ตอนที่ 211 เริ่มเดินทาง
หลิงฮันได้ "เห็น" เศษเสี้ยวของการต่อสู้อันยิ่งใหญ่จากความทรงจำของทองคำก่อเกิดผลาญโลหิตและสามารถยืนได้เรื่องหนึ่งว่ายักษ์ที่เกิดขึ้นจากทองคำก่อเกิดเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ตามข้อสรุปของหลิงฮัน เจ้ายักษ์นั่นน่าจะถูก "แยกชิ้นส่วน" และชิ้นส่วนของมันกระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ อย่างไรก็ตามมันอาจมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอยู่อีก อย่างเช่น เจ้ายักษ์ทองคำก่อเกิดนั่นบางทีอาจมีแค่บางส่วนของร่างกายมันเท่านั้นที่ถูกฉีกขาดขณะที่ส่วนใหญ่ของร่างกายมันไม่ได้รับอันตราย
ถ้าเป็นเช่นนั้นและเจ้ายักษ์ทองคำก่อเกิดถูกจัดการภายในเขตแดนลี้ลับ หากเป็นแบบนั้นมันก็จะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชิ้นส่วนที่แตกออกจากร่างกายของมันปรากฏอยู่ในแคว้นพิรุณ
แน่นอนว่าโอกาสที่จะเป็นแบบนั้นได้นั้นต่ำมาก
แต่เมื่อเขาขบคิดว่ายักษ์ทองคำก่อเกิดนั้นน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน หลิงฮันก็ยังคงตัดสินใจที่จะผจญภัยไปในเขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับเพื่อดู ถ้ายักษ์ทองคำก่อเกิดถูกปิดผนึกไว้ภายในนั้นจริง เช่นนั้นเขาต้องไปดูเพื่อความมั่นใจว่าผนึกนั่นจะแข็งแรงและไม่อ่อนลง
'มันผ่านไปนานหลายปีแล้ว ถึงจะเป็นสัตว์ประหลาดอย่างยักษ์ทองคำก่อเกิดมันก็ควรตายไปแล้วถูกไหม?' หลิงฮันสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง อย่างไรก็ตาม ในกรณีของการดำรงอยู่อย่างยักษ์ทองคำก่อเกิด แม้มันจะตายไปแล้วจริง ร่างกายคงกระพันของมันก็ยังคงสามารถให้กำเนิดชีวิตที่สอง มันแตกต่างจาก "มนุษย์" อย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด เขาต้องเดินทางไปยังเขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับ
"แล้วพวกเจ้าจะเข้าไปในเขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับได้อย่างไร?" หลิงฮันถาม
"มันง่ายมาก หลังจากที่เขตแดนลี้ลับเปิด ประตูมิติก็จะปรากฏขึ้นในสถานที่ต่างๆ เมื่อใครเดินผ่านเข้าไปในประตู คนผู้นั้นจะถูกส่งเข้าไปในเขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับ" หลิ่วอู๋ตงกล่าว นางหยุดพูดไปชั่วขณะ แล้วพูดต่อว่า "เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงรู้ว่าเขตแดนลี้ลับเปิดแล้ว นั่นเป็นเพราะ 'ประตู' มันปรากฏออกมาแล้ว"
"ประตูสามแห่งได้ปรากฏอยู่ในแคว้นพิรุณ ประตูที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากเมืองจักรพรรดิไปสามร้อยไมล์" หลีซื่อฉางกล่าว
หลิงฮันพยักหน้าแล้วถาม "ภายในเขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับ นอกเหนือจากผีดิบโลหิตแล้ว มันมีอันตรายอย่างอื่นอีกหรือไม่?"
