Divine King Of All Directions - 108
Divine King Of All Directions - 108
เมื่อผ่านไปได้กว่า 6 ชั่วโมงแล้วหลินเทียนก็ได้สร้างข่ายอาคมรวมพลังวิญญาณออกมาได้ถึง 12 แผ่นซึ่งจนถึงตอนนี้ดวงดาวก็ประดับอยู่เต็มฟากฟ้าแล้ว หลินเทียนได้หยิบอาหารปี่กูออกมาทานลงไปก่อนที่จะพบว่าร่างกายตัวเองแข็งแรงขึ้นมากแถมความหิวกระหายยังสลายเป็นปลิดทิ้ง
"อาหารปี่กู่นี่มันสะดวกจริงๆ "
หลินเทียนได้คิดอยู่ภายในใจของเขา
หลังจากที่ได้สติแล้วเขาก็ได้เปิดการทำงานของข่ายอาคมรวมพลังวิญญาณทั้ง 2 ม้วนอย่างรวดเร็ว
เขตแดนชีพจรเทวะนั้นคือการก่อสร้างจุดชีพจรเทวะของตัวเอง
หลินเทียนได้สร้างจุดแรกตั้งแต่ศีรศะไปถึงแขนซ้ายแล้วและตอนนี้ข่ายอาคมรวมพลังวิญญาณทั้งสองม้วนก็ได้พูดใช้งานทำให้พลังฉีมากมายเริ่มรวมตัวกันโดยที่ตัวเขาก็เริ่มขั้นตอนการสร้างจุดชีพจรเทวะจุดต่อไป
จุดที่สองที่เขาเลือกนั้นคือตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงแขนขวา
หลังจากที่พลังได้ไหลเวียนเข้าใส่ร่วงกายแล้วเขาก็อาศัยเคล็ดวิชาซือจี่เพื่อลำเลียงพลีงฉีจากที่ศีรษะลงไปที่แขนขวาเพื่อเชื่อมต่อเส้นพลังต่างๆ
ครั้งแรกนั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับเขาอย่างมาก
แต่แม้จะเป็นแบบนั้นเขาก็ยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย ขั้นตอนการบ่มเพาะในเขตแดนชีพจรเทวะนั้นยากยิ่งกว่าเขตแดนหล่อหลอมร่างกายหลายเท่าตัวเพราะต้องปรับสภาพพลังภายในร่างไม่งั้นอาจจะเกิดปัญหาใหญ่ได้
"บึ้ส ! "
ไม่นานร่างกายของเขาก็ได้เปล่งแสงออกมา
การก่อสร้างจุดชีพจรเทวะแต่ละครั้งนั้นกินเวลานานมากแต่แน่นอนว่าหากมีพลีงฉีมากมายคอยส่งเสริมก็จะเป็นเรื่องที่ต่างออกไป ยกตัวอย่างเหมือนยารวมวิญญาณก่อนหน้านี้ที่อัดแน่นไปด้วยพลังฉีมากมายซึ่งเมื่อมันไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายเขาแล้วก็สามารถทำให้เขาก่อสร้างจุดชีพจรเทวะได้ทันที
ตอนนี้ในเมื่อเขาไม่ได้มีพลังฉีจำนวนมหาศาลขนาดนั้นถึงได้แต่พยายามเชื่อมต่อจุดต่างๆไปทีละขั้นอย่างช้าๆ หลังจากที่เชื่อมต่อจุดต่างๆเข้าด้วยกันแล้วชีพจรเทวะจุดที่สองก็จะเสร็จสมบูรณ์และทำให้เขาตัดผ่านไปยังเขตแดนชีพจรเทวะระดับ 2 ได้ทันที
วันนี้หลินเทียนได้บ่มเพาะพลังอยู่จนถึงเช้า
เขาได้ยืนขึ้นในเช้าวันใหม่พร้อมกับพบว่าร่างกายตัวเองแข็งแรงขึ้นมาก
"ดูเหมือนว่าชีพจรเทวะจุดที่สองนี่สร้างได้ 1/15 ส่วนแล้วสินะ "
เขาได้พูดอยู่กับตัวเอง
เมื่อคิดๆดูแล้วเวลาที่ต้องใช้ในการตัดผ่านไปยังเขตแดนชีพจรเทวะระดับที่ 2 ก็น่าจะประมาณครึ่งเดือน
น่นอนว่าความเร็วระดับนี้มันน่าเหลือเชื่อมากๆแต่หลินเทียนก็ยังรู้ดีว่ามันเป็นเพราะประโยชน์จากข่ายอาคมรวมพลังวิญญาณทั้งนั้น หากว่าไม่มีมันแล้วเขาคงต้องใช้เวลาต่ำๆกว่า 2 เดือนถึงจะตัดผ่านไปได้
เมื่อตั้งสติแล้วเขาก็ได้กลับลงมาด้านล่างก่อนที่จะยืดเส้นยืดสานแล้วรับแสงแดดในยามเช้า
เมื่อผ่านไปประมาณ 15 นาทีแล้วหลินเทียนก็อาบน้ำเรียบร้อยพร้อมทั้งมุ่งหน้าไปทางข่ายอาคมสังหารที่ตั้งอยู่ในตำหนักในอย่างรวดเร็ว
..............
