ตอนที่ 221 สมุดบันทึก
พวกเขาเดินไปยังบริเวณรอบนอกของภูเขาวงแหวน จากนั้นหยางหมิงได้หยิบบันทึกโบราณออกมาจากต้นไม้ที่แห้งเผือดต้นหนึ่ง ปกของสมุดบันทึกนั้นเน่าเปื่อยจนไม่สามารถปิดเนื้อหาข้างในได้หมด
เห็นได้ชัดว่าหยางหมิงรีบร้อนเป็นอย่างมาก ทำให้ซ่อนมันเอาไว้ลวกๆเช่นนี้
“นายน้อยฮัน นี่ไง” หยางหมิงส่งบันทึกโบราณให้หลิงฮันอย่างสุภาพพร้อมกับก้มหัวลง ในแววตาของเขามีร่องรอยของความไม่เต็มใจอยู่
สำหรับคนธรรมดาบันทึกโบราณนี้คงไม่มีค่า แต่สำหรับบางคนคุณค่าของมันนั้นไม่สามารถวัดได้
หลิงฮันหยิบมาแบบไม่ลังเล ระหว่างทางเขาบอกชื่อของเขาให้หยางหมิงรู้แล้ว เพราะเวลาได้ยินคำว่า’ผู้มีพระคุณๆ’ตลอดเวลามันทำให้เขารู้สึกอึดอัด เขาเริ่มเปิดอ่านบันทึกต่อหน้าหยางหมิงอย่างไม่เกรงใจ
นี่เป็นสมุดบันทึกของคนสมัยก่อนจริงๆ ในส่วนแรกมันบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์เล็กๆเอาไว้ บันทึกเล่มนี้เป็นของเซียวติง เขาคือหัวหน้าหมู่บ้านที่สามารถทำให้ผู้คนใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข
ตระกูลเซียวอาศัยอยู่ในดินแดนลี้ลับมาหลายรุ่น แต่การเปลี่ยนก็ได้เกิดขึ้นในยุคของเซียวติง ทุกคนในหมู่บ้านถูกขับไล่ออกจากดินแดนลี้ลับ แต่เซียวติงก็ยังแอบหลบซ่อนอยู่ภายในนี้
ในตอนนั้นเขาขัดคำสั่งของชายที่เรียกว่า ‘ราชาปีศาจ’และเข้าไปยังส่วนลึกของภูเขาวงแหวน เพื่อค้นหาเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงถูกขับไล่ออกมาจากที่นี่
ด้วยความคุ้นเคยที่อาศัยอยู่ในเขตแดนนี้มานาน เขาสามารถหลีกเลี่ยงข่ายอาคมต่างๆและเข้าไปยังส่วนลึกได้ในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถเข้าไปยังบริเวณใจกลางได้แถมยังถูกพลังลึกลับครอบงำ เขารู้สึกว่าตัวเขาไม่ใช่ตัวของตัวเองอีกต่อไป
ในตอนนั้นเขาวิ่งหนีทันทีแต่ก็สายเกินไป เมื่อเขากลับมาถึงหมู่บ้านเขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลือในการบันทึกสิ่งต่างๆเรื่องที่เจอในส่วนลึกของภูเขาเอาไว้... และบันทึกก็ได้จบลงตรงนี้
บางทีเขาอาจจะตายไปแล้ว
เซียวติงบันทึกเกี่ยวกับเขตต้องห้ามต่างๆเอาไว้อย่างละเอียด อาจจะเป็นเพราะเขากลัวที่จะเผลอลืมมันไปก็ได้ ในตอนสุดท้ายของบันทึก เขาเขียนการคาดเดาเอาไว้ว่าตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวอาจจะถูกกังขังอยู่ภายในเขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับแห่งนี้ และตำหนักกลางคือข่ายอาคมที่จะคงสภาพความแข็งแกร่งเอาได้ผ่านการสังเวยโลหิต บางทีสิ่งเหล่านี้อาจจะมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แต่ปัญหาเพิ่งจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยของเขา
ในเมื่อผู้คนในเขตแดนลี้ลับไม่อยู่แล้ว ข่ายอาคมจะมีเอาไว้เพื่ออะไร? ความเป็นไปได้มีอยู่อย่างเดียว นั่นคือการหยุดยั้งต้นตอของสิ่งชั่วร้ายเอาไว้!
