บทที่ 120 - ทุกคนรวมพลังเป็นหนึ่ง (4) [อ่านฟรีวันที่ 12/02/2562]
บทที่ 120 - ทุกคนรวมพลังเป็นหนึ่ง (4)
"คุณคังชาน"
"คุณยูอิลฮาน"
ในขณะที่จับมือกับชายตรงหน้า ยูอิลฮานก็ยังคงสับสนกับตัวเองอยู่ว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่
ชายคนที่แนะนำตัวกับเขาก็คือพ่อของคังมิเรย์ คังชาน คังฮาจินที่นั่งอยู่ข้างๆเขาก็มีสีหน้าที่บ่งบอกว่าเขาขอโทษกับเรื่องนี้ แต่ว่าคังฮาจินก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าทำไมยูอิลฮานถึงรู้สึกไม่สบายใจ
"ผมได้ยินเรื่องของคุณมาเยอะเลยนะ"
"อ่า ครับ"
ได้ยินเรื่องอะไร? - ยูอิลฮานได้ถามออกมาทางสายตาด้วยการมองไปที่เธออยู่ด้านข้าง
ใช่แล้ว เพราะอะไรบางอย่างคังมิเรย์ได้มานั่งอยู่ข้างๆเขา เธออยู่ในท่าทางที่เรียบร้อยอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เธอดูจะอึดอัดมากๆและดูเหมือนกับว่าที่นี่มันไม่สบายใจกับเธอมากๆ
เขาไม่เคยมีความทรงจำของชายตรงหน้าเลย จากสิ่งที่คังมิเรย์ทำมามันก็จะไม่น่าแปลกใจเลยหากพ่อของเธอเป็นประธานาธิบดี แต่ว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบันเป็นผู้หญิงดังนั้นคงไม่ใช่ เขาเลยคิดว่าชายตรงหน้าอาจจะเป็นผู้นำของบริษัทใหญ่ภายในเกาหลีหรือไม่ก็ตัวแทนอะไรซักอย่างเป็นอยากน้อย แต่ว่าทั้งหมดมันกลับไม่ใช่แบบนั้น
"มีอะไรติดอยู่บนหน้าฉันหรอ?"
"ไม่ครับ เนื่องจากคุณเป็นพ่อของคังมิเรย์ผมก็เคยคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนที่ผมน่าจะเคยเห็นจากทีวีมาก่อนแต่ว่ามันน่าตกใจที่ผมจำไม่ได้เลย"
ด้วยความคิดเห็นตรงๆของยูอิลฮานนี้เองทำให้คังชายต้องยิ้มแห้งๆตอบกลับมา
"คุณยูอิลฮาน ผู้คนที่มีทรัพย์สินและอำนาจจริงๆจะไม่แสดงตัวออกมาภายนอกกันหรอกนะ เมื่อพวกเราทำแบบนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องน่าลำคาญที่จะถูกแมลงวันตามตอมไปหมดนะ"
นี่มันฟังดูจริงและเกี่ยวกันจริงๆ คังชานก็ได้เสริมขึ้นมาอีกเมื่อยูอิลฮานได้จำเรื่องนี้ในใจเอาไว้
"แน่นอนว่าในทุกวันนี้มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรแล้ว อย่างที่เรารู้กันตอนนี้คุณค่าต่างๆมันได้เปลื่ยนไปแล้ว น่าเสียดายนักที่ผมมีพรสวรรค์ที่น้อยนิดนัก แต่ว่าก็ยังโชคดีที่ลูกๆของผมมีมัน นี่มันเป็นสิ่งที่ผมในฐานะพ่อภูมิใจเลยล่ะ"
ลักษณ์ของอำนาจได้ต่างออกไปแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ได้ชัดเจนนักแต่ว่ามันจะชัดเจนขึ้นในสักวันที่เปลื่ยนไป แค่ดูจากยูอิลฮานในตอนที่เขาเผยตัวออกมาก็มีหลายอย่างเข้ามาแล้ว
"นี่มันเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการกระทำของคุณยูอิลฮานถึงน่าประทับใจ ถึงแม้ว่าคุณจะได้รับความสนใจมากกว่าใครในโลกนี้ คุณก็ยังไม่เคยแสดงตัวตนจริงๆออกมาเลย"
แน่นอนว่าที่ทั้งหมดนี่มันเป็นไปได้ก็เพราะ...สกิลการปกปิดตัวตนของเขา ครู่หนึ่งยูอิลฮานได้คิดว่านี่มันเป็นการดูถูกเขา แต่ว่าจากสีหน้าของคังชานแล้วมันดูจะไม่ใช่แบบนั้น
เพราะแบบนี้เขาก็เลยหยักไหล่ออกมาและชี้ไปที่คังมิเรย์ เขาหมายความว่าเขาได้แสดงตัวเองกับเธอแล้ว คังชานก็เข้าใจถึงบางอย่างและถามออกมาด้วยรอยยิ้มสุภาพ
"ผมได้แต่ขอบคุณเรื่องนี้ แล้วคุณชอบอะไรในตัวมิเรย์งั้นหรอ?"