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกๆเย็นเขาจะกลับมาก่อสร้างจุดชีพจรเทวะของตัวเองและไม่นานก็ผ่านไปกว่า 10 วันซึ่งใน 10 วันนี้หลินเทียนยังคงสร้างข่ายอาคมรวมพลังวิญญาณหลายสิบอันแถมตอนนี้ชีพจรเทวะจุดที่สองเขาเขาก็สร้างขึ้นได้ประมาณ 3/5 ส่วนแล้วแถมทักษะหมัดทลายฟ้ายังอยู่ในขั้นที่ประสบความสำเร็จแล้วด้วย
วันนี้หลังจากที่เขาออกมาจากข่ายอาคมสังหารนั้นก็ได้พบกับเถาไป่และคนอื่นๆถึงได้ไปด้วยกัน
"ได้ยินมาว่าน้องชายหลินนี่ขยันฝึกฝนทุกวันเลย เป็นตัวอย่างที่ดีจริงๆ "
เถาไป่ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลินเทียนได้ตอบกลับไปว่า
"ต้องพยายามให้มากๆจะได้ไล่ตามพวกเจ้าทั้งสามคนได้ทันไง "
หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันหลายๆครั้งแล้วหลินเทียนก็พบว่าพวกเขาทั้งสามคนก็เป็นคนดีที่คู่ควรจะคบหา
"ไม่ ๆ ! อย่าทำร้ายเราเลย "
เถาไป่ได้กรอกตาของเขาพร้อมกับพูดว่า
"ข้ากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าความแข็งแกร่งในตอนนี้เกินกว่าข้าและเทียนเซอไปแล้ว "
"เจ้าก็พูดเกินไป "
หลินเทียนได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
"ตอนแรกข้าก็พอหวังไว้นะแต่หลังจากที่ต้องเจอกับสัตว์ประหลาดแบบเจ้าแล้วข้าว่ามันไม่เหมาะกับคำนี้แล้วจริงๆ "
เถาไป่ได้ยักไหล่ของเขา
ทั้งสี่คนได้เดินออกไปด้านนอกด้วยกัน
หลังจากที่เดินผ่านทางเดินมาแล้วตอนนี้ก็กำลังจะถึงทางออกของตำหนักในแล้ว
ณ ตอนนี้หลินเทียนได้ชะงักไปเพราะเขาสัมผัสได้ถึงสายตาอันเย็นชาที่กำลังจ้องมองมาทางเขา
เขาได้หยุดเท้าลงพร้อมกับมองตามสายตานี้ไปและพบกับชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันกับซูมู่หยางแต่เขารู้เพียงแค่ว่าสายตาทีเย็นชานั้นถูกส่งมาจากชายหนุ่มชุดคลุมดำที่อยู่ข้างๆซึ่งขณะที่จ้องมาทางเขาก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารลางๆ
"โม่จี่ ! เจ้านี่มันกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? ! "
เถาไป่ได้โห่ร้องออกมา
เทียนเซอที่อยู่ข้างๆเองก็มีท่าทางเปลี่ยนไปขณะที่คงฮางได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน
ท่าทางของหลินเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่ชายหนุ่มชุดดำคนนั้นคือโม่จี่ ? ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมถึงได้รู้สึกว่ารูปลักษณ์ของมันดูคุ้นหน้าคุ้นตาและทำไมต้องส่งจิตสังหารออกมา ที่แท้มันเป็นคือพี่ชายของโม่เซินนี่เอง
เขาได้แต่แสยะอยู่ในใจขณะที่แสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาก่อนที่จะเดินใกล้เรื่อยๆโดยที่ไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย หลังจากที่ระยะห่างเหลือเพียงไม่กี่ฟุตนั้นเสมือนว่ามิติโดยรอบกำลังบิดเบี้ยวจากกลิ่นอายอันแข็งแรก่งของทั้งสองที่ปลดปล่อยออกมาปะทะกันอย่างเงียบๆ
"จะทำอะไรน่ะ ? "
เสียงดังสนั่นได้ถูกส่งออกมา
