ตอนที่ 142 ทำไมต้องเห็นใจต่อขุนนางขั้นสองที่น่าเวทนา
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย ริมฝีปากของเฟิงหยูเฮงหยักโค้งอย่างเสน่ห์ oheเสียงนี้ทำให้หัวใจของตระกูลบุจมลงสู่จุดต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
องค์ชายเก้า, ซวนเทียนหมิง เขามาทำไม?
สมาชิกของตระกูลบุไม่เคยคิดเลยว่าองค์ชายเก้าจะมาร่วมแสดงความเสียใจเพราะการตายของใต้เท้าบุนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับพระชายาหยุนซึ่งเป็นมารดาของเขา ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่สมควรจะมา
แต่มีบางคนที่ไม่ได้ทำตามสามัญสำนึก ยิ่งพวกเขาไม่ควรมาก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นที่จะมา
ไม่มีอะไรที่บุใบซีสามารถทำได้ เขานำคนที่เหลือของตระกูลบุคุกเข่าลงที่หน้ารถม้า เขาพูดว่า “คารวะองค์ชายเก้าพะยะค่ะ”
ม่านรถม้าถูกยกขึ้นและรถเข็นก็บินออกไป คนนั่งบนรถเข็นคนนี้คือซวนเทียนหมิงในชุดคลุมสีม่วงและหน้ากากทองคำ คนที่ตามเขาออกจากรถม้าเป็นชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีอ่อน นี่คือองค์ชายเจ็ด, ซวนเทียนฮั่ว
บุใบซีกล่าวขึ้นอีกครั้ง “คารวะองค์ชายเจ็ดพะยะค่ะ”
สมาชิกของตระกูลบุทำตามบุใบซีพร้อมกัน ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลบุรู้สึกเหมือนคอตีบตัน ความคิดบอกนางว่าองค์ชายทั้งสองพระองค์ไม่ได้มาเพื่อแสดงความเสียใจ
แต่ในเวลานี้บุใชซีเริ่มพูดอีกครั้ง “การที่องค์ชายทั้งสองพระองค์มาแสดงความเสียใจเป็นความโชคดีของคฤหาสน์บุของเราอย่างแท้จริง”
ซวนเทียนหมิงขมวดคิ้ว และปล่อยเสียงถาม “หืม?”
เฟิงหยูเฮงดูฉากนี้ด้วยความสนุก สายตาของนางมองไปที่บนเสื้อคลุมสีม่วงซวนเทียนหมิงอย่างคุ้นเคยกับการสวมใส่ ด้วยลักษณะเช่นนี้เขาจะมาแสดงความเสียใจได้อย่างไร ดูเหมือนว่าตระกูลบุเป็นเหมือนเฟิงเฉินหยู พวกเขาชอบมองข้ามสิ่งต่าง ๆ
คำถามของซวนเทียนหมิงตรึงบุใบซี เขาไม่เข้าใจความหมายของซวนเทียนหมิง แต่เขาไม่กล้าถาม เขาทำได้แค่อยู่เฉย ๆ และนิ่งเงียบ
ซวนเทียนฮั่วที่ให้คำอธิบาย “ใต้เท้าบุเข้าใจผิดแล้ว ข้าและน้องเก้านี้กำลังไปที่ค่ายทหารในเขตชานเมืองและผ่านมาที่นี่ เมื่อได้ยินว่าน้องสะใภ้มากับฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฟิงเพื่อแสดงความเสียใจ เราจึงตัดสินใจมาดู”
หน้าผากของบุใบซีถูกปกคลุมด้วยเหงื่อเย็น ในขณะที่เขาบอกตัวเองว่าเขาพูดมากเกินไป ยิ่งเขาพูดมากขึ้นเขาก็ทำผิดพลาดมากขึ้น
ซวนเทียนหมิงพูดโดยใช้เสียงลึกลับเดียวกัน “มันเป็นสิ่งที่ดีที่องค์ชายองค์นี้มา มิฉะนั้นอาเฮงของเราจะไม่เจ้าถูกรังแกจนตายหรอกหรือ ?” ในขณะที่เขาพูดเขาโบกมือให้เฟิงหยูเฮง นางเดินไปข้างหน้า และวางมือเล็ก ๆ ไว้ในมือใหญ่ของเขา ซวนเทียนหมิงถามพระชายาบุว่า “บุใบปิง เจ้าไม่สบายหรือถึงได้นอนหลับตาเช่นนี้ ?”
