บทที่ 5 บททดสอบการต่อสู้ที่แท้จริง(ฟรี)
บทที่ 5
บททดสอบการต่อสู้ที่แท้จริง
หลังจากทบรรลุวิชาดาบพิฆาตวายุ และเข้าใจวิถีแห่งดาบ การฝึกฝนเพลงดาบเส่าชางนั้น หลี่ฟู่เฉินใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวและบรรลุวิชาได้ภายในเก้าวัน
เพลงดาบเส่าชาง ในขั้นตอนสุดท้ายมันช่างน่าประหลาดใจ การกวัดแกว่งแต่ละครั้ง แม้ว่าลำต้นของต้นไม้จะมีความหนาราวสองคนโอบ มันก็สามารถตัดลำต้นไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง เพลงดาบนี้แข็งแกร่งกว่าวิชาดาบพิฆาตวายุอย่างน้อยก็สองเท่า
สำหรับรูปแบบวิชาเตะสะท้านฟ้าและวิชาดาบพิฆาตวายุ มีธรรมชาติที่คล้ายคลึงกัน ที่ทั้งสองวิชานี้ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม ดังนั้นเพียงแค่สามวัน หลี่ฟู่เฉินก็สามารถบรรลุวิชาเตะสะท้านฟ้าได้สำเร็จ
“ข้าคิดว่าถึงเวลาที่ต้องฝึกทักษะการต่อสู้ที่แท้จริงแล้ว”
การฝึกบ่มเพาะและฝึกศิลปะการต่อสู้ล้วนเป็นหนึ่งฐานรากเดียวกัน ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน พื้นฐานของบุคคลสองคนย่อมเท่าเทียมกัน ประสบการณ์การต่อสู้จริงถึงจะทำให้เห็นความแตกต่าง
ตั้งแต่วัยเยาว์ หลี่ฟู่เฉินไม่เคยมีส่วนร่วมในการต่อสู้จริงๆจังๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าเขายังขาดบางสิ่งไป
หลี่ฟู่เฉินนำดาบเหล็กติดตัว เขาตัดสินใจออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาม่านหมอก
***
เทือกเขาม่านหมอกมีขนาดใหญ่กว้างใหญ่ไพศาลมหึมา ชื่อนี้ไม่ได้มาจากชื่อเมือง หยุ่นวู่ (หมอก) แต่เป็นเพราะม่านหมอกที่ล้อมรอบเมืองนี้ ดังนั้นจึงมีชื่อว่า เมืองหยุ่นวู่
ภยันตรายครอบคลุมไปทั่วทั้งภูเขานี้ ภายใต้ม่านหมอกเหล่านี้มีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ มีแม้แต่กระทั่งปีศาจที่อาศัยอยู่ภายใน
สัตว์อสูรและปีศาจระดับที่หนึ่ง วนเวียนอยู่เขตรอบนอก เพื่อดูดซับความแข็งแกร่งของเหล่าจอมยุทธ์พลังลมปราณ
เพียงแค่เข้าไปใกล้จุดศูนย์กลางเพียงเล็กน้อย สัตว์อสูรและปีศาจระดับที่สองก็จะโผล่ออกมา พวกมันอยู่ในระดับเดียวกับจอมยุทธ์ขอบเขตก่อกำเนิด
สัตว์อสูรอันดับสูงสุดขั้นที่สอง สามารถกำจัดจอมยุทธ์ขอบเขตก่อกำเนิดได้อย่างง่ายดาย สำหรับอสูรชั้นสอง แม้แต่กระทั่งจอมยุทธ์ขอบเขตก่อกำเนิดระดับที่เก้า จะตกตายเก้าจากสิบคน ถ้าได้ปะทะกับพวกมัน
เป็นธรรมดาที่หลี่ฟูเฉินย่อมไม่อยากสละชีวิตของตัวเอง เขาจึงวางแผนฝึกซ้อมตามขอบรอบนอก เนื่องจากสัตว์อสูรขั้นที่หนึ่งไม่น่ากลัวขนาดถึงกับเอาชีวิตไปได้
ตามเส้นทางรกร้าง หลี่ฟูเฉินก้าวไปอย่างรวดเร็ว
หลี่ฟู่เฉินเดินทางอย่างรีบเร่งตลอดทาง เพื่อที่จะได้มีโอกาสฝึกฝนวิชาเตะสะท้านฟ้า มันเป็นการฆ่านกสองตัวด้วยหินเพียงก้อนเดียว
สองชั่วโมงผ่านไป หลี่ฟู่เฉินก็มาถึงเขตรอบนอกของเทือกเขาม่านหมอก
“เทือกเขาม่านหมอกเป็นดั่งที่ข้าคิดไว้ เพียงแค่เผชิญหน้าบรรยากาศที่ดุร้ายนี้ ความหวาดกลัวก็เกิดขึ้น”
หลี่ฟูเฉินท่องอยู่ในดินแดนที่อันตรายนี้ เขารู้สึกได้ว่าว่าเส้นผมของเขาตั้งชันขึ้น
ฟิ้ววว!
