บทที่ 121 - ทุกคนรวมพลังเป็นหนึ่ง (5) [อ่านฟรีวันที่ 14/02/2562]
บทที่ 121 - ทุกคนรวมพลังเป็นหนึ่ง (5)
การพบกันกับคังมิเรย์ทีหลังและการพูดคุยกันนั้นราบรื่นเป็นอย่างมากต่างไปจากการพูดคุยกับคนแก่หลงผิดห่อนหน้านี้
ยูอิลฮานได้เล่าสั้นๆถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาอยู่พักหนึ่ง และคังมิเรย์ก็ยังได้บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสามเดือนที่เขาไม่อยู่ ดังนั้นก็เลยไม่ได้มีเรื่องอะไรที่คุยกันมากนัก
สถานที่นัดหมายก็คือชั้นที่ 14 ของแวนการ์ดที่ซึ่งไม่มีใครเข้ามาหรือจะออกไปได้หากว่าไม่ได้รับอนุญาติ โชคดีที่การนัดเจอกันในวันนี้ยังมีอยู่ในระหว่างสองคนไม่มีการมากวนใจจากนายูนา เมื่อไม่มีการกวนจากรอยข้าวงและความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็เป็นคู่การค้ากันทั้งนั้นทำให้พวกเขาข้ามเรื่องการทักทายตามปกติและพูดเข้าประเด็นทันที
"คุณบอกว่ากองทัพปีศาจแห่งการทำลาย"
"เธอน่าจะเคยได้ยินเรื่องของกลุ่มที่อยู่ในระดับสูงเหนือกว่าเราจากผู้พิทักษ์จากนายูนาใช่ไหม?"
"ถ้าเป็นเรื่องนั้นก็ในระดับหนึ่ง... ถ้าแบบนี้จำนวนสิ่งที่ฉันจะต้องคิดก็จะมีเพิ่มขึ้น แม้อย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่ฉันไม่เคยได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงโดยตรง... ฟู่"
ในตอนที่คังมิเรย์ถอนหายใจออกมาก็ทำให้ยูอิลฮานได้แต่หัวเราะ นี่ดูเหมือนว่าคังมิเรย์จะสบายใจขึ้นมาจนพอที่จะถอนหายใจต่อหน้าเขาแล้ว เธอก็ยังรู้ตัวและเปลื่ยนสีหน้าไปในทันที
"ขอโทษนะ ยกโทษให้ฉันด้วย"
"ไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่ว่าใครก็ต้องถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินแบบนี้"
"ฮ่าห์ ฟู่"
"มิล ระวังไว้ด้วย การถอนหายใจออกมาของนายอาจจะทำให้เกิดพายุได้เลยนะ"
ยูมิลก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาอยู่ในอ้อมแขนของยูอิลฮาน
คังมิเรย์ได้มองดูยูมิลอยู่คู่หนึ่งจากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ก่อนที่จะสั่นหัวและเปลื่ยนเรื่อง
"ถึงแม้ว่าฉันจะไม่อาจจะบอกได้ว่าที่โลกไม่มีอะไรเกิดขึ้น... แต่ว่าอย่างน้อยมันก็ไม่น่าจะมีอะไรที่คุณยูอิลฮานจะต้องตกใจ มีสองสามประเทศเล็กๆที่ล่มสลายลงไป ผืนดินกลายเป็นทะเล นี่มันไม่ได้มีอะไรที่ที่จะต้องเครียดจนเกินไป ถ้าหากว่าคุณต้องการวัสดุ-"
"ให้ฉัน!"
"ให้ผม!"
นี่มันน่าตกใจมากจริงๆ! และยูมิลก็น่าจะแก้นิสัยชอบทำตามพ่อของเขาด้วย
"เราไม่อาจจะให้ความสนใจกับทุกๆเรื่องได้เนื่องจากมีมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมามากเกินไป แม้ว่ามันจะโชคดีที่ไม่ได้มีมอนสเตอร์อะไรที่แข็งแกร่งกว่าตัวที่อยู่ในเหตุการณ์ที่คันโตอีก แต่ว่าจำนวนของพวกมันที่โผล่่ออกมาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก"
"ดูเหมือนว่าเพราะแบบนี้ทำให้ผู้คนได้รับความแข็งแกร่งมา รวมไปถึงเธอด้วยคังมิเรย์"
"พี่สาวแข็งแกร่ง!แข็งแกร่งแล้วก็ใจดี!"