เฟิงหยูเฮงเกือบหัวเราะออกมาดัง ๆ และรีบก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว นางคิดว่าจะดีหรือแย่กว่านั้นนางควรไว้หน้าตระกูลบุบ้าง
พระชายานอนหลับตาอยู่ นั่นไม่ใช่แค่คนตาย
พระชายาไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดีจากคำถามเช่นนี้ อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงกล่าวเสริมว่า “ข้าสามารถเติมเต็มความปรารถนานั้นได้”
ใบหน้าของบุใบปิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางยังคงจำได้ว่าซวนเทียนหมิงได้ส่งนางสนมที่โปรดปรานของฮ่องเต้ไปสู่ความตายอย่างไร แส้นั้นไร้ความปรานีอย่างที่เขาพูดโดยไม่ต้องกระพริบตา
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสอะไรแม้แต่คำเดียว พระองค์กลับรีบส่งคนไปนำศพของนางสนมคนนั้นออกมาและฝังนางไว้ ความโปรดปรานที่เขาแสดงให้เห็นในอดีตนั้นเหมือนเมฆที่หายวับไป แม้แต่ครอบครัวของนางสนมก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้อง จากตระกูล 45 คนนั้นไม่มีใครรอดชีวิตมาได้
นางเข้าใจว่าในหัวใจของฮ่องเต้ ผู้หญิงและบุตรชายไม่สามารถพูดถึงในลมหายใจเดียวกันโดยเฉพาะผู้หญิงอย่างนางที่ไม่มีบุตรชาย
สมาชิกของตระกูลบุไม่กล้าส่งเสียง แม้แต่เด็กเล็กก็ยังถูกปิดปากโดยผู้ใหญ่เพราะพวกเขากลัวว่าสิ่งที่พวกเขาพูดจะทำให้เทพแห่งภัยพิบัตินี้น่ารำคาญ
แต่เทพแห่งภัยพิบัติครั้งนี้ไม่มีเวลาที่จะจัดการพวกเขาอย่างระมัดระวัง เขาเพียงแต่พูดกับว่าที่พระชายาของเขาเท่านั้น แต่คำพูดที่เขาพูดนั้นไม่ค่อยดีนัก “ขุนนางขั้นสองเสียชีวิตแล้ว ทำไมเจ้าถึงต้องโศกเศร้าด้วย ?”
“เพื่อแสดงความเห็นใจเพคะ”
“ท่านพ่อของเจ้าเป็นขุนนางขั้นหนึ่งและเป็นเสนาบดีคนปัจจุบัน ทำไมถึงต้องแสดงความเห็นใจต่อขุนนางขั้นสองที่เลวทรามเช่นนี้?”
“พระองค์กล่าวเช่นนั้นไม่ได้ พวกเขาเป็นขุนนางของฮ่องเต้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว!”
“แต่บุคคลนั้นตายไปแล้ว ใครเขาจะอยู่ด้วยกัน อย่างที่ข้าเห็น เฟิงจินหยวนก็มีชีวิตที่ยืนยาวเช่นกัน”
เฟิงหยูเฮงใช้สายตาของนางส่องแสงเป็นมีดสั้นใส่เขา “เมื่อพูดต่อหน้าคนอื่น พระองค์ต้องระวังให้มากขึ้น”
“ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามครอบครัวของเจ้าได้สร้างหน้าตาให้กับตระกูลบุ แต่เนื่องจากพวกเขาไร้ยางอายเมื่อได้หน้า จึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปข้างในเลย ไปกันเถอะ กลับกันเถิดและนำธนูโฮยี่ของเจ้าออกมา ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมค่ายทหาร”
ทั้งสองพูดราวกับว่าไม่มีใครอยู่ ในความเป็นจริงคำพูดของพวกเขาเปิดเผยข่าวค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนสุดท้าย เมื่อตระกูลบุได้ยินว่าธนูโฮยี่อยู่ในมือของเฟิงหยูเฮง ทุกคนต่างก็ตกใจอย่างมาก
บุหนี่ชางยิ่งแสดงความขุ่นเคืองมากขึ้น!
