ตอนที่ 205 แข็งแกร่งจนฝืนลิขิตสวรรค์
‘ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริงๆ!’ หลิงฮันพยักหน้าไปมา ‘จากที่กล่าวเอาไว้ในทักษะนี้ ผู้ใช้ทักษะต้องสร้างใบดาบสามพันเล่มด้วยหนึ่งการโจมตี ถึงจะเรียกว่าบรรลุแก่นแท้ของทักษะ’
หนึ่งการโจมตีของข้าสามารถสร้างใบดาบได้เพียงไม่กี่สิบเล่ม ซึ่งหมายถึงข้าบรรลุเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของทักษะ... ใบดาบหนึ่งเล่มเทียบได้กับพลังโจมตีสุดกำลังของข้า ต่อให้เป็นข้าที่ยืนรับการโจมตีจากทักษะนี้ หากไม่เปลี่ยนทองคำก่อเกิดผลาญโลหิตให้กลายเป็นโล่ ข้าก็ไม่สามารถสลายการโจมตีนี้ได้
ด้วยทักษะนี้ ตราบใดที่ข้าทะลวงผ่านไปยังระดับก่อเกิดธาตุ ข้าจะสามารถจัดการเฟิงหยางได้ภายในพริบตา
อย่างไรก็ตาม หมอนั่นคงจะมีไพ่ลับบางอย่างซ่อนเอาไว้ การจะสังหารมันคงไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งกว่านั้น ทักษะดาบนี้ยังเผาผลาญปราณก่อเกิดมากเกินไป หนึ่งการโจมตีของทักษะเทียบเท่ากับการปล่อยพลังเต็มที่ออกไปหลายสิบครั้ง หากไม่ใช่เพราะว่าพื้นที่ในตันเถียนของข้าขยายใหญ่ขึ้นร้อยเท่า ข้าคงไม่สามารถใช้ทักษะนี้ได้
จักรพรรดิดาบช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก! เมื่อวัยเยาว์หมอนั่นจะต้องกินเม็ดยาเสริมมิติเข้าไปเหมือนกันแน่ๆ ไม่เช่นนั้นต่อให้เขาอยู่ในระดับก่อเกิดธาตุ เขาก็ไม่สามารถฝืนใช้ปราณก่อเกิดเพื่อปล่อยทักษะนี้ได้
เมื่อลองคิดให้ดี ในชีวิตที่แล้วของข้า นอกจากจักรพรรดิดาบแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เองก็สามารถควบคุมเปลวเพลิงอันไร้ขีดจำกัดได้ นางจะต้องผสานเข้ากับจิตวิญญาณเปลวเพลิงเป็นแน่ และอาจจะมากกว่าหนึ่งจิตวิญญาณด้วย ส่วนจักรพรรดิกระบี่ตะวันนั้นได้รับกระบี่ที่สร้างขึ้นจากทองคำก่อเกิดผลาญโลหิต และมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวไม่แพ้กัน นอกจากนั้นยังมี หม่าเว่ยหยาง ซื่อเชวี่ยเซียน และน่าหลันทูอยู่อีก ทั้งสามเองก็ไม่ใช่ตัวตนธรรมดาและครอบครองอาวุธลับประจำกาย คนที่มีพลังต่อสู้อ่อนแอที่สุดคือตัวข้า
