิงนั้นดูอายุราวๆ 18 ปีแต่การที่สามารถอยู่ในอันดับที่ 7 ได้นั้นแสดงว่ามันต้องไม่ธรรมดาเหมือนกัน
ห่างออกไปไม่ไกลนั้นมีเสียงรถม้าวิ่งเข้ามาซึ่งเรียกร้องความสนใจของผู้คนมากมาย
หลังจากที่รถม้าได้เปิดออกมาแล้วสายตาของผู้คนมากมายต่างจับจ้อง
"หลานสาวของท่านแม่ทัพจี่ ! "
"หญิงสาวอันดับ 1 ของเมืองนี้ อันดับที่ 6 ในตารางสายลมและหมู่เมฆยังอุส่ามาด้วย !"
"งดงามจริงๆ !"
"จะว่าก็ว่าทำไมนางถึงได้มาในวันนี้ ?"
"บางทีอาจจะอยากมาดูเด็กใหม่ก็ได้มั้ง "
"เป็นไปไม่ได้ ทุกปีก็มีเหมือนกันแต่ไม่เห็นว่านางจะมาเลยสักครั้ง "
ดวงตาของหลายๆคนได้เปล่งประกายออกมาขณะที่จ้องมองไปที่นาง พวกเขาได้แต่คิดว่ามันแปลกมากๆเพราะว่านางไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักนี้และไม่ค่อยออกไปไหนมาไหนแต่วันนี้กลับมาที่นี่ทำไมกัน ? คนอื่นๆเองก็คิดว่ามันประหลาดเหมือนกัน
ตัวตนของนางได้บดบังเหล็งเฟิงไปทันทีและตอนนี้สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่นางไม่เว้นแม้แต่สาวๆก็ด้วย
จี่หยูได้กวาดตามองไปรอบๆเหมือนหาอะไรบางอย่างก่อนที่จะพบกับหลินเ ียนในหมู่ศิษย์ใหม่พร้อมทั้งยิ้มแล้วโบกมือให้กับเขา
หลินเทียนได้แต่แสดงสีหน้าที่แปลกประหลาดออกมาทันที
"พระเจ้า ! นั่นนาง.......เหมือนกำลังโบกมือให้ใครน่ะ ? "
"ใครกัน ! ใครที่มีเกียรติขนาดนั้นกัน ! "
"ดูเหมือนว่าเป็นคนในหมู่ศิษย์ใหม่นะ ใครกัน ! "
หลายๆคนได้แต่มองไปยังศิษย์ใหม่ทั้งหลาย
เหล็งเฟิงเองก็ได้กวาดตามองไปที่นางก่อนที่จะมองกลับไปตรงหลินเทียนอีกครั้ง
หลินเทียนสัมผัสได้ถึงสายตาที่มุ่งร้ายได้อย่างชัดเจนดังนั้นถึงได้หันหน้ากลับไปมองตามพลางขมวดคิ้ว
ณ ตอนนี้ชายวัยกลางคนได้พูดออกมาว่า
"ทุกคนจัดแถวเป็น 5 แถวแล้วเข้าไปด้านในซะ ! "
เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วศิษย์ใหม่กว่า 200 คนเองก็ได้แบ่งกลุ่มออกพร้อมทั้งเดินเข้าไปภายในการนำของเหล็งเฟิงและคนอื่นๆ
หลินเทียนที่อยู่ในหมู่คนเองก็ได้หันหน้ากลับมาทางจี่หยู
เมื่อเห็นสายตาของเขาแล้วนางก็ได้แสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมาพร้อมกับโบกมือให้กับเขา
หลินเทียนรู้ได้ทันทีเลยว่านางมาที่นี่เพื่อเขา
"บรรยากาศแบบนี้มันแหม่งๆยังไงชอบกลแหะ "
เขาได้พึมพำออกมาเพราะแม้ว่าเขาจะช่วยนางไว้ก็จริงแต่ว่านางก็ไม่น่าจะตอบแทนถึงขนาดนี้
ในหมู่คนเหล่านี้เองก็มีอีกคนที่เห็นเหตุการณ์นี้นั่นก็คือ เหล็งอี้ทง
"ระยำ !"
เขาได้แต่กัดฟันพร้อมกับจ้องมองไปทางหลินเทียนด้วยสีหน้าที่ดุร้าย
หลินเทียนนั้นฝึกฝนเคล็ดวิชาหนึ่งวิญญาณสวรรค์ดังนั้นถึงได้มีจิตสัมผัสที่แรงกล้าถึงได้ตระหนักถึงสายตาของเหล็งอี้ทงดี เขาได้มองกลับไปด้วยหางตา
การกระทำของหลินเทียนนั้นส่งผลให้เหล็งอี้ทงโกรธถึงขีดสุดเพราะเขาไม่คิดเลยว่าหลินเทียนจะกล้าเมินเขา
"ไอ้ลูกหมา รอก่อนเถอะ ! "
เหล็งอี้ทงได้ก่นด่าออกมาเบาๆพร้อมกับแสดงแววตาที่เย็นยะเยือกออกมา
ศิษย์กว่า 200 คนได้เดินเข้าไปด้วยกันซึ่งสร้างเสียงที่ดุดันออกมา ผู้คนมากมายได้แต่จ้องมองไปยังศิษย์ใหม่ทั้ง 200 คนนี้ที่กำลังเดินออกไปด้วยสายตาที่เปล่งประกายเพราะทั้ง 200 คนนี้คือผู้มีพรสวรรค์ของจักรวรรดินี้ !