"เธอเป็นคนดีและซื่อตรง มันยังจะมีเหตุผลอะไรอีกให้เชื่อใจคนอีกหรอ?"
แล้วก็เพราะตัวเธอีพลังของอำนาจทำให้เธอได้ให้ความช่วยเหลือในหลายๆด้าน ยังไงก็ตามมันก็ยังมีอีกหลายคนที่เข้าเกณฑ์นี้มากกว่าเธอ ดังนั้นยูอิฮานจึงเลือกพูดในสิ่งอื่นที่มีแค่ตัวเธอที่มีเท่านั้น รอยยิ้มของคังชานได้มากยิ่งขึ้น
"นี่มันทำให้ผมดีใจนะที่คุณชอบในตัวลูกสาวผม"
"อ่า ครับ แล้ว..."
มันไม่ใช่ว่าเขาชอบเธอ แต่ว่าเขาก็ไม่โง่พอจะพูดมันออกมาดังๆ ในระหว่างการคุยกันของสองคนนี้ จิตใจของคังมิเรย์ได้พังลงในขณะที่มือทั้งสองข้างของเธอได้ปิดใบหน้าแน่นและคังฮาจินก็กำลังระเบิดหัวเราะออกมา แต่แล้วเขาก็ห้ามตัวเองไว้เมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเจอหลังจากนี้หากขำออกไป
"ผมได้รับการอนุเคราะห์จากคุณไม่ว่าจะเป็นทั้งการได้รับสิทธิในการได้อาวุธระดับสูงของแวนการ์ดแล้วก็... โอ้ ผมได้ยินว่าคุณมีกระทั่งคนที่ปรับแต่งมันขึ้นมาด้วย"
"นั่นก็เพราะว่าเธอเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ของมนุษย์ที่ผมได้เจอในตอนนั้น แม้ว่าตอนนี้มันจะยังไม่เปลื่ยนไปก็ตาม"
มีเพียงแค่สุดยอดแท็งอย่างมิเชล สมิธสัน หรือทาคากาคิ อสุฮะที่มีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดที่แข็งแกร่ง หรือคาริน่า มาลาเทสต้าที่แสดงการโจมตีระยะไกลจากการรวมกันของพลังเวทย์เท่าน้้นที่จะเทียบกับคังมิเรย์ได้
ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็ยังมั่นใจว่าคังมิเรย์เป็นอันดับหนึ่งในด้านความชำนาญสกิล โอ้ยกเว้นตัวยูอิลฮานเองคนหนึ่ง
"แล้วก็เพราะผมได้ตัดสินใจว่าเธอจะพัฒนาได้เร็วขึ้นถ้ามีอาวุธที่เหมาะสม มันไม่ได้เกิดจากความรู้สึกส่วนตัวแต่เป็นศักยภาพที่เธอได้แสดงออกมาให้เห็น"
"ผมเข้าใจ"
คังชานได้หยักหน้าเหมือนกับเขาพอใจมากยิ่งขึ้น การที่ยูอิลฮานเสริมคำพูดช่วงท้ายที่ไม่มีประโยชน์อะไรออกมาก็แค่เพื่อไม่ให้คังชานเข้าใจผิดแต่ว่า...