พวกเขาทุกคนจะต้องมาจากเบื้องหลังอันทรงพลังมากแน่ๆ เพราะงั้นพวกเขาถึงได้บรรลุระดับสวรรค์ได้ด้วยอายุเพียงเท่านั้น ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่พึ่งพาผลลัพธ์จากเม็ดยาที่หลอมขึ้นมาเองและสามารถบรรลุระดับสวรรค์ได้ ถึงแม้ข้าจะเริ่มบ่มเพาะพลังหลังพวกเขาข้าก็สามารถขึ้นนำพวกเขาได้... ดูจากเบื้องหลังของพวกเขาแล้ว โลกใบนี้มีความลึกลับมากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก
ช่างมันเถอะ อย่างไรมันก็ผ่านมาแล้วตั้งหนึ่งหมื่น ตอนนี้ผู้คนเหล่าคนคงกลายเป็นเศษฝุ่นไปแล้ว จะคิดมากไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา
หลิงฮันฟื้นฟูปราณก่อเกิดและเริ่มฝึกฝนทักษะสามดาบเร้นลับกระบวนท่าที่สอง ‘หมื่นแปรผันเป็นหนึ่ง’
นี่คือกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด และจำเป็นต้องใช้เวลาสักพักในการรวบรวมพลังเพื่อปลดปล่อยทักษะออกมา มันเป็นกระบวนท่าที่เหมือนกับว่าผู้ใช้จะรวบรวมพลังที่จะใช้โจมตีหนึ่งหมื่นครั้งให้รวมเป็นการโจมตีครั้งเดียว
หลังจากหลิงฮันได้รับทักษะสามดาบเร้นลับมาในชีวิตที่แล้ว เขาเพียงแค่มองมันผ่านๆเพราะไม่ได้สนใจที่จะฝึกฝนมัน แต่พอตอนนี้เขาเริ่มฝึกฝนมันแล้ว เขาอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
นี่คือทักษะยุทธระดับดำจริงๆรึ?
หนึ่งกระบวนท่าสามารถสร้างปลดปล่อยการโจมตีสุดกำลังสามพันครั้งออกไปด้วยการโจมตีเดียว ในขณะที่อีกกระบวนท่าจะรวบรวมพลังที่จะใช้โจมตีหนึ่งหมื่นครั้งให้โจมตีออกไปภายในดาบเดียว อำนาจของสองกระบวนท่านี้ทรงพลังเกินไป ไม่ต้องพูดถึงทักษะยุทธระดับปฐพี แม้แต่ทักษะยุทธระดับสวรรค์ก็ไม่ทรงพลังขนาดนี้!
เป็นไปได้อย่างไร!
เขาเคยเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้ถึงอำนาจของทักษะยุทธระดับปฐพีและสวรรค์ดี และสามารถบอกได้เลยว่าพลังของสามกระบวนท่าของดาบเร้นลับจะต้องไม่ได้จัดอยู่ในทักษะยุทธระดับดำแน่นอน
เมื่อหลิงฮันนึกกลับไป ไม่แปลกใจเลยที่ตอนที่จักรพรรดิดาบมอบทักษะนี้ให้เขา จักรพรรดิดาบจะทำหน้าตาน่าเกลียดราวกับบิดามารดาของมันเสียชีวิต เขาเคยคิดว่าจักรพรรดิดาบจะไม่สนใจทักษะระดับดำเพราะอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งขนาดนั้นแล้ว และไม่เคยคิดด้วยว่าสามกระบวนท่าของดาบเร้นลับจะน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้
งั้น... หากเป็นกระบวนท่าที่สามล่ะ?