หลิงฮันปิดสมุดบันทึกและสรุปข้อมูลที่อ่านมา
จากที่ดูแล้ว เขตแดนลี้ลับแห่งนี้มั่นคงเป็นอย่างมาก มันไม่น่าจะมีปัญหาอย่างเช่นการพังทลายลง ถ้าเช่นนั้นทำไมผู้คนในหมู่บ้านถึงถูกขับไล่ออกไป?
ในอดีต เขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับเคยมีผีดิบโลหิตปรากฏตัวขึ้นมา และเซียวติงก็กล่าวถึง‘ต้นต่อแห่งความชั่วร้ายเอาไว้’แถมยังเชื่อว่าภายในเขตแดนแห่งนี้มีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวถูกกังขังเอาไว้อยู่.. หรือว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกัน? จะเป็นเพราะการปรากฏตัวของผีดิบโลหิตรึเปล่า พวกคนในหมู่บ้านถึงถูกขับไล่ออกไป?
เขตแดนลี้ลับถูกสร้างขึ้นโดยจอมยุทธระดับทลายมิติ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขตแดนลี้ลับทุกๆเขตแดนจนมีตัวตนที่ทรงพลังเช่นนั้นคอยดูแลอยู่ตลอด... ถ้าจอมยุทธระดับทลายมิติไม่สามารถเปิดช่องว่างมิติเพื่อขึ้นไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็จะตายเพราะหมดอายุขัยเช่นกัน
หรือว่าส่วนลึกของภูเขาจะมีผีดิบโลหิตจำนานมากที่จำเป็นต้องใช้พลังของจอมยุทธระดับทลายมิติในการสยบพวกมันเอาไว้? อย่างไรก็ตาม ภายในเขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับไม่มีตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นผู้คนในหมู่บ้านจึงถูกขับไล่ออกไปจากเขตแดนลี้ลับ
“นายน้อยฮัน พวกเราจะออกเดินทางกันรึยัง?” หยางหมิงถาม
หลิงฮันพยักหน้าและพูด “ไปกันเถอะ”
ทั้งสามคนออกเดินทางได้ประมาณครึ่งวันก็มองเห็นหุบเขาขนาดใหญ่อยู่ไกลๆ
หุบเขานั้นราวว่าเกิดจากการที่ภูเขาวงแหวนถูกกระบี่สวรรค์ทะลวงจนเป็นร่องขนาดใหญ่ หลิงฮันสามารถสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งกระบี่จากรอยร้าวเหล่านั้น
เมื่อหลายปีก่อน จะมีต้องมีจอมยุทธที่ทรงพลังทำการผ่าภูเขาวงแหวนออกเป็นสี่ส่วน
‘ระดับทลายมิติ! ต้องเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติแน่นอน’ หลิงฮันคิดในใจ แม้จะเป็นตัวเขาในชีวิตที่แล้วก็ไม่มีพลังขนาดนี้ มีเพียงระดับทลายมิติในตำนานเท่านั้นที่สามารถทำให้เจตจำนงกระบี่ไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา
ทรงอำนาจยิ่งนัก ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีเจตจำนงกระบี่ที่สามารถก้าวข้ามกาลเวลาได้เช่นนี้มาก่อน
ถึงแม้จะมองเห็นหุบเขาแล้ว แต่มันก็ยังอยู่อีกไกล การจะไปให้ถึงยังต้องใช้เวลาเดินอีกสักพัก และในเมื่อเป้าหมายปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกเขาจึงเกิดความกระตือรือร้นที่จะรีบไปให้ถึง
“อ้ากก!” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาแต่ไกล ดูเหมือนว่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น