ผู้ดูแลที่เฝ้าประตูทางเข้าตำหนักได้ตระหนักถึงสถานการณ์แปลกๆตรงนี้
กลิ่นอายทั้งสองได้จางหายไปขณะที่สายลมที่กำลังก่อตัวได้สลายไปตามๆกัน
"ไม่มีอะไรขอรับ "
เถาไป่ได้ส่งเสียงออกมา
ผู้ดูแลได้กวาดตามองไปมาก่อนที่จะเดินกลับไปด้วยท่าทางปกติ
"ไปกันเถอะน้องชายหลิน "
เทียนเซอได้พูดออกมา
หลินเทียนได้พยักหน้าขณะที่มองไปยังโม่จี่ที่อยู่ห่างออกไป
ไม่นานพวกเขาทั้งสี่คนก็ได้ออกทิ้งระยะห่างออกไปหลายสิบเมตร
เถาไป่ได้แต่ปาดเหงื่อของเขาก่อนที่จะพูดว่า
"เจ้าโม่จี่นี่มันน่ากลัวจริงๆ ดูแล้วเหมือนกับสัตว์ประหลาดเลยนะ "
เทียนเซอเองก็ได้พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกับพูดว่า
"ใช่ น่ากลัวมากๆ "
สำหรับหลินเทียนแล้วเขาเห็นด้วยกับคำพูดของทั้งสองเช่นกันเพราะว่าหลังจากที่ได้สบตากับโม่จี่แล้วเขาก็รู้สึกว่าเหมือนร่างกายของตัวเองได้ถูกเสียบโดยจิตสังหารที่รุนแรงซึ่งความรู้สึกนี้เขายังไม่เคยรู้สึกเลยด้วยซ้ำ
"ตอนที่โม่จี่มันอยู่ในเขตแดนชีพจรเทวะระดับ 3 นั้นก็ได้เข้าร่วมกับกองกำลังบุกเบิกของจักรวรรดิและเรียกได้ว่าเป็นปลายแหลมของกองกำลังที่เกิดมาเพื่อฆ่าเลยก็ว่าได้ หลังจากที่ผ่านการสังหารมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วมันคงแข็งแกร่งขึ้นมาก "
คงฮางที่มักจะไม่พูดเองก็ได้พูดต่อว่า
"ดูเหมือนว่าเขาจะตัดผ่านไปยังระดับ 4 แล้วนะ "
"อะไรนะ ?! ! "
เถาไป่และเทียนเซอได้แต่แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
เขตแดนช พจรเทวะระดับ 4 นี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ !
หลินเทียนได้พยักหน้าพร้อมกับพูดว่า
"ที่พี่ชายคงพูดถูกแล้วเพราะว่าข้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน "
ก่อนหน้านี้ที่ได้สบตากันนั้นเขาพบว่ากลิ่นอายของฝ่ายตรงข้ามนั้นรุนแรงมากๆและจากการคำนวณแล้วก็น่าจะตัดผ่านไปยังระดับ 4 แล้วแน่นอน
"นี่มันเป็นปัญหาแล้วสิ "
เทียนเซอได้พูดออกมา
เถาไป่เองก็ได้พูดออกมาว่า
"หลินเทียน ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องระวังตัวเอาไว้นะเพราะแม้ว่าเจ้าจะถือครองตราแม่ทัพที่สามารถสั่งการกองกำลังได้แต่โม่จี่มันต่างออกไป เจ้านี่มันบ้าและคงไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ๆ "
หลินเทียนได้พยักหน้าพร้อมกับตอบกลับไปว่า
"อื้ม ข้ารู้แล้ว "
เมื่อได้สบตากันเมื่อครู่นั้นเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าโม่จี่มันอันตรายมากๆ
"หากว่าต้องการให้ช่วยอะไรก็บอกได้ทุกเมื่อ เราจะช่วยเท่าที่ช่วยได้อย่างเต็มที่ "
เทียนเซอได้พูดออกมา
"อื้ม ขอบคุณมากๆ "
หลินเทียนได้ตอบกลับ
แม้ว่าเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากทั้งสามคนนี้แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งมากๆ
หลังจากที่สนทนากันต่อเล็กน้อยแล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันไป
..........
