ตอนที่ 224 ท่าทีเปลี่ยนไป
เป็นอาคมที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
ในฐานะที่เป็นอดีตจอมยุทธระดับสวรรค์ หลิงฮันรู้สึกสนใจมันมากกว่าคนอื่น คนอื่นเพียงแค่ตกตะลึงกับฉากที่เห็น แต่เขาสงสัยว่าทำไมตำหนักถึงลอยได้
ด้านล่างของตำหนักเป็นจัตุรัสสาธารณะที่ว่างเปล่า แต่จัตุรัสนี่ไม่ธรรมดา สิ่งที่คล้ายกับเส้นโลหิตก่อตัวเป็นเป็นรูปแบบที่น่าสนใจและมีแสงเลือนรางบนมัน
หลิงฮันรู้สึกทึ่งกับมัน แม้ว่าเขาจะเคยเห็นอาคมมามากมายไม่ว่าจะเป็นอาคมใช้เพื่อการป้องกันหรือการโจมตี แต่ก็มีน้อยมากที่จะมีประเภทต่อต้านแรงโน้มถ่วง นี่มันดูน่าเกรงขาม แต่สำหรับจอมยุทธมันไม่มีการใช้งานจริง
ที่นี่คือตำหนักกลาง
ด้านหลังของตำหนักเป็นป่าหนาทึบ และพวกเขามาในเวลาที่เห็นร่างเงาของใครบางคนหายเข้าไปในป่า
"พวกเราไปที่ตำหนักกลางกันก่อนเถอะเพื่อสังเวยเลือด" ฉีฮวงเย่กล่าว เขานับได้ว่ามีสายเลือดของจักรพรรดิอยู่ครึ่งหนึ่ง และไม่อยากให้เกิดภัยพิบัติขึ้นภายในแคว้นพิรุณ นี่คือมุมมองทั่วไปของผู้ที่มีส่วนได้เสีย
ทุกคนพยักหน้า ถ้าผีดิบโลหิตปรากฏตัวออกมาจริง มันไม่มีใครที่จะได้รับประโยชน์
พวกเขาเดินขึ้นบันได มันมีผู้คนอยู่มากมายไม่ใช่แค่คนจากแคว้นพิรุณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีผู้คนจากแคว้นอัคคีและแคว้นศิลาอยู่ด้วย ทั้งเก้าแคว้นมีกฎห้ามต่อสู้กันในตำหนักกลาง การสังเวยเลือดจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นผลประโยชน์ร่วมต่อทั้งเก้าแคว้น ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎนี้จะกลายเป็นศัตรูกับทั้งเก้าแคว้นทันที
เพราะเขตแดนลี้ลับจะเปิดใหม่อีกครั้งหลังจากผ่านไปสามร้อยปี จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกและขณะที่กำลังก้าวเดิน พวกเขากรีดร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
หลังจากก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น เท้าของพวกเขาลอยอยู่ในอากาศ ยิ่งพวกเขาขึ้นไปสูงเท่าไหร่ มันทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นเพราะจอมยุทธที่ยังไม่ทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานจะโปยบินท่ามกลางสวรรค์และโลกได้อย่างไร?