"มนุษย์ที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่นเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่มันยังคงมีอสูรปีศาจอยู่ภายใน ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันดูเหมือนจะติดอยู่ภายในและไม่มีทางที่จะพาพวกมันออกมาได้ นอกจากนี้มันไม่มีความหมายที่พวกเราจะต้องอยู่ด้านในนานๆ หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง พวกเราจะถูกขับไล่ออกจากดินแดนลี้ลับเอง" หลิ่วอู๋ตงตอบ
"ตามข่าวลือ มันมีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของเขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับ นั่นคือพื้นที่ต้องห้าม พวกเราจะเดินทางอยู่รอบนอกของเขตแดนเท่านั้น หลังจากผ่านไปยาวนานเขตแดนลี้ลับจะปรากฏออกมาครั้งหนึ่ง ดังนั้นมันจะต้องมีสมุนไพรจิตวิญญาณจำนวนมากอย่างแน่นอน พวกมันคือเป้าหมายหลักของพวกเรา" หลีซื่อฉางกล่าว
หลิ่วอู๋ตงพยักหน้าเห็นด้วย ถึงทักษะวรยุทธมันจะถูกคนรุ่นก่อนเก็บเกี่ยวไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเหลืออยู่ แต่มันแตกต่างจากในกรณีของสมุนไพรจิตวิญญาณ พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวมันได้อย่างมหาศาลในครั้งนี้และการปรากฏของครั้งต่อไปอาจเกิดขึ้นอีกอย่างน้อยหลายสิบปี
โดยเฉพาะครั้งนี้ มันปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปสามร้อยปี ดังนั้นมันจะต้องมีสมุนไพรจิตวิญญาณจำนวนมหาศาลรอให้เก็บเกี่ยวอยู่
"อะไรคือข้อจำกัดสำหรับการเข้าสู่เขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับ?" หลิงฮันถามต่อ
"พูดให้เข้าใจง่ายคือ ความสามารถของเจ้าลดลงจะทำให้เข้าไปได้ง่ายขึ้น แต่ทว่าทุกครั้งนั้นจะแตกต่างกันไป บางครั้ง แม้แต่จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณยังสามารถเข้าไปได้ แต่ก็มีบางครั้งแม้จะเป็นแค่จอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุก็ไม่สามารถเข้าไปได้" หลิ่วอู๋ตงกล่าวพรางส่ายหน้า
หลิงฮันขบคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วรู้สึกว่ามันไม่เป็นไร
อย่างแรก เขาไม่ได้ล่วงเกินจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคนใด อย่างที่สอง ถ้าจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณสามารถเข้าไปได้ เขาก็ยังมีกว่างหยานอยู่เคียงข้าง อย่างที่สาม ถ้ามีเพียงแค่จอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุและต่ำกว่าสามารถเข้าไปได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องหวาดกลัว แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับอัจฉริยะอย่างชางเย่วและองค์ชายหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็มีความสามารถที่จะปกป้องชีวิตของตัวเองไว้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าชางเย่วเป็นลูกน้องของเขาหรอกหรือ?
ไม่นานหลังจากนั้น สำนักหู่หยางได้ประกาศให้ศิษย์ทุกคนออกเดินทางเข้าสู่เขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับทันที ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้คนที่เข้าไปในตำหนักกลางจะต้องหยดเลือดก่อนเป็นอันดับแรกถ้าหากเลือดน้อยเกินไป เช่นนั้นผีดิบโลหิตจะปรากฏตัวออกมาและทำลายโลก แล้วใครจะไปรู้ว่าจะมีกี่คนที่จะต้องตายไป
อย่างรวดเร็ว ฉีฮวงเย่ หลีตงเย่ จิงหวู่จื้อ ไป๋ลี่เถิงหยุน และคนอื่นๆต่างมุ่งหน้ามายังสถานที่พักของหลิงฮัน พวกเขาทุกคนมาจากเมืองต้าหยวนเหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรดาที่พวกเขาจะสร้างกลุ่มขึ้นมาและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
"หืม น้องหลิง ระดับบ่มเพาะพลังของเจ้า..." ฉีฮวงเย่เป็นคนที่สังเกตเห็นคนแรก และรู้สึกตกใจ "ทำไมระดับพลังของเจ้าถึงถดถอยไปอยู่ที่ระดับรวมธาตุขั้นแรก?"
จิงหวู่จื้อและคนอื่นทุกคนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของหลิงฮัน และดูเหมือนว่าเขาจะมีเมล็ดก่อเกิดแค่เมล็ดเดียวเท่านั้น แล้วการแสดงออกที่ไม่น่าเชื่อยังปรากฏอยู่บนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาเคยได้ยินแต่คนที่ติดอยู่ในระดับพลังนั้นและไม่อาจทะลวงผ่านได้ และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นระดับพลังถดถอย
หลิงฮันหัวเราะออกมาและไม่ได้พูดอธิบายอะไร เขากล่าวว่า "หากทุกคนอยู่ที่นี่กันครบแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถอะ"
"อืม!" ฉีฮวงเย่และคนอื่นๆรู้ว่าหลิงฮันเป็นคนที่น่ากลัวมากในฝ่ายปรุงยา ในเมืองต้าหยวน เขาสามารถเอาชนะนักปรุงยาระดับดำได้ และตอนนี้แม้แต่ตัวตนที่น่าหวาดกลัวอย่างนักปรุงยาระดับดำขั้นกลางยังต้องเคารพเขา
จากมุมมองนี้ ความแตกต่างที่ระดับบ่มเพาะพลังของหลิงฮันเปลี่ยนแปลงไปมันทำให้เขาดูตกต่ำลงเล็กน้อยหรือสูงขึ้นเล็กน้อยกันแน่?