คังมิเรย์ก็รู้สึกภูมิใจอยู่พักหนึ่งเมื่อได้ยินคำชมของยูอิลฮานและคำยกย่างจากยูมิล ก่อนที่เธอจะกลับไปสลดอีกครั้งหนึ่ง มีเพียงแค่ยูอิลฮานเท่านั้นที่จะทำให้เธอรู้สึกซับซ้อนแบบนี้ได้บนโลกนี้ จากความคิดที่นี้ของเธอที่เธอรู้ตัวทำให้เธอได้เปลื่ยนเรื่องไปอีกครั้ง
"ต่อไปก็คือเรื่องที่ดินที่พ่อของฉันพูดออกไป ส่วนใหญ่ได้ถูกจัดการไว้แล้ว แต่ว่าฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะจัดการมันได้เร็วเหมือนกับตอนที่เราแลกเปลื่ยนตึกกัน มีคนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้"
"ไม่ต้องรีบก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร"
"ขอบคุณที่คุณเข้าใจนะ ถ้างั้นก่อนอื่นเลยฉันจะส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปให้เร็วที่สุดทันทีที่ฉันรวบรวมมันเสร็จ..."
คังมิเรย์ได้เงียบลงไป ในตอนนี้เธอได้พูดทุกอย่างที่ตองการจะพูดไปหมดแล้ว ยูอิลฮานก็ยังได้พูดเรื่องแวนการ์ดแล้วด้วย บทสนาได้สิ้นสุดลงไปแล้ว
ยังไงก็ตามทำไมเธอถึงได้รู้สึกวาเขาโดดเดี่ยวแม้ว่าเขาจะอายุวัยรุ่นเท่าๆกับเธอกันนะ?
โอ้ใช่แล้ว เธอคิดว่ามีบางอย่างที่จะต้องพูด เธอได้เลียริมฝีปากก่อนที่จะพูดออกมา
"เรื่องที่พ่อของฉันพูดคุณไม่จำเป็นต้องไปสนใจก็ได้นะ หลังจากที่พ่อได้เห็นถึงความพิเศษของคุณพ่อดูจะโลกไปนิดนะ"
"ผมไม่ว่าอะไรหรอก ผมกลับเป็นกังวลมากกว่าที่จะรู้สึกแย่นะคุณคังมิเรย์"
"ฉัน...."
คังมิเรย์คิดที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจไม่ทำ เมื่อคิดถึงใบหน้าที่น่ารำคาญของพ่อเธอ เธอก็กลัวว่าสิ่งที่เธอพูดไปมันจะมีความหมายแปลกๆอยู่
เธอได้จัดการกับอะไรในหัวก่อนที่จะเปิดปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
"ฉันก็ม่ได้อะไรหรอกนะ ไม่ว่าพ่อจะเล่นตลก...หรือล้อยังไง ฉันก็ชินกับมันแล้ว"
"...เธอก็คงมีช่วงเวลาที่ลำบากสินะ"
"พี่สาว พี่เจ็บตรงไหนไหมครับ ผมจะช่วยเอง?