หลินเทียนที่เดินตามพวกเขาไปก็ได้เดินไปถึงหน้าประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
"เจ้านั่นดูแข็งแรงดีจัง "
"ไร้สาระ ! ทั้งจักรวรรดิมีประชากรอยู่ตั้งกี่คนแต่เลือกมาเพียงแค่ 200 คนเท่านั้น คนพวกนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานเลยล่ะ "
ผู้คนมากมายต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
"วิ่งตามมา ! "
ชายวัยกลางคนได้คำรามออกมาอย่างดัง
ณ ตอนนี้พวกเขาได้เดินออกมาจากเขตเมืองหลวงแล้วซึ่งพวกเขาเริ่มวิ่งออกไปไปพร้อมๆกันจนทำให้พื้นดินถึงกับสั่นสะเทือน
หลังจากที่ผ่านไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วก็พบกับเขตป่ากว้างใหญ่อยู่ตรงหน้า
หลินเทียนได้มองออกไปพร้อมกับพบป่าเขียวขจีที่อุดมไปด้วยกลิ่นอายอสูร
"กว้างกว่าป่าทมิฬแต่อันตรายเหมือนๆกัน "
หลินเทียนได้พูดกับตัวเอง
แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้ว่านี่มันไม่ธรรมดาๆอย่างแน่นอน
ณ ตอนนี้ผู้คนทั้งหมดได้หยุดเท้าลง
ชายวัยกลางคนได้มองไปยังศิษย์กว่า 200 คนพร้อมกับคำรามออกมาอย่างดังว่า
"เตรียมตัวไว้ให้ดี หลังจากที่เข้าไปแล้วก็จะเริ่มการทดสอบโดยทันที ภายในหนึ่งวันจะต้องไปถึงระยะทาง 10 กิโลเมตร แล้วหากว่าใครที่ไปไม่ถึงก็จะถือว่าหมดสิทธิ์โดยทันที หลังจากนั้นครึ่งเดือนหากว่าพบใครอยู่ก่อนถึงเขต 10 กิโลเมตรที่ว่าก็จะหมดสิทธิ์เหมือนกัน ในครึ่งเดือนนี้หากว่าใครที่ลงมือกับศิษย์ร่วมสำนักก็จะหมดสิทธิ์ เข้าใจแล้วหรือยัง ! "
"ขอรับ ! "
ศิษย์ใหม่ทั้งหลายได้ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
"ดีมาก ! "
ชายวัยกลางคนได้พูดออกมาด้วยท่าทางที่พอใจ
ศิษย์กว่า 200 คนเองก็ได้แต่จ้องมองเข้าไปในป่าด้วยแววตาเป็นประกายด้วยความอยากจาร้างปัญหา
หลังจากนั้นก็ได้ผ่านไป 15 นาที
"ทุกคนเข้าไปได้ ! "
ชายวัยกลางคนได้คำรามออกมา
พริบตาเดียวนั้นเองที่ศิษย์ทั้งหลายได้เคลื่อนที่เข้าไปอย่างรวดเร็ว
คนเหล่านี้เป็นเหล่าผู้มีพรสวรรค์ในหมู่หัวกะทิแน่นอนว่าไม่มีใครเกรงกลัวป่าพวกนี้อยู่แล้ว
หลินเทียนก็ได้พุ่งตามกลุ่มคนเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะพบว่ามันมีกลิ่นอายที่รกร้างมากๆ ในอากาศมีกลิ่นอายอสูรที่เข้มข้นจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน
เขาไม่ได้สนใจอะไรก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่า
ระยะทาง 10 กิโลเมตรนั้นจะพูดว่าสั้นก็สั้น ยาวก็ยาว ระหว่างทางหลินเทียนได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรมากมาย
"วิ้ส ! "
ไม่นานก็มีสัตว์อสูรระดับ 3 ได้พุ่งเข้ามาพร้อมกับใช้กรงเล็บแหลมตะปบไปทางเขา
หลินเทียนได้เหวี่ยงมือออกไปปะทะโดยทันที
โครม ! สัตว์อสูรตัวนี้ได้ปลิวออกไปไกลก่อนที่จะกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่พลางทรุดลงกับพื้น
เขาอยู่ในเขตแดนชีพจรเทวะระดับ 2 แล้วดังนั้นการสังหารสัตว์อสูรระดับ 3 ธรรมดาๆนั้นไม่ถือเป็นปัญหาอะไรเลย
ไม่นานก็ผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง
ใน 1 ชั่วโมงนี้เขาได้พบกับการโจมตีของสัตว์อสูรหลายสิบตัวไม่ว่าจะเป็นตัวใหญ่หรือเล็กก็ตามที แน่นอนว่าเขาฆ่าพวกมันทิ้งทั้งหมดและในเวลานี้เขาก็ได้เข้าไปถึงเขต 10 กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้นแล้ว ที่นี่มีเสียงคำรามของสัตว์อสูรถี่กว่าเขตรอบนอกขณะที่กลิ่นอายอสูรเองก็เข้มข้นกว่ามาก