มีบางสิ่งพุ่งทะยานมาจากใต้ต้นไม้ มันเป็นเงาผอมบางสีเขียว มันเข้ามาใกล้หลี่ฟูเฉิน
ในช่วงจังหวะสำคัญนี้ หลี่ฟูเฉินตอบโต้กลับไปราวกับสายฟ้าฟาด เขาเอื้อมมือออกไปและกำเงาสีเขียวนั้น
เงานั้นเป็นงูสีเขียว มันสั่นกระตุกอย่างรุนแรง เนื่องจากหลี่ฟูเฉินกำมันแน่น
“สัตว์ปีศาจชั้นต่ำระดับหนึ่ง งูลายเขียว ความแข็งแกร่งของมันไม่สามารถเทียบกับจอมยุทธ์ขอบเขตก่อกำเนิดได้แต่พิษของมันอาจทำให้ถึงตาย สำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นที่หกหรือแม้ขั้นที่เจ็ดของขอบเขตพลังลมปราณ”
“เทือกเขาม่านหมอกเต็มไปด้วยสิ่งลวงตามากกว่าที่ข้าคิด…”
หลี่ฟู่เฉินใคร่ครวญกับตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะดวงจิตวิญญาณที่พัฒนาแล้วของเขา เขาก็คงจะไม่สามารถจับงูลายเขียวได้ มันจะทำให้เขาตายด้วยพิษที่ร้ายแรงของมัน
หลี่ฟูเฉินก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เขาเปิดใช้งานประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขา ควบคู่กับการจับสัมผัสจากพลังลมปราณที่แผ่ออกไปให้ได้ไกลที่สุด แม้กระทั่งใบหญ้าขยับ เขาก็สามารถรับรู้ถึงมันได้
“หืมม? นี่มัน สมุนไพร!”
หลี่ฟู่เฉินเดินไปตามสายตา ไม่ไกลจากเนินเขา มันมีดอกไม้เล็กๆ เป็นสมุนไพรชั้นต่ำขั้นเหลืองอยู่ ชื่อ : ดอกน้ำค้างอัญมณี มีมูลค่าสองพันเหรียญทอง
เหรียญทองสองพันเหรียญไม่ใช่มูลค่าที่เล็กน้อย หนึ่งเหรียญทองมีค่าเท่ากับสิบเหรียญเงิน หรือหนึ่งพันเหรียญทองแดง รายได้โดยปกติของครอบครัวธรรมดาๆ ในเมืองหยุ่นวู่ อยู่ที่ประมาณสิบเหรียญทองต่อปี แม้ว่าหลี่ฟู่เฉินจะเป็นบุตรชายของผู้นำตะกูล แต่ค่าใช้จ่ายรายเดือนของเขาได้เพียงแค่สิบเหรียญทองเท่านั้น เขาเข้าไปดูดอกน้ำค้างอัญมณี และวางมันไว้ในกล่องหยกขนาดใหญ่ ราคาของกล่องหยกนี้มีราคาประมาณสิบเหรียญทอง เพื่อที่จะสามารถเก็บรักษาพลังงานลมปราณของสมุนไพรให้คงอยู่ได้
***
เวลาผ่านไป หลี่ฟู่เฉินก็เดินตีนเขา
ฟุบ!