ปรากฎว่าการแข่งขันยิงธนู เฟิงหยูเฮงไม่เพียงแต่ชนะเท่านั้น นางยังได้รับปิ่นหงส์เพลิงและยังมีสมบัติเช่นธนูโฮยี่
เมื่อเห็นบิดาจ้องมองนาง บุหนี่ชางก็ก้มหัวลง นางรู้ว่านางสูญเสียอย่างรุนแรง
“ไม่ใช่ตอนนี้” เฟิงหยูเฮงพูดและจับมือของซวนเทียนหมิง “เมื่อพระองค์มา มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะเข้าไปข้างในและจุดธูปแสดงความเสียใจ ใต้เท้าบุก็เสียชีวิตต่อหน้าต่อตาข้าในวันนั้น ถ้าข้าไม่ไปจุดธูป ข้าก็รู้สึกไม่สบายใจ”
“ข้าก็ด้วย” ซวนเทียนหมิงไม่ได้มองใครเลย สิ่งเดียวในสายตาของเขาคือว่าที่พระชายาที่ยังไม่แต่งงาน “แต่ถ้าเจ้าเข้าไปข้างใน เจ้าจะต้องไปภายในนามของฮ่องเต้ เจ้าต้องไม่ทำให้องค์ชายคนนี้เสียหน้า ยิ่งกว่านั้นเจ้าต้องไม่ทำให้เสด็จพ่อเสียหน้าด้วยเช่นกัน!”
“ข้ารู้” นางยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงของนางเชื่อฟัง
ซวนเทียนหมิงเหยียดตัวออกมาและเอื้อมมือไปลูบหัวของนาง จากนั้นบุหนี่ชางกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์ไม่คิดว่าคุณหนูรองของตระกูลเฟิงจะหยิ่งเกินไปหรือเพคะ”
ซวนเทียนหมิงไม่ได้โต้เถียงกับนาง และเขาก็ไม่โกรธ เขาตอบเพียงคำถาม “ข้าดีใจที่นางเป็นเช่นนี้ เจ้ามีข้อคัดค้านอะไรหรือไม่?”
ใบหน้าที่อิจฉาปรากฏบนใบหน้าของบุหนี่ชาง โดยมีลักษณะดื้อรั้นปรากฏในดวงตาของนาง พวกเขาเป็นเด็กหญิงทั้งสองที่หมั้นกับองค์ชาย เหตุใดองค์ชายสี่จึงไม่ปฏิบัติต่อนางเช่นเดียวกับองค์ชายเก้าที่ปฏิบัติเฟิงหยูเฮง?
นางไม่มีความสุข!
ณ จุดนี้ซวนเทียนหมิงและซวนเทียนฮั่วไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่อีกต่อไป ทั้งสองให้คำแนะนำกับเฟิงหยูเฮง หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับเข้าไปในรถ,hk
ทุกคนคุกเข่าบนพื้นส่งพวกเขากลับไป หลังจากรถม้าออกไป สมาชิกของตระกูลบุก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ในเวลานี้พวกเขาได้ยินเสียงของซวนเทียนหมิงดังอย่างชัดเจนแล้วพูดว่า "คนในตระกูลบุอย่าลืมที่จะไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฟิงสำหรับฮูหยินใหญ่ที่เสียชีวิตแล้ว คำนับทุกก้าวตั้งแต่ประตูคฤหาสน์ไปจนถึงห้องโถงไว้ทุกข์ อย่าทำผิดพลาดแม้แต่ก้าวเดียว”
เสียงที่ชัดเจนของซวนเทียนหัวก็ดังขึ้น เสียงเตือนบุหนี่ชาง “หญิงสาวไม่ควรก้าวร้าวเกินไปเพราะบางครั้งยิ่งควบคุมได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแนวโน้มสูญเสียมากขึ้นเท่านั้น”
บุหนี่ชางลดศีรษะของนาง จิตใจของนางเต็มไปด้วยความอิจฉาที่ซวนเทียนหมิงปฏิบัติต่อเฟิงหยูเฮงดีแค่ไหน ยิ่งนางคิดถึงมันมากเท่าไรนางก็ยิ่งอิจฉามากขึ้น
สำหรับพระชายาบุ นางสูญเสียแรงผลักดันของนางไปจากก่อนหน้านี้ เพียงแค่นอนบนเปลหาม ดวงตาของนางเผชิญหน้ากับท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
ต้องบอกว่าคนที่ได้รับความสนุกมากที่สุดในเวลานี้คือฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฟิง ในขั้นต้นนางรู้สึกว่าเป้าหมายขององค์ชายเก้าคือครอบครัวเฟิงเท่านั้น ตอนนี้นางรู้แล้วว่าคนที่ตกเป็นเป้าหมายของพระองค์คือใคร ใครก็ตามที่ปฏิบัติต่อเฟิงหยูเฮงไม่ดี ดังนั้นถ้าเป็นตระกูลบุ พระชายาก็ไม่สามารถทำอะไรพวกนางได้ พวกเขาทุกคนต้องทนทุกข์ทรมานจากการทำผิด! พวกเขาพูดไม่ออกกันสักคน !