ภาพของยูมิลที่ถามออกมาด้วยแววตาเป็นห่วงนี่มันน่ารักจริงๆเลยทำให้คังมิเรย์ยื่นมือของเขาไปลูบหัวของยูมิลถึงแม้ว่ายูอิลฮษนจะมองดูอยู่ก็ตาม
"พี่ไม่ได้เจ็บหรอกนะ แต่ว่าขอบคุณที่เป็นห่วงนะจ๊ะ"
"พี่สาวใจดี ผมหิวแล้ว"
นี่คืออภิสิทธิ์ของเด็กที่ถึงแม้ว่าคำพูดที่พูดออกมาจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่พูดก่อนหน้านี้เลยก็ยังคงน่ารัก ยูอิลฮานได้หัวเราะออกมาและยกยูมิลขึ้น
"โอเค ตอนนี้พ่อก็คุยเสร็จแล้วไปกินข้าวกับดีกว่า ผมคงต้องขอตัวเพราะลูกผมหิวแล้ว"
"ดะ เดี๋ยวก่อน"
ตอนนี้คังมิเรย์ได้ตะโกนออกมาทำให้ทั้งยูอิลฮานกับยูมิลเบิกตากว้างในขณะที่หันกลับมา ยังไงก็ตามคนที่ตกใจที่สุดก็คงจะเป็นคังมิเรย์เอง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงหยุดเขาเอาไว้
ในตอนนี้เธอเผลอให้เขาหยุดลงไปแล้ว เธอต้องพูดบางอย่างออกไป ยังไงก็ตามแค่เมื่อเธอกำลังคิดจะพูดอะไรออกมาใบหน้าของนายูนาก็โผล่ขึ้นมาและเธอก็พูดขึ้นโดยอัตโนมัติ
"ฉันคิดว่าพวกเราต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีในฐานะเพื่อนร่วมงานกัน เพื่อนร่วมงานที่ต่อสู้กับมอนสเตอร์ด้วยกัน นับจากที่เริ่มหายนะครั้งใช่มามันก็มากกว่าครึ่งปีไปแล้ว"
"ใช่แล้ว... ผมก็คิดแบบนั้น"
ยูอิลฮานไม่อาจจะเข้าใจได้ว่าเธอจพพูดเรื่องอะไร แต่ว่าคำพูดของเธอก็ดูสมเหตุสมผล
มีหลายสถานการณ์มากที่พวกเขาได้เจอกันและเขาก็ได้ร่วมปาร์ตี้เป็นครั้งแรกในชีวิตกับเธอและกระทั่งค้าขายหลายๆอย่างกับตระกูลของเธอ ดังนั้นในจุดๆนี้มันไม่ต่างไปจากพันธมิตรกันแล้ว
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้คังมิเรย์ยืนยันเลย ในจุดนี้พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานกันนานแล้ว
จริงสิ? นี่ฉันคิดว่านี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอเรียกแบบนี้สินะ? - นี่คือความคิดของยูอิลฮาน
ยังไงก็ตามคำพูดของคังมิเรย์ก็แค่เพิ่งเริ่มเท่านั้น
"ยังไงก็ตาม ถ้า... พวกเราคุยกันเป็นทางการเกินไป ฉันคิดว่ามันอาจจะอึดอัดนิดๆนะ"
"พูดคุย เธอหมายถึง...."
เธอได้พูดต่อออกมาอย่างรื่นไหลราวกับรอคอยอยู่แล้ว
"ถ้าเราคุยกันด้วยนามสกุลฉันรู้สึกว่าเราจะดูห่างเหินกัน มันคงจะมีอีกหลายโอกาสที่เราจะได้ต่อสู้กันอีกในอนาคต และเพราะแบบนี้ฉันคิดว่าน่าจะเปลื่ยนเป็นคำที่สนิทกันกว่านี้ ในฐานะเพื่อนร่วมงนกันนี่เป็นสิ่งที่น่าจะดีไม่ใช่หรอ? แถมมันยังง่ายที่จะสื่อสารกันในตอนต่อสู้ด้วยครับ"
ในที่สุดยูอิลฮานก็เข้าใจแล้ว งั้นเธอจะสื่อว่าพวกเขาควรจะเรียกกันโดยที่ไม่มีนามสกุลงั้นหรอ? ถึงแม้ว่าตั้งแต่ที่พวกเขาเจอกันจะไม่ถึงปีก็ตาม! นี่สินะคือวิธีการสื่อสารที่น่ากลัวของพวกคนแวดวงสังคม!