หลินเทียนได้กระโดดขึ้นไปบนต้นไม่พร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆแล้วเห็นว่าด้านหน้านั้นมีสัตว์อสูรระดับ 4 อยู่
"วิ้ส ! "
มันได้ตรวจพบเขาพร้อมกับพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
มันเป็นสัตว์อสูรโกเลมสายฟ้าซึ่งมีความสามารถตรวจจับที่ดีมากๆ กรงเล็บของมันยาวเท่าตะเกียบขณะที่ดวงตาของมันมีสีแดงก่ำ
หลินเทียนไม่คิดเลยว่าเพิ่งเข้ามาแท้ๆแต่ก็ได้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับ 4 แล้วและที่ยิ่งไปกว่านั้นคือมันมีพลังเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญเขตแดนชีพจรเทวะระดับ 2 ด้วย เขาต้องอยู่ในพื้นที่นี้ถึงครึ่งเดือนมันไม่ใช่อะไรง่ายๆเลยจริงๆ ดูเหมือนว่าการจะเข้าร่วมสำนักเป่ยหยานนี่ก็ยากไม่ธรรมดาเลย
แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้วโกเลมสายฟ้านี้ไม่ได้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
เขาได้ยกเท้าขึ้นมาถีบอัดออกไปทันที
"โอ๊ก !! "
มันได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าสังเวชก่อนที่จะลอยออกไปไกล
สัตว์อสูรระดับ 4 ตัวอื่นสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ถึงได้พุ่งออกมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
หลินเทียนได้แต่คิดว่าชิบหายแล้วถึงได้รีบพุ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เขาไม่กลัวสัตว์อสูรระดับ 4 เลยแม้แต่น้อยแต่หากว่ามันมากันเป็นฝูงหรือเป็นร้อยตัวนี่ต่อให้เขาแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตายอยู่ดี
"เห้ออออ ! "
หลังจากที่หนีพวกมันมาได้แล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
ณ ตอนนี้เองที่ท่าทางของเขาได้เปลี่ยนไปเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาที่เย็นยะเยือก
"เหอะ "
เสียงแสยะอันเย็นชาได้ดังขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะเดินเข้ามาพร้อมกับชายอีก 11 คน
"เหล็งอี้ทง"
หลินเทียนได้หลี่ตาของเขาลง
เหล็งอี้ทงดื้นกอดอกของเขาเอาไว้ขณะที่จ้องมองมาทางหลินเทียนพร้อมกับพูดว่า
"โชคเจ้าดีมากๆที่ก่อนหน้านี้เจ้ารอดมาได้ตอนอยู่ที่เมืองเฟิงเจียน อย่างไรก็ตามเจ้ามันโง่แท้ๆที่กลับกล้ามาที่นี่ทั้งๆที่อุส่ารอดไปได้แถมยังกล้าทำเรื่องโง่ๆกับข้าอีก ไม่รู้หรือไงว่าเมืองหลวงนี้เป็นถิ่นข้า ! รนหาที่ตายชัดๆ ! "
หลังจากที่คิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนก่อนและเรื่องไม่กี่วันก่อนนี้ทำให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารอย่างบ้าคลั่ง
หลินเทียนได้มองไปทางเหล็งอี้ทงเพราะสำหรับเขาแล้วการที่อีกฝ่ายจะรู้เรื่องสถานะของเขาก็ไม่น่าแปลกอะไร อีกฝ่ายเป็นถึงลูกหลานคนตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงดังนั้นการสืบค้นสถานะของเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เขาได้มองไปยังชายที่อยู่ด้ นหลังเหล็งอี้ทงทั้ง 11 คนพลางพูดออกมาว่า
"คนพวกนี้มันไม่ใช่ศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบ ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ "
ชายที่อยู่ด้านหลังทั้ง 11 คนนั้นเป็นชายวัยกลางคนด้วยกันทั้งหมด
"แล้วไง เมืองนี้เป็นถิ่นข้า ในถิ่นข้าๆจะทำอะไรก็ได้ ข้ามีหลายวิธีที่จะทำให้เจ้าไม่สามารถอยู่ต่อที่เมืองนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่นการตายของเจ้า ! "
เหล็งอี้ทงได้พูดออกมา