ยิ่งนางคิดถึงมันมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเฟิงหยูเฮงรับมือแทนตระกูลเฟิงได้ดี นางต้องการที่จะดึงเด็กคนนั้นมา และปลอบนาง ในขณะที่นางหันกลับมาอย่างรวดเร็ว นางเห็นว่าเฟิงเฉินหยูหน้าแดงนิด ๆ และมองตามรถม้าที่ออกไป
ทันใดนั้นนางก็จำได้ว่าเฟิงจินหยวนเคยกล่าวถึงความรู้สึกของเฟิงเฉินหยู นางอดไม่ได้ที่จะสงบอารมณ์และพาเฟิงเฉินหยูกลับสู่ความเป็นจริง
ใครจะคิดว่าพระชายาจะสังเกตเฟิงเฉินหยูในตอนนี้ เมื่อเห็นหน้าของเฟิงเฉินหยู นางก็เริ่มคิดมานานก่อนที่จะพูดด้วยความสงสัยว่า “ทุกคนในตระกูลเฟิงช่างใจกล้าเหลือเกิน ?”
เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้อีกครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลบุกระซิบอย่างเงียบๆ “ท่านพ่อของเจ้าไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว อย่าสร้างปัญหาอีกต่อไป”
บุใบปิงรู้สึกผิด “ท่านแม่ คุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิงกำลังขัดพระราชโองการ !”
ด้วยคำพูดเหล่านี้ทุกคนแข็งตัว ไม่มีใครเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้
อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงยิ้มบาง ๆ ขณะมองที่พระชายาบุแต่ก็ยังนิ่งเงียบ นางตัดสินใจอย่างแน่นอนว่านางจะคอยดูจากข้างสนามเพื่อทำให้หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฟิงเย็นลง นางจำได้ว่าฮองเฮาได้กำหนดว่าเมื่อใดก็ตามที่เฟิงเฉินหยูออกจากคฤหาสน์ นางต้องใช้ผงทาหน้าสีดำ แต่วันนี้...
“พระชายาโปรดฟังคำอธิบาย!” เฟิงเฉินหยูฉลาดและคุกเข่าลงบนพื้นโดยตรง “เฉินหยูไม่ได้ตั้งใจที่จะขัดพระราชโองการ แต่วันนี้เป็นงานศพของใต้เท้าบุ เฉินหยูใส่ชุดไว้ทุกข์สีขาวและสวมใส่ดอกไม้สีขาวด้วย มันไม่เหมาะสมที่จะทาหน้าสีดำจริง ๆ เพค่ะ พระชายาอาจส่งคนมาดู เฟิงเฉินหยูไม่ได้ทาชาดแม้แต่น้อยในวันนี้”
ในตอนแรกบุใบปิงต้องการพูดต่อ แต่นางถูกฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลบุพูดตัดหน้าก่อน “ความตั้งใจของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิงได้รับการยอมรับจากผู้เฒ่าคนนี้ ทุกคนโปรดเข้ามาในคฤหาสน์ ใบซีเตรียมน้ำชาเป็นการขอโทษ” ขณะที่นางพูดอย่างนี้นางจ้องที่บุใบปิงอีกครั้ง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยการเตือน
บุใบปิงไม่ใช่คนงี่เง่า นางเข้าใจว่าจะหยุดก่อนที่จะไปไกลเกินไป ท้ายที่สุดแล้วตระกูลเฟิงนั้นอยู่เหนือตระกูลบุ แม้ว่าพระชายายังอยู่ นางก็เป็นพระชายาของฮ่องเต้ที่ไม่มีพระโอสถหรือพระธิดา มีความแตกต่างอะไรระหว่างนางกับสาวงามที่ได้รับความโปรดปราน ? พูดตามความจริงที่พึ่งของตระกูลบุก็คือบุตรชายของบุใบซี, บุชง
นางนอนลงในเปลหามอย่างไร้ประโยชน์ เมื่อนางยกมือขึ้น ขันทีที่แข็งแรงก็พานางเข้าไปในคฤหาสน์ทันที