ยังไงก็ตามพูดตามตรงแล้วเขาก็รู้สึกดี ไม่สิ รู้สึกมีความสุขเลย นอกเหนือจากครอบครัวกับเลียร่าแล้วไม่เคยมีใครเรียกเข้าโดยไม่มีนามสกุลเลย
'เพื่อนร่วมงาน คำนี้ฉันไม่เคยได้ใช้มาก่อนเลย'
จะมีใครในโลกนี่ที่เป็นคนโดดเดี่ยวเพราะอยากจะเป็นกันล่ะ? แน่นอนมันก็จะมีในบางช่วงที่บางคนก็อย่างจะอยู่คนเดียวเพราะความวุ่นวายของคนรอบๆตัว แต่ว่าก็ไม่มีใครอยากจะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตแน่ๆ
ยูอิลฮานแล้วค่อนข้างจะเป็นคนที่ค่อนข้างพิเศษเพราะเขาได้ใช้ชีวิตเพียงลำพังมาตลอดทั้งชีวิตเขา นี่อาจจะคาดเดาได้ไม่ยากว่ายูอิลฮานค่อนข้างจะพิเศษ
ยังไงก็ตามมาจนกระทั่งวันนี้แล้ว ได้มีคนตรงหน้านี้ที่คิดว่ายูอิลฮานเป็นเพื่อนร่วมงาน
การมีอยู่ของคนที่ประทับใจในตัวเขา นี่มันทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งจริงๆ
แน่นอนว่าในฐานะของคนที่โดดเดี่ยวมาทั้งชีวิต หากว่ามีคนแปลกหน้าหรือคนที่เขาไม่ชอบมาเรียกเขาโดยไม่มีนามสกุลเขาก็คงไม่ยอมแน่ แต่ว่าในด้านของคังมิเรย์ไม่ใช่คนจำพวกสองอย่างนั่น
"นั่นก็ดี ถ้างั้น... ผมก็ควรจะเรียกเธอว่าคุณมิเรย์นับจากนี้ใช่ไหม?"
"ใช่แล้วคุณอิลฮาน ในอนาคตก็ฝากตัวด้วยนะ"
สีหน้าของคังมิเรย์ได้สดใสขึ้นมาในขณะที่ตอบกลับยูอิลฮานไป
ยูอิลฮานได้จับมือของเธอและยิ้มออกมาอย่างสุภาพบุรุษ นี่คือรอยยิ้มที่มาจากก้นบึ้งหัวใจของเขา
"คุณมิเรย์ได้ให้หลายๆใหม่ๆกับผมมาตลอดเวลา ผมขอบคุณจริงๆ"
เมื่อได้ยินแบบนี้ หัวใจของคังมิเรย์ก็ได้เต้นเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
การจู่โจมเฉียบพลันของยูอิลฮาน! สมแล้วที่แล้วที่เป็นยมทูตต่อให้ไม่มีการปกปิดตัวตนอยู่ก็ตาม แต่ปัญหาก็คือคนที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นไม่ได้รู้ตัวเลย
"นั่นฉันก็เหมือนกัน แล้ว อ่า ใช่ แล้ว ฉันก็ยังได้เรียนรู้อะไรตั้งหลายอยางจากคุณอิลฮาน"
เพราะการโจมตีที่คาดไม่ถึงของยูอิลฮานได้ทำให้เธอตอบกลับติดอ่างไปเล็กน้อยและเข้าไปในลิฟต์โดยที่ไม่หันหลังกลับมาอีก ยังไงก็ตามยูอิลฮานที่รู้สึกพอใจที่มีเพื่อนมาเรียกแค่ชื่อของเขาแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรเรื่องนั้นแล้ว
"เอาล่ะงั้นไปกินข้าวกัน"
"พี่สาวคนนั่นสวยจัง"
"เทียบกับเลียร่าแล้วใครสวยกว่ากกันหรอ?"
"พี่สาวเลียร่า!"