โม่จี่และซูมู่หยางที่ยืนอยู่ภายในสำนักเองก็ยังคงจ้องมองไปยังแผ่นหลังของหลินเทียนจนถึงตอนที่เขาเดินหายไป
"ข้าล่ะรู้สึกประหลาดใจจริงๆที่เจ้าอดทนโดยไม่ลงมือ "
ซูมู่หยางได้พูดออกมา
โม่จี่ที่กำลังแสดงสีหน้าเหมือนสัตว์ร้ายเองก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระหายเลือดว่า
"มันถือครองตราแม่ทัพและหากว่าข้าลงมือกับมันตรงนี้ก็จะชักนำหายนะให้กับตระกูลได้ "
หลังจากนั้นโม่จี่ก็ได้พูดต่อว่า
"ข้าจะฆ่ามันแต่ต้องเตรียมการก่อน เมื่อถึงยามที่ลงมือก็จะต้องเด็ดหัวมันให้ได้ ! "
ซูมู่หยางได้พยักหน้าพร้อมกับพูดว่า
"ตั้งแต่ที่เจ้าได้เจ้าร่วมกับกองกำลังนี่ดูเหมือนว่าจะใจเย็นขึ้นเยอะเลยนะ "
"ที่นั่นมันถือเป็นนรกที่หากว่าบ้าบิ่นก็มีเพียงแต่ตายเปล่าเท่านั้น "
โม่จี่ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ก็ใช่นะ "
ซูมู่หยางได้พูดต่อว่า
"ขอให้เจ้าทำสำเร็จนะ "
โม่จี่ได้มองไปทางเขาพร้อมกับพูดออกมาว่า
"ข้าว่าบางทีเจ้าน่าจะช่วยข้าฆ่ามันด้วยกัน "
เขาได้พูดต่อว่า
"หลังจากนี้ไม่นานก็จะถึงช่วงคัดคนไปเข้าสำนักเป่ยหยานแล้วและแม้ว่าระดับพลังของเจ้าจะถือเป็นลำดับที่ 1 ของศิษย์ในซึ่งมันคงจะแซงหน้าเจ้าเร็วๆนี้ไม่ได้แต่ด้วยพรสวรรค์ระดับ 9 ดาราของมันแล้วแถมยังเป็นปรมาจารย์ด้านข่ายอาคมระดับ 3 อีกนี่มันทำให้เจ้าถูกทิ้งห่าง ปีนี้เจ้าก็อายุ 18 ปีแล้วและมันเป็นโอกาสสุดท้ายในการเข้าร่วมกับสำนักเป่ยหยาน หากว่าเจ้าพลาดโอกาสนี้ก็คงได้แต่เจ้าร่วมกับกองกำลังหรือไปทำอย่างอื่น"
แน่นอนว่าเรื่องฮือฮาของหลินเทียนนั้นไม่รอดพ้นหูของเขา
ท่าทางของซูมู่หยางได้ตกต่ำลงก่อนที่จะแสดงแววตาที่เย็นยะเยือกออกมา มันเป็นอย่างที่โม่จี่พูดเพราะด้วยสถานะปรมาจารย์ด้านข่ายอาคมระดับ 3 ของหลินเทียนนั้นมันอาจจะทำให้มีโอกาสได้ไปที่สำนักเป่ยหยานในปีนี้และเงื่อนไขในการรับศิษย์ของสำนักก็เข้มงวดมากๆ มีเพียงแค่คนที่อายุไม่ถึง 18 ปีเท่านั้นถึงจะมีโอกาสและปีนี้เขาก็อายุ 18 ปีซึ่งหากว่าพลาดโอกาสนี้เขาก็จะไม่มีทางได้เข้าร่วมกับสำนักอีกแล้ว
"ลองคิดดูแล้วกัน"
โม่จี่ได้พูดออกมา
เขาได้หันหลังแล้วเดินออกไปทางนอกตำหนักอย่างรวดเร็ว
ซูมู่หยางยังคงยืนอยู่ที่เดิมขณะที่กำหมัดแน่นจนส่งเสียงดังออกมา
"หลินเทียน ! "
เขาได้ส่งเสียงอันเย็นชาออกมา
.......
หลังจากที่ออกมาจากตำหนักในแล้วหลินเทียนก็กลับไปยังที่พักอย่างรวดเร็ว
"โม่จี่ "
ตอนที่อยู่ภายในตำหนักในนั้นเขารู้ได้ทันทีเลยว่ามันต้องหาโอกาสลงมือกับเขาอย่างแน่นอนและน่าจะเป็นอย่างที่เถาไป่พูดว่ามันคงไม่กล้าทำอะไรซึ่งๆหน้าแต่อาจจะทำอย่างลับๆ
"ดูเหมือนว่าเราคงต้องเตรียมการกวาดล้างตระกูลโม่ให้สูญสิ้นแล้วสินะ "
หลินเทียนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลังจากที่เก็บของแล้วเขาก็ได้ลงไปอธิบายกับหลินซี่แล้วเดินทางไปยังสมาคมปรมาจารย์ด้านข่ายอาคมโดยทันที ""
"พูและซินเหยาเองก็อยากได้สิ่งนั้นอยู่พอดีเลย"
หลินเทียนเตรียมตัวจะไปทำภารกิจของทางสมาคมเพื่อสะสมแต้มของเขาจะได้เอาไปแลกกับหยาดจันทราเพราะด้วยระดับพลังของเขาบวกกับข่ายอาคมลมกระโชกแล้วมันเพียงพอที่จะให้เขาแอบลอบเข้าไปในบ้านหลักตระกูลโม่ เขาได้เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้กับพวกมันเรียบร้อยแล้ว