แม้ว่ามันจะนับไม่ได้ว่าเป็นการบิน แต่มันก็ให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน
...การยืนอยู่บนจุดสูงสุดของชั้นฟ้าและมองเหยียดทุกสิ่งทุกอย่าง
หลิงฮันถูกอารมณ์ครอบงำเล็กน้อย มันไม่ต้องสงสัยเลยว่าการสร้างอาคมนี้ขึ้นได้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อที่จะสร้างอาคมขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ วัสดุที่จำเป็นจะต้องมีราคาแพงมากอย่างแน่นอน แคว้นเล็กๆอย่างแคว้นพิรุณและอัคคีไม่มีทางที่จะสร้างมันขึ้นมาได้แม้พวกเขาจะใช้พลังของทั้งแคว้นก็ตาม
มันมีบันไดทั้งหมด 3333 ขั้น พวกเขาใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงเพื่อที่จะเดินไปถึงปลายทาง เพราะพวกเขาเดินไปตกตะลึงไปทั้งยังมีผู้คนจำนวนมาก
ในที่สุดตำหนักกลางก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา นี่คือสถานที่ที่ไม่มีกำแพงอยู่รอบด้านและมีเสาหินขนาดใหญ่ทั้งหมดสิบสองต้นเพื่อค้ำจุนเพดานเอาไว้ เสาหินแต่ละต้นมีความสูงเกือบ 333 เมตร ทำให้ที่นี่เป็นตำหนักที่มีขนาดใหญ่โตมาก
"นายน้อย! นายน้อย!" เสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจดังขึ้นมา คนสามคนเดินออกมาจากกลุ่มฝูงชน คนที่เดินนำเป็นชายชราที่มีอายุประมาณหกสิบปี เขาดูค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว
"ลุงฝู!" ดวงตาของหยางหมิงเบิกกว้าง สีหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความสุขทันทีและรีบวิ่งไปทักทายพวกเขา
"นายน้อย ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?" ทั้งสามคนจ้องมองหยางหมิงด้วยความกังวล นี่คือนายน้อยแห่งตระกูลอ้าว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต
"ข้าไม่เป็นไร!" หยางหมิงยิ้มออกมาเล็กน้อยและหันหลังกลับไป อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
ถึงแม้เขาจะถูกคนอื่นช่วยก่อนหน้านี้ และดูเหมือนเป็นลูกสมุน ทว่าตอนนี้เขากลับเต็มไปด้วยความสง่างามของบุคคลที่มีสถานะสูงส่ง เหมือนกับลูกเป็ดขี้เหร่ที่จู่ๆก็กลายเป็นหงส์
"ทุกท่าน โปรดให้ข้าได้แนะนำตัวเองอีกครั้ง!" เขากวาดสายตามองทุกคน "ตระกูลของข้าคือตระกูลอ้าว ชื่อของข้าคือหยางหมิง ข้าเป็นศิษย์สายตรงของนิกายจันทราเหมันต์!"
นิกายจันทราเหมันต์!
ในดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล นิกายและแคว้นต่างๆไม่อาจก่อตั้งขึ้นมาเฉยๆได้ หากมีเพียงแค่จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณคอยดูแลเรื่องต่างๆ มันสามารถจัดตั้งองค์กรที่เรียกว่าสมาคมได้เท่านั้น หากมีจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคอยดูแลเรื่องต่างๆ มันก็จะสามารถก่อตั้งแคว้นขึ้นมาได้ หากเป็นนิกายมันจะต้องเหนือกว่านั้นขึ้นไปอีก
...อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานคอยดูแลเรื่องต่างๆ
นิกายจันทราเหมันต์อยู่ใกล้กับแคว้นทั้งเก้าของดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว มีข่าวลือว่ากันว่ามีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณคอยดูแลเรื่องต่างๆอยู่ แม้แต่แคว้นทั้งเก้าของดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวยังต้องเคารพพวกเขา ถ้าหากนิกายจันทราเหมันต์ไม่พอใจ จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานก็สามารถกวาดได้ทั้งแคว้นแล้ว และถ้าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณลงมือด้วยตัวเอง แม้แต่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานจากทั้งเก้าแคว้นร่วมมือกันสู้ก็มีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่รอคอยอยู่
ยิ่งระดับสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ความแตกต่างมันยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น
ฉีฮวงเย่และคนอื่นรู้สึกตกใจ การได้เป็นลูกศิษย์สายตรงนั่นหมายความว่าสถานะของอ้าวหยางหมิงในนิกายจันทราเหมันต์นั้นสูงส่งกว่าองค์ชายหนึ่งและองค์ชายสามเสียอีก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเก็บตัวตนของตัวเองไว้เป็นความลับ เขาต้องหวาดกลัวเป็นแน่หลังจากเปิดเผยตัวตนออกมา และผู้คนก็อยากจะได้ทักษะวรยุทธที่เขาฝึกฝน
ทักษะของนิกายจันทราเหมันต์จะมีมูลค่ามากแค่ไหนกัน?
ตอนนี้ อ้าวหยางหมิงได้รับการปกป้องจากคนในตระกูลของเขาแล้ว เขาจึงไม่กระวนกระวายอีกต่อไป
ตระกูลอ้าว? นิกายจันทราเหมันต์?