ในขณะเดียวกันที่พ่อกับลูกคุยกันในห้อง คังมิเรย์ที่อยู่ในลิฟต์ที่กำลังไปชั้นหนึ่งก็ได้พึมพัมเบาๆในขณะที่กำหมัดอยู่ที่หน้าอก
"ฉันทำได้ก่อนแล้ว นี่ไม่มีปัญหา"
จากนั้นเธอก็หน้าแดงขึ้นเพราะการคิดถึงคำพูดของยูอิลฮานก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ส่ายหัวขึ้นอีกครั้ง
"การค้า นี่คือการค้ากับคนอื่่นเท่านั้น... อารมณ์เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดเท่านั้น 'อารมณ์' ที่ฉันมีก็แค่ความชื่นชม และความรักเป็นเพียงความเข้าใจผิดของฉัน... จังหวะการเต้นของหัวใจนี่ก็แค่เพราะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติเท่านั้น"
เธอได้แต่พูดกับตัวเองเพื่อที่จะแก้ไขอารมณ์ของเธอ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
นับจากนั้นก็ผ่านไปอีกสี่วัน ยูมิลได้เพิ่มเลเวลไปจนถึง 65 ในระหว่างเวลานี้ และเอลฟ์ก็ได้ยกระดับสกิลการชำแหละไปจนถึงเลเวล 65 นอกไปจากนี้ ฟีเรียก็เพิ่งจะผ่านไปถึงเลเวล 76 แล้วทำให้เธอพร้อมแล้วสำหรับการชำแหละคลาส 4 ที่เหลืออยู่
"ในที่สุดก็จบแล้ว"
"มันจบแล้วจริงๆหรอ?"
"อ่า ท่านจักรพรรดิน่าทึ่งจริงๆ ในตอนนี้ฉันได้รู้แจ้งในการชำแหละแล้ว ฉันไม่มีอะไรจะต้องกลัว"
"จิลนายยังไม่ได้รู้แจ้งอะไรเลยเลยสักหน่อย"
ใต้ที่ทำงาน ยูอิลฮานได้ยืนยันแล้วว่าไม่มีศพมอนสเตอร์เหลืออีกในกระเป๋าของเขาหลังจากที่ทำการค้นทั่วช่องเก็บของ
แน่นอนว่าที่ใช้เวลานานนั่นก็เพราะการชำแหละหมาป่าคลาส 4 เขาได้รับร่างพวกมันมา 6 ร่าง แต่ว่ามีหินพลังเวทย์อยู่แค่ก้อนเดีวเท่านั้น ยังไงก็ตามโอกาสการได้ของมันก็ยังมากกว่ามังกรอยู่ดร
ยังมีศพเหลืออยู่ในช่องเก็บของอีกหนึ่งศพ แต่ว่านั่นคือแม่ของยูมิล เลอซิสน่า ยูอิลฮานได้วางแผนไว้ว่าจะทำพิธีศพเธอหลังจากยูมิลโตขึ้นอีกนิด
"พวกนายทำได้ดีมาก"
"ไม่เลยครับท่านจักรพรรดิ ถ้าท่านจะให้งานเรามากกว่า เราก็ยินดี-"
"ไม่เป็นไร ก่อนอื่นไปพักสักนิดเถอะ ฉันกำลังจะเปิดบาเรียในทันทีที่ฉันพร้อม"
"ครับ!"
ยูอิลฮานได้เก็บเนื้อมังกรกับเนื้อหมาป่าลงไปในถังที่เต็มไปด้วยเลือดของมังกรคลาส 3 จากการที่เขาเริ่มเบื่อกับเนื้อมังกร ทำให้ตอนนี้เขาพยายามจะทำให้มันหลากหลายขึ้น
เขาไม่ได้มั่นใจว่ามันจะสำเร็จ แต่ว่ามันจะต้องเป็นช่วงเวลาที่ดี ยูอิลฮานมั่นใจว่าสูตรอาหารของเขาจะเพิ่มขึ้นถ้าเขาพยายามเปลื่ยนเลือด และเปลื่ยนเนื้อ รวมไปถึงรวมทั้งสองอย่างด้วยกัน
"นี่มันดูน่าอร่อย"
ยูมิลที่อยู่ในอ้อมแขนของเลียร่าได้กลืนน้ำลายในขณะมองไปที่ถัง พวกยูอิลฮานไม่ได้บอกกับเขาว่าในถังนั่นคือมังกร ดังนั้นยูอิลฮานจึงไม่ได้คิดที่จะเอาเนื้ออะไรออกมาในระหว่างสองเดือน เผ่ามังกรสินะ... พวกมันน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
"ถ้าสูตรของพ่อคงที่แล้ว งั้นพ่อจะให้เนื้อลูกจนกว่าลูกจะท้องแตกเลย"
"เย้!"