หลี่ฟู่เฉินกระแทกพื้นด้วยเท้าของเขา โดยใช้ต้นไม้เป็นที่เหยียบ เพียงพริบตาเดียว เขาก็หยุดอยู่ที่กิ่งไม้ ยอดสุดของต้นไม้ใหญ่ มองไปที่พื้นแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลตรงหน้า
ขณะที่หลี่ฟู่เฉินอยู่บนต้นไม้ใหญ่ พุ่มไม้ข้างหน้าก็สั่นไหว มันคือสัตว์ปีศาจที่ดุร้าย
สัตว์ปีศาจตัวนี้มีสีเหลืองปนน้ำตาล สูงประมาณ2.5เมตรรวมทั้งหางของมัน เมื่อดูคู่กับดวงตาแสนเลือดเย็นนั้น มันช่างดูน่าสะพรึงกลัว
มันคือสัตว์ปีศาจระดับหนึ่ง จิ้งจอกกระดูกเหล็ก ระดับของมันเกือบเทียบเท่าขั้นที่ห้าของขอบเขตพลังลมปราณ ด้วยความแข็งแกร่งของกระะดูกมัน เมื่อโจมตีจึงไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในมันได้ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับนักสู้ขอบเขตพลังลมปราณระดับหกหรือเจ็ดที่จะฆ่ามัน
“มันเป็นจิ้งจอกกระดูกเหล็กจริงๆ!”
หลี่ฟูเฉินขมวดคิ้ว เนื่องจากจิ้งจอกกระดูกเหล็ก เป็นคู่ศัตรูที่ยากจะต่อกร เขาจะไม่เผชิญหน้ากับมัน นอกเสียจากจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของเขา
แต่พวกจิ้งจอกกระดูกเหล็ก เห็นตัวตนของหลี่ฟู่เฉินแล้ว และมันก็จ้องมองมาที่เขา แม้แต่กระทั่งใบไม้ก็ไม่สามารถขวางสายตามัน
มันปล่อยเสียงร้องคล้ายเด็กทารก จิ้งจอกกระดูกเหล็ก พุ่งตัวดั่งลูกศรไปยังต้นไม้ที่หลี่ฟู่เฉินยืนอยู่
ปั๊ง!
ต้นไม้สั่นสะเทือน ใบไม้แตกกระจายไปทั่ว ดูแล้วราวกับว่าต้นไม้กำลังร่ายร่ำอยู่ หลี่ฟู่เฉินเสียสมดุลและตกจากต้นไม้ด้วยแรงสั่นสะเทือน
“อั๊ก บ้าเอ่ย!”
หลี่ฟู่เฉินไม่ได้คาดคิดว่า ความดุร้ายของจิ้งจอกกระดูกเหล็ก จะทำให้การป้องกันตัวของเขาลดลง ด้วยการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว เขาเหยียดมือจับกิ่งไม้ และเหวี่ยงตัวจากอีกกิ่งนึงไปอีกกิ่งนึง
ด้วยเสียงของลมที่คล้ายกับโดนฉีกกระชาก จิ้งจอกพุ่งผ่านทะลุอากาศมาหาหลี่ฟูเฉิน
มือข้างหนึ่งของหลี่ฟู่เฉินเกาะอยู่ที่กิ่งไม้ และอีกข้างตกอยู่ที่ดาบเหล็ก หลี่ฟู่เฉินฟันลงไปยังใบหน้าของจิ้งจอก
เสียงร้องแหลมสูงถูกส่งมาให้ได้ยิน การฟันครั้งนี้ทิ้งบาดแผลไว้บนหน้าของสุนัขจิ้งจอก แต่ก็ไม่ได้ทำให้กระดูกที่เป็นเหล็กของมันบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว แต่ด้วยการฟันครั้งนี้ มันได้ทำลายการโจมตีที่จิ้งจอกพุ่งเข้ามา
หลี่ฟู่เฉินเกาะกิ่งไม้ และยืนขึ้นไปบนนั้นอีกครั้ง คราวนี้ เขาเกาะกิ่งไม้แน่น เพื่อไม่ให้ถูกเขย่าจนตกลงมาอีกครั้ง(แกเป็นลิงเหรอะ!!)