ความหนาวเย็นแวบผ่านดวงตาของหลิงฮัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้านี่เกี่ยวข้องกับอ้าวเฟิง? ตามที่หลิงตงซิงบอก อ้าวเฟิงเป็นคนที่โดดเด่นและใช้ชีวิตอย่างไร้กฎเกณ์โดยการมีลูกนอกกฎหมายนับไม่ถ้วน และเพราะนิสัยเช่นนั้นของอ้าวเฟิง มารดาของเขาจึงหลบหนีการแต่งงาน ถ้ามีคนบอกว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขาคือหนึ่งในบุตรรักของอ้าวเฟิง นั่นก็อาจเป็นไปได้
แน่นอนว่าหลิงฮันไม่ทะลึ่งถามตรงๆออกมา เขาเพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น
ฉีฮวงเย่และคนอื่นๆโค้งคำนับเขาทันที เขาเป็นถึงศิษย์สายตรงจากนิกายใหญ่—ถึงแม้พวกเขาไม่อาจเป็นสหายด้วยได้ แต่ก็ไม่ควรสร้างความขุ่นเคือง มิฉะนั้นมันอาจเกิดภัยพิบัติกับตระกูลของพวกเขา
อ้าวหยางหมิงทำตัวสูงส่งขึ้นมาทันที ยกเว้นเมื่อเขาจ้องมองไปที่หลิ่วอู๋ตง สายตาของเขามันดูอ่อนโยนและกล่าวออกไปว่า "คุณหนูอู๋ตง ท่านมีความสนใจที่จะเข้าร่วมกับนิกายจันทราเหมันต์หรือไม่?"
เข้าร่วมนิกายจันทราเหมันต์?
ทุกคนรู้สึกตกใจและเผยให้เห็นถึงความอิจฉา นิกายจันทราเหมันต์ การได้เข้าร่วมกับนิกายจันทราเหมันต์อาจทำให้คนผู้นั้นมีโอกาสที่จะทะลวงผ่านระดับแก่นแท้จิตวิญญาณหรือระดับบุปผาผลิบาน อาจถึงขั้นระดับตัวอ่อนวิญญาณเลยก็เป็นได้
แน่นอนว่าเพียงแค่เห็นอ้าวหยางหมิงเชื้อเชิญหลิ่วอู๋ตงเพียงคนเดียว คนอื่นก็สามารถรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น หลิ่วอู๋ตงเป็นหนึ่งในสองหญิงสาวที่งดงามที่สุดในเมืองจักรพรรดิ—ความงามของนางดุจดั่งเทพธิดา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อ้าวหยางหมิงจะตกหลุมรักนาง
"ไม่!" หลิ่วอู๋ตงปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด
นางรู้ว่าอ้าวหยางหมิงเชิญนางเพราะความงามของนาง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับความสามารถตามธรรมชาติของนาง นางก็ปฏิเสธอยู่ดี อย่างแรกนางบ่มเพาะทักษะบ่มเพาะระดับไหนอยู่? ระดับสวรรค์!
นิกายจันทราเหมันต์สามารถมอบทักษะบ่มเพาะระดับสวรรค์ให้นางได้หรือไม่? ถึงแม้พวกเขาจะมีมัน พวกเขาก็ไม่มีทางมอบมันให้กับคนนอก
อย่างที่สอง การได้เป็นผู้ติดตามของหลิงฮัน นางไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเม็ดยา เพราะในไม่ช้าเขาก็จะกลายเป็นนักปรุงยาระดับปฐพี
อย่างที่สาม และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นางไม่อยากจากหลิงฮันไป
เพียงแค่ข้อสามข้อเดียวก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างได้แล้ว
เดิมทีอ้าวหยางหมิงมั่นใจว่าหลิ่วอู๋ตงจะต้องตอบตกลง และไม่คิดเลยว่านางจะปฏิเสธทันควัน มันทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขาจ้องมองไปที่หลิงฮันและเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันจากมุมปากของหลิงฮัน เขาจึงตระหนักขึ้นมาทันทีว่าหลิ่วอู๋ตงมีความรู้สึกให้กับหลิงฮัน
เช่นนั้นเขาจะต้องจัดการกับหลิงฮันก่อนเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนไร้ค่า!