หลิงฮันไม่ฝึกฝนหมื่นแปรผันเป็นหนึ่งต่อแต่พยายามวิเคราะห์กระบวนท่าที่สามแทน และกลายเป็นตกตะลึง
กระบวนท่าสามมีชื่อว่าสลายเขตแดน และปริมาณของปราณก่อเกิดที่ต้องใช้กระบวนท่านี้ออกมานั้นมหาศาลราวกับมหาสมุทร
จากการคำนวณของเขา แม้ว่าเขาจะทะลวงผ่านไปยังระดับห้วงจิตวิญญาณก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามชั่วโมงในการปลดปล่อยกระบวนท่าที่สามนี้
นี่ต้องไม่ใช่กระบวนท่าที่ใช้ต่อสู้กับศัตรูในสนามรบแน่นอน
ภาพบางอย่างปรากฏขึ้นในหัวของหลิงฮัน มันเป็นภาพที่จอมยุทธที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งกำลังหันหน้าไปทางม่านพลังป้องกันขนาดใหญ่ จอมยุทธคนนั้นชูดาบขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วยาม จอมยุทธคนนั้นสะบั้นดาบลงมาจนเกิดเป็นคลื่นดาบที่ส่องสว่างไปทั่วบริเวณและม่านพลังขนาดใหญ่นั่นได้ถูกทำลายลง
ใช่แล้ว สลายเขตแดนเป็นกระบวนท่าที่ใช้ทำลายม่านพลัง ต่อหน้าการโจมตีที่ทรงพลังนี้ แม้แต่ม่านพลังขนาดใหญ่ก็ยังสามารถทำลายทิ้งได้แถมยังสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตที่ซ่อนอยู่ในม่านพลังนั่นไปพร้อมๆกันด้วย
ทักษะดาบนี้ไม่สามารถวัดได้ด้วยระดับทักษะที่มีอยู่อีกต่อไป
หลิงฮันใช้มือเท้าคางและมีสีหน้าล่องลอย
ในชีวิตที่แล้ว เขาไม่เคยต่อสู้กับจอมยุทธระดับสวรรค์อีกหกคน เพราะเขารู้ดีว่าระดับพลังบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นมาจากการกินเม็ดยา พลังต่อสู้ของเขาอ่อนแอที่สุดในหมู่คนเหล่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะไปแส่หาความอัปยศให้กับตนเอง อย่างไรก็ตาม ทั้งหกคนนั้นได้ต่อสู้กันอยู่บ่อยครั้งเพื่อตัดสินว่าใครแข็งแกร่งที่สุด
ถึงแม้น่าหลันทู ซื่อเชวี่ยเซียน และหม่าเว่ยหยางจะอยู่สามอันดับล่างเสมอ แต่พวกเขาก็ยังสามารถแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับจักรพรรดิดาบแล้วไม่ตายและไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใดๆ ตอนนี้เมื่อเขาลองคิดถึงผู้คนนั้นเหล่านั้น...
ทั้งหกคนเป็นสัตว์ประหลาดแบบใดกัน!?
‘จากเศษเสี้ยวความทรงจำของทองคำก่อเกิดผลาญโลหิต จะให้ได้ถึงยุคทองของศาสตร์วรยุทธ และหลังจากการตายของข้าหลายสิบปีหรือไม่ก็หลายร้อยปี ดินแดนแห่งนี้ได้มีจอมยุทธสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นนับร้อย นี่หมายถึงข้ายังไม่เข้าใจถึงโลกนี้อย่างถ่องแท้’
‘ยิ่งกว่านั้นยังมีสมบัติศักดิ์สิทธิอย่างหอคอยทมิฬ และรากฐานวิญญาณของฮูหนิวอีก...น่าสนใจ! น่าสนใจยิ่งนัก!’
หลิงฮันยืนขึ้นและเริ่มฝึกฝนหมื่นแปรผันเป็นหนึ่งอีกครั้ง นี่คือทักษะอันทรงพลังที่ใช้ต่อกรกับศัตรูหนึ่งคน ถ้าเขามีเวลาพอให้สะสมพลังเพื่อใช้กระบวนท่านี้ ไม่ว่าเฟิงหยางจะมีไพ่ลับแบบใด เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยการโจมตีเดียว
กระบวนท่านี้เผาผลาญปราณก่อเกิดมากเกินไป หลังจากฝึกฝนไปสักพัก หลิงฮันก็นั่งลงกินเม็ดมาและดูดซับพลังวิญญาณเพื่อเติมเต็มปราณก่อเกิดของเขา
‘จักรพรรดิดาบ... แม้เจ้าจะตายไปนานแล้ว แต่ถ้านิกายของเจ้ายังอยู่ ข้าก็รู้สึกสนใจที่จะไปเยี่ยมเยือนสักครา นิกายดาบสวรรค์เป็นนิกายแบบใดกันที่ถึงครอบครองทักษะยุทธที่น่าสะพรึ่งกลัวเช่นนี้?’