[นี่เป็นที่ทำงานที่วุ่นวายจริงๆ อย่างน้อยคุณก็จะไม่เอาถังนี่ออกไปใช่ไหม?] (สเปียร่า)
"ไม่ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว"
ยูอิลฮานได้ปฏฺิเสธในคำขอของสเปียร่าในขระที่ดันถังที่เต็มไปด้วยเลือดกับเนื้อไปเก็บไว้ข้างๆ และหยิบเอาชิ้นเหล็กล่ำค่าออกมาจากอีกมุมหนึ่ง
นี่คือไอเทมที่จะใช้เป็นเครื่องมือฝึกหอกสะบั้นจักรวาล สเปียร่าเป็นกังวลเรื่องที่ที่จะเอาหยดโลหะนี่มาวางและกระทั่งรบกวนในตารางเวลา
[นายจะต้องฝึกหอกเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชม.] (สเปียร่า)
"ฉันเข้าใจ"
ต่อมา เขาได้จัดการขัดเครื่องมือตีเหล็กของเขารวมไปถึงทั่งและค้อน จากนั้นก็หยิบเอาหินพลังเวทย์คลาส 2 จำนวนหนึ่งวางรอบๆเพื่อให้มีพลังมากขึ้น ต่อจากนั้นเขาก็ได้ยืนยันถึงข้อมูลชนิดของอุปกรณ์ที่จะทำในบาเรียด้วยการอ่านดูที่หน้าเพจของแวนการณ์และในที่สุดการเตรียมการก็เสร็จสิ้น
"นี่มันโอเคแล้วสินะ ฉันไม่ได้พลาดอะไรไปนะ?"
[เดี๋ยวนะยูอิลฮาน มีใครบางคนพยายามจะเข้ามาที่นี่] (เอิลต้า)
เอิลต้าได้บอกออกมา แต่มันไม่มีใครที่จะเข้ามาในที่ทำงานได้ดินนี่ได้ตามใจนี่? ยูอิลฮานได้ตอบกลับไป
"เธอก็แค่ต้องไล่พวกนั้นออกไป"
[แต่ว่า... พวกนั้นถูกระบุในฐานะพันธมิตรนะ] (เอิลต้า)
ในระหว่างที่ทั้งมนุษย์กับทูตสวรรค์กำลังสงสัยอยู่นี้ ประตูก็ได้ถูกเปิดและมีคนเข้ามา
ผมหยิกยาวสีดำและหูหมาป่าที่กระดิกอยู่ รูปร่างสง่างามที่ตัดกับใบหน้าของวัยรุ่น ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเอริเซีย
"นายท่าน ฉันได้กลับมาหลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ฉันจะตามรับใช้งานท่านในอนาคต"
เธอได้เข้ามาในเวลาที่สมบูรณ์ราวกับว่าเธอคาดเอาไว้แล้วว่าพวกเขากำลังจะใช้งานบาเรีย! เธอคนนี้มีสกิลการพยากรณ์งั้นหรอ?
ยูอิลฮานได้ขมวดคิ้วทันทีที่คิดในเรื่องไร้สาระนี่ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็หัวเเราะออกมา
"โอเค นี่ก็ไม่ได้แย่"
"อะไรหรอคะ?"
เอริเซียได้แต่งงกับยูอิลฮาน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจเธอเลย เขาได้เปิดใช้งานนาฬิกาทรายทันที
อีกไม่นานเธอก็จะได้เข้าใจมันด้วยตัวเธอเอง