ทันใดนั้นเอง คนหกคนที่มีดาบอยู่ในมือก็ได้วิ่งออกมาจากป่าทางด้านขวา สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนราวกับว่าเห็นผีมา พวกเขาทั้งหวาดกลัวและคิดแต่จะหนีเพื่อเอาชีวิตรอด
‘ฟุบ’ เงาสีดำกระโดดผ่านพวกเขาด้วยความรวดเร็ว เงานั่นตามคนที่วิ่งหนีมาได้ทันพร้อมกับเอื้อมแขนพยายามจะจับคนที่วิ่งอยู่ข้างหน้า
คนคนนั้นไม่หลงเหลือความกล้าที่จะสู้ตอบโต้อีกต่อไป เขาเพียงแค่วิ่งหนีอย่างสุดชีวิต แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าการจะหนีจากความเร็วของเงาดำนั่นมันเป็นไปไม่ได้ ในไม่ช้าหัวของพวกเขาก็ถูกคว้าเอาไว้และเกิดเสียง‘ปุ’ หัวของพวกเขากลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยพร้อมกับมีโลหิตอุ่นๆทะลักออกมา
เกิดเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองขึ้น เงาสีดำพุ่งเข้าใส่ร่างกายส่วนบนของศพเพื่อดูดเลือดและเริ่มกัดกินเนื้อสดๆ
“ผีดิบโลหิต?” หลิงฮันขมวดคิ้วและคิดไปถึงสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายนั่น
“ผิดแล้วๆ นี่ไม่ใช่ผีดิบโลหิต มันคือทหารซากศพระดับทองแดงขั้นสอง” ชายหนุ่มชุดดำเดินออกมาจากป่า ใบหน้าของมันขาวซีดราวกับไม่มีเลือด
ในมือของมันมีโซ่เหล็กอยู่สามเส้นที่ดูเหมือนกำลังมัดอะไรสักอย่างอยู่อย่างแน่นหนา แต่ไม่สามารถมองเห็นได้เพราะพวกมันถูกซ่อนเอาไว้ในป่า
"นิกายพันศพ?” หลิงฮันขมวดคิ้ว
“อะไรกัน เจ้ารู้จึกนิกายพันศพงั้นรึ?” ชายหนุ่มชุดดำจ้องเขม็งไปยังหลิงฮันพร้อมกับปลดปล่อยออร่าสังหารที่รุนแรงออกมา
หลิงฮันแสยะยิ้มอย่างดูถูก
นิกายพันศพคือขุมอำนาจที่ชั่วร้ายที่สุด ศิษย์ของนิกายไม่ได้แข็งแกร่ง แต่พวกมันสามารถควบคุมศพของจอมยุทธที่แข็งแกร่งได้ ซึ่งศพเหล่านั้นจะถูกเรียกว่าทหารซากศพ
ทหารซากศพมีสามระดับใหญ่ นั่นคือทหารซากศพระดับทองแดง ทหารซากศพระดับเงิน ทหารซากศพระดับทอง แต่ละระดับจะแบ่งออกเป็นขั้นหนึ่งถึงขั้นเก้า
แล้วนิกายพันศพเอาทหารซากศพมาจากไหน? แน่นอนว่าต้องขโมยศพของจอมยุทธมา ถ้าตอนมีชีวิตอยู่จอมยุทธคนนั้นแข็งแกร่ง ทหารซากศพที่สร้างจากจอมยุทธคนนั้นก็จะแข็งแกร่งเทียบเท่ากัน โดยทหารซากศพระดับทองขั้นสามสามารถเทียบได้กับจอมยุทธระดับสวรรค์
เพื่อจะขโมยศพมา พวกมันไม่เพียงแค่ขุดสุสานโบราณขึ้นมา แต่พวกมันยังขแอบขุดโมยศพของจอมยุทธที่เพิ่งถูกฝังขึ้นมาอีกด้วย เพราะงั้นนิกายนี้จึงเป็นที่รังเกียจของคนส่วนใหญ่และครั้งหนึ่งได้ถูกโจมตีโดยพันธมิตรของเหล่าจอมยุทธ
หลิงฮันคิดว่านิกายพันศพถูกกำจัดไปแล้ว เขาคาดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นศิษย์ของนิกายซากศพในปัจจุบันนี้