หลิงฮันฝึกฝนสักพักก็ต้องหยุดพักแล้วก็เริ่มฝึกฝนอีกครั้ง ในไม่ช้าหนึ่งวันก็ผ่านไป
หลิงฮันยังคงเพ่งสมาธิใช้ความพยายามทั้งหมดไปกับเพิ่มพลังบ่มเพาะให้สูงขึ้น มีเพียงตอนที่เขาทะลวงผ่านไปยังระดับก่อเกิดธาตุเท่านั้นถึงจะสามารถรู้ความลับของหอคอยทมิฬได้
การจะทะลวงผ่านไประดับก่อเกิดธาตุ เขาต้องใช้เวลาประมาณครึ่งเดือน
ใช่แล้ว ถึงแม้เขาจะเหลือเมล็ดก่อเกิดธาตุมหึมาอยู่เพียงเมล็ดเดียว แต่เวลาที่ใช้ในการเสริมแกร่งให้กับเมล็ดก่อเกิดเม็ดเดียวนี้มากกว่าแต่ก่อนถึงสามเท่า
ในวันถัดมา หลิวอู๋ตงมาหาเขาอีกครั้ง
“ข้าจะบอกข่าวดีให้! ตอนนี้เฟิงหยางเดินทางออกไปจากสำนักแล้ว ดูเหมือนเขาจะไปตามหาโอสถบางอย่างเพื่อทำให้แขนของเฟิงหลัวกลับมาใช้งานได้ดีเหมือนเดิม” นางพูด
หลิงฮันประหลาดใจ เฟิงหลัวเกิดมาในปีของแมลงสาปหรืออย่างไร?
ในอดีต เขาได้ทุบตีมันจนสูญเสียฟันทั้งปากไป แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็กลับมาทำท่าทีอวดเบ่งอีกรอบ
และไม่นานมานี้เขากระทั่งตัดแขนของมันทิ้ง แต่เฟิงหลัวก็ยังมีโอกาสในการฟื้นฟูแขนของมัน
บัดซบ
“ตอนนี้แขนของมันกลับมาติดเหมือนเดิมแล้ว?”
“อืม แขนของมันกลับมาติดเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ใช้ได้ไม่คล่อง มันไม่สามารถออกแรงที่แขนได้ เพราะงั้นเฟิงหยางจึงได้ออกไปตามหาโอสถที่จะช่วยฟื้นฟูแขนของมัน” หลิวอู๋ตงพูด
ช่างเป็นพี่ชายที่น่านับถือยิ่งนัก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น และฮูหนิวรีบวิ่งไปเพื่อเปิดประตูดู นางเดินกลับมาพร้อมกับชายผู้หนึ่ง เขาคือชูหวู่จิว
“ข้าทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุเมื่อเจ็ดวันก่อน และเติมเต็มสัญญาที่ให้ไว้กับท่านแล้ว อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในตอนนี้ข้าคงไม่สามารถเป็นผู้ติดตามของท่านได้แล้ว ข้าคงต้องตอบแทนท่านในชีวิตหน้า!” ชูหวู่จิวพูด
“ทำไมรึ?” หลิงฮันถาม
“ข้าเรียกหนานกงจื้อออกมาเพื่อท้าประลอง และลงมือทำให้ตันเถียนของมันพิการ ทางสำนักคงจะมาจับตัวข้า ต่อให้ข้าไม่ถูกสั่งตายพลังบ่มเพาะของข้าก็คงถูกทำลาย” ชูหวู่จิวพูดพูดอย่างสงบ ใบหน้าของเขาไม่มีร่องรอยความหวาดกลัวหรือเสียใจแม้แต่น้อย