พวกเขาทุกคนออกเดินทาง แล้วหลิงฮันแวะไปที่ตำหนักโอสถสวรรค์และชวนหลีเฮาไปด้วย จากนั้นกลุ่มของเขาในที่สุดก็ออกจากเมืองจักรพรรดิและมุ่งหน้าไปทางตะวันออก
ระหว่างการเดินทางของพวกเขาผู้คนเริ่มเยอะขึ้น
เขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับไม่เพียงแต่จะได้รับทักษะวรยุทธและสมุนไพร แต่มันต้องใช้คนจำนวนมากเพื่อสังเวยเลือดให้กับมัน มิฉะนั้น ผีดิบโลหิตจะปรากฏตัวออกมา ดังนั้น ไม่สำคัญว่าทุกคนจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอแค่ไหน ทุกคนก็จะต้องสังเวยเลือดของตัวเองสักเล็กน้อย
นี่เป็นเรื่องสำคัญระดับแคว้น ด้วยอำนาจของตระกูลจักรพรรดิพวกเขาได้สั่งให้พลเมืองของเมืองต่างๆมุ่งหน้าไปยังเขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับ
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในที่สุดกลุ่มของหลิงฮันก็มาถึงจุดที่มีประตูมิติปรากฏขึ้นมา
แทนที่จะเรียกมันว่าประตู ควรจะเรียกมันว่ากระแสวังวนน่าจะเหมาะกว่า มันมีแสงสีดำบิดเป็นเกลียวอยู่ภายใน และมีความสูงประมาณสิบเมตร มันเป็นภาพที่น่าประทับใจทีเดียว มันไม่มีประตูด้านหน้าหรือด้านหลังของประตูมิตินี่ ดังนั้นไม่ว่าผู้คนจะกระโดดจากทางไหน พวกเขาก็จะหายตัวไปในทันทีราวกับถูกดูดกลืนหายไป
หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ เขาไม่เคยมีความสามารถสร้างสิ่งแบบนี้มาก่อนในชีวิตที่แล้วของเขา มันน่าจะมีเพียงแค่จอมยุทธระดับทลายมิติเท่านั้นที่ทำได้
มีบางคนอดใจรอไม่ไหวและมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน ขณะที่คนอื่นยังคงรออยู่ด้านนอก ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพยายามรวมกลุ่ม เมื่อกลุ่มมีขนาดใหญ่พอ พวกเขาก็จะเข้าไปข้างใน และก่อนที่พวกเขาแต่ละคนจะเข้าไปข้างใน พวกเขาจะได้รับตราสัญลักษณ์และแผนที่
ตราสัญลักษณ์จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นพลเมืองของแคว้นพิรุณ ส่วนแผนที่ที่พวกเขาแจกนั้นดูธรรมดามาก มันมีแค่เครื่องหมายที่บ่งบอกว่าเป็นที่ตั้งของตำหนักกลาง
...ผู้คนของแคว้นทั้งเก้าของดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวสามารถเข้าไปในประตูมิติที่กระจัดกระจายได้ด้วยเช่นนั้น ดังนั้นมันเลยไม่ได้มีแค่ผู้คนจากแคว้นพิรุณ ตัวอย่างเช่น แคว้นพิรุณและแคว้นอัคคีเป็นเพื่อนบ้านกัน และมีความขัดแย้งระหว่างกันอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีใครรู้ว่ามีคนเสียชีวิตไปเท่าไหร่ในความขัดแย้งเหล่านี้หลังจากที่ผ่านไปหลายพันปี ดังนั้นทั้งสองแค้วนจึงเป็นศัตรูกันมาอย่างยาวนาน เมื่อผู้คนของทั้งสองแคว้นเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน พวกเขาก็จะพยายามเข่นฆ่าอีกฝ่าย และตราสัญลักษณ์นี่จะเป็นสิ่งที่ใช้ระบุมิตรและศัตรู
ข้อจำกัดสำหรับประตูมิติในครั้งนี้ไม่ได้ต่ำเกินไป แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับห้วงจิตวิญญาณเองก็สามารถเข้าไปได้ แต่จอมยุทธที่อยู่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณจะไม่สามารถเข้าไปได้
"หลิงฮัน!" เสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอันไร้ที่สิ้นสุดดังออกมา
หลิงฮันหันหน้าของเขาไปมองและจ้องมองไปที่เจ้าของเสียง
เฟิงหลัว
มันเป็นแมลงสาบหรือยังไงกัน? มันปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น แขนทั้งสองข้างของมันถูกต่อแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่ามันยังเคลื่อนไหวได้ไม่คล่อง มันดูเหมือนกับว่าแขนทั้งสองข้างของมันถูกแปะไว้ข้างร่างกายมันและแกว่งไปมา แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากที่พวกมันพยายามต่อแขน