กลุ่มตระกูลเฟิงก็ติดตามพวกเขาไปสู่คฤหาสน์ เฟิงเซียงหรูที่นั่งอยู่ข้างหลัง ฝ่ามือของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ นางรู้สึกว่าจำเป็นต้องแก้ไขความกล้าหาญของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางติดตามพี่รองของนางออกไป ไม่มีเวลาใดที่มันจะจบลงอย่างสงบสุข หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปนางจะต้องหวาดกลัวอย่างแน่นอน
ในที่สุดก็เข้าสู่ห้องโถงไว้ทุกข์ เพราะทุกคนในคฤหาสน์ได้ออกจากคฤหาสน์เพื่อต้อนรับพระชายา คนเดียวที่เหลืออยู่ข้างหลังเป็นบ่าวรับใช้ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้หยุดการเผากระดาษทำให้ห้องเต็มไปด้วยกลิ่นที่ไม่เหมือนใคร
เมื่อผู้คนในตระกูลบุกลับไปที่ห้องโถงไว้ทุกข์ พวกเขายึดสถานที่ของบ่าวรับใช้ ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฟิงนำหญิงสาวทั้งสามคนขึ้นมารับธูปที่จุดแล้ววางไว้ในกระถางธูป ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะราบรื่น อย่างไรก็ตามเมื่อเฟิงหยูเฮงไปวางธูปของนางลงในกระถางธูป เด็กที่ไหนไม่รู้มาชนนาง
ทำให้มือของนางสั่น, ธูปล้มลง
นางไม่ได้ใช้ความพยายามที่จะจับมัน มองอย่างไร้ความปราณีขณะที่ธูปครึ่งแท่งล้มลงกับพื้น มันจุดกระดาษธูปชิ้นหนึ่งทำให้เกิดเปลวไฟเล็ก ๆ ขึ้นมา
หนึ่งในบ่าวรับใช้ของตระกูลบุรีบเดินไปข้างหน้าแล้วดับไฟ บุใบซีดุเด็ก “นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาวิ่งเล่น?”
เด็กกลัวและเริ่มร้องไห้ เฟิงหยูเฮงไม่รังเกียจ เพียงพูดว่า “เด็กยังเล็กอยู่ เขาไม่เข้าใจอะไรเลย ท่านเสนาบดีบุอย่าตำหนิเขา แต่ต้องมีคนดูแลเด็กจะต้องดูอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่แบบนี้ ตอนนี้เขาเพียงแค่ล้มธูปก้านเดียว ถ้าเขาชนกับฐานจุดไฟมันก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นห้องโถงไว้ทุกข์ของท่านแม่ของข้าก็ถูกไฟไหม้เช่นนี้ อา.. พูดถึงสิ่งนี้แม้แต่ร่างกายของนางก็ถูกไฟเผา”
“คุณหนูรอง ระวังคำพูดด้วย!” ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลบุรู้สึกโกรธ
อย่างไรก็ตามเฟิงเฟิงหยูเฮงยิ้ม แต่ไม่ได้ป้องกันตัวเอง นางแค่พูดว่า “คำอ้อนวอนเหล่านี้ไม่เป็นที่พอใจ ท่านฮูหยินผู้เฒ่าบุโปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
นางวางธูปอย่างเหมาะสมและถอยกลับไปไม่กี่ก้าว เมื่อเตรียมพร้อมที่จะยืนออกไปด้านข้างและรอฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฟิง แต่เมื่อนางเดินตามกลับ เด็กก็กระแทกเข้ากับเท้าของนาง ทำให้เท้าของนางยกขึ้นและร่างกายของนางเซไปมาเล็กน้อย ขณะที่นางรู้สึกว่ามีบางอย่างรองรับแขนของนาง น้ำเสียงที่มีความโกรธเล็กน้อยก็ดังขึ้นเหนือหัวของนาง “ระวัง”