ปั๊งง!
ปั๊ง ปั๊ง!
จิ้งจอกกระแทกต้นไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า หลี่ฟู่เฉินได้ยินเสียงของกิ่งก้านที่กำลังแตกหัก แค่โจมตีอีกเพียงไม่กี่ครั้ง ต้นไม้นี้ก็จะล้มลงทันที
"ข้าจะจัดการเจ้า! ทักษะดาบของข้าไม่ได้มีไว้เพื่อแสดง”
หลี่ฟูเฉินกัดฟันแน่น เขาดิ่งลงจากต้นไม้ และแทงไปที่สัตว์ร้ายนั้นกลางอากาศ
แต่จิ้งจอกคล่องแคล่วว่องไว มันต้านดาบด้วยกรงเล็บของมัน จากนั้นมันก็พุ่งเข้าหาหลี่ฟู่เฉินอีกครั้ง
“เจ้ามันก็เป็นเพียงแค่สุนัขจิ้งจอก..”
หลี่ฟูเฉินเข้ามายังเขตภายใน ทุกการเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรตนนั้น กระจ่างแจ้งในสายตาเขา เขาหลบหลีกสัตว์ร้ายอย่างง่ายดาย และแทงมันไปที่ระหว่างซี่โครง
ดาบที่ถูกฝังเข้าไปในบาดแผลของมัน ทำให้เลือดสดๆไหลซึมออกมา
แต่หลี่ฟู่เฉินประเมินจิ้งจอกที่ร้ายกาจนี้ต่ำไป แม้กระทั่งหลังจากได้รับการโจมตีอย่างหนัก มันก็ยังคงพยายามต่อสู้และโจมตีหลี่ฟูเฉินต่อไป
ฉึบบ!
ดาบพุ่งทะลุลำคอของจิ้งจอก และเป็นดั่งลูกบอลที่สูญเสียอากาศ มันล้มลงไปในชั่วพริบตา และดับสูญไปในทันที
หลังจากจัดการจิ้งจอกกระดูกเหล็กได้แล้ว หลี่ฟู่เฉินยืนนิ่ง และดูไร้อารมณ์ สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาของเขา
ประการแรก เขายังมีความกลัวอยู่บ้าง เมื่อต้องต่อสู้กับสุนัขจิ้งจอก และเขาก็ประเมินกำลังของตนเองมากเกินไป
ประการที่สอง ประสบการณ์การต่อสู้จริงของเขามันยังไม่เพียงพอ
สำหรับจุดอ่อนแรก หลี่ฟู่เฉินรู้สึกว่ามันไม่ใช่จุดอ่อนที่แท้จริง ก็เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับสัตว์อสูรที่ดุร้ายเช่นนี้ ด้วยการเผชิญครั้งนี้ เขาจะไม่ตอบสนองดั่งเช่นเดิมในครั้งต่อไป
สำหรับจุดอ่อนที่สอง เขาไม่สามารถแก้ไขได้ทันที และต้องการการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาทักษะการต่อสู้ของเขา
ฟูวว..!
หลี่ฟู่เฉินปลดปล่อยความเครียดทั้งหมดออกมา ดวงตาของเขาฉายแววความกระตือรือร้นที่จะต่อสู้
หากเครื่องรางทองคำเปลี่ยนชะตากรรมของเขา การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาเข้าใจความหมายของการสละหนึ่งชีวิตเพื่อฆ่าหนึ่งศัตรู ไม่ว่าศัตรูหน้าไหน ตราบใดที่เขายังมีใจที่จะต่อสู้ เขาก็จะมีวิถีทางที่จะเอาชนะเสมอ
----------------------