"ผมก็ยังเป็นกำลังใจกับแวนการ์ดด้วย ในความคิดผมแล้วแวนการ์ดก็เป็นกุญแกสำคัญในการนำพามนุษยชาติให้รอดพ้นจากหายนะ"
"คุณยอผมแล้ว"
"ฮ่าๆ คุณค่าของแวนการ์ดจะยิ่งเพื่มขึ้นอีกในอนาคต ผมรับประกันเลย แน่นอนว่าสำหรับเรื่องนั้นคุณยูอิลฮานจำเป็นจะต้องมีชีวิตรอดต่อไปอย่างดี"
ตัวตาของเขาได้ส่องประกายออกมา
"ต่อให้คุณไม่ต้องการแต่คุณยูอิลฮานในตอนนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางในการป้องกันโลกไปแล้ว คุณ่าจะรู้ถึงคุณค่าของตัวเองดีที่สุดและระวังตัว ตัวของคุณในตอนนี้เพียงลำพังก็มีพลังที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่าประเทศต่างๆไปแล้ว เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลังเถอะ ผมก็ไม่อยากจะโม้อะไรนะ แต่ว่าผมน่าจะมีประสบการณ์มากกว่าในฐานะของผู้เชี่ยวชาญที่เคยเดินในเส้นทางแบบนี้มาก่อน"
"อ่า หรอครับ"
จู่ๆเรื่องราวก็ออกทะเลไปแล้ว
เขาบอกให้ยูอิลฮานระวังตัวงั้นหรอ? นี่มันน่าทึ่งจริงๆ
ระวังตัวบ้าอะไรล่ะ ถ้ายูอิลฮานระวังตัวในการกระทำของเขาล่ะก็เขาคงจะไม่มายืนในจุดนี้แน่ ไม่สิ โลกก็คงไม่ยืนยาวมาจนถึงตอนนี้เพราะหายนะและจบสิ้นไปแล้ว
คนๆนี้ไม่ได้รู้อะไรเลย เขากระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่รู้อะไร นี่มันทำให้สถานการณ์แย่ลง
คิดๆดูแล้วสิ่งที่คนๆนี้พูดมันบ้ามา มันดูเหมือนว่าชายคนนี้จะคิดว่าอำนาจเก่าของเขาและอำนาจของผู้ใช้พลังมันเหมือนกัน
มันก็เหมือนอย่างที่เขาซ่อนตัวและไม่ปรากฏตัวออกมา เขาก็คิดว่ายูอิลฮานก็ควรจะยังซ่อนตัวและไม่ปรากฏตัวด้วย
นี่มันไม่ใช่ว่าคนๆนี้เป็นไอ้โง่ของแท้เลยหรอ?
ถ้าหากเขายังคิดแบบนี้อยู่ ถ้างั้นมันก็คงมีสักวันที่เขาจะต้องปะทะกับลูกสาวของเขาครั้งใหญ่ซะเอง
ยูอิลฮานภูมิใจกับตัวเขาเองที่ไม่เหงื่อไหลออกมาจากสถานการณ์นี้ ในผลลัพธ์นี้เขาอยากจะออกไปจากที่นี่และกลับบ้านไปซะเดี๋ยวนี้เลย เขามาที่นี่เพราะเห็นแก่หน้าคังมิเรย์แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี่...
"โอ้แล้วก็นะ ผมได้ยินมาว่าคุณได้ควบคุมกลุ่มมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนขนาดใหญ่"
"อ่า...ครับ"
หือ? ดูชายคนนี้สิ? พูดจบได้ค่อนข้างดีเลยนี่
ยูอิลฮานรู้สึกเหมือนกับถูกค้อนใหญ่ดีเมื่อได้ยินว่า 'ดันเจี้ยนขนาดใหญ่' ทั้งๆที่คนๆนี้ควรจะได้ยินคำว่าโลกที่ถูกทิ้งไปแล้ว
'พังหมดแล้ว คนๆนี้ไปใช้เวลาต่างโลกมาสิบปีแล้วเขากลับไร้เดียงสากว่าฉันที่ถูกทิ้งไว้ซะอีก ไม่สิ บางทีเขาอาจจะไม่เข้าใจในสถานการณ์ของโลกบ้าๆนี่เลยก็เพราะที่ต่างโลกที่เขาไปมันไม่ได้มีอะไรที่เกิดการเปลื่ยนแปลงมากนัก'
พวกคนที่คาบบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดก็เป็นกันแบบนี้ พวกเขารู้จักแต่ห่วงในของของตัวเองและไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเพื่อให้ส่วนรวมเดินไปข้างหน้า
แล้วที่เขาพูดตอนนั้นว่าไงนะ? คนที่มีทรัพย์สินและอำนาจที่แท้จริงจะไม่เผยตัวออกมางั้นหรอ? ถ้างั้นเขาก็น่าจะรู้ตัวแล้วนี่ คำพูดนั่นของเขาได้ทำให้คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องโกรธแค้นแน่
'ใจเย็นก่อนๆ ยางทีมันอาจจะเป็นความคิดของฉันคนเดียวและมันไม่ใช่ว่าทุกๆคนจะคิดเหมือนกับคนๆนี้ คังฮาจินกับคังมิเรย์ก็เป็นคนที่เชื่อถือได้เหมือนกัน เยี่ยม ใจ เย็น...'
ในขณะที่ยูอิลฮานพยายามสงบใจลงไป คังชานก็พูดต่อมา
"แล้วผมก็คิดที่จะให้ของขวัญเล็กๆกับคุณ..."
"ของขวัญ?"
"ที่ดินเป็นไงล่ะ?"
เครื่องหมายคำถามได้โผล่ขึ้นมาบนหัวของยูอิลฮาน การเปลื่ยนเรื่องมันก็มีขีดจำกัดนนะ ที่ดินอะไรล่ะ?... เขาคิดอยู่พีกหนึ่งและเมื่อนึกได้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
"คุณำลังหมายถึงที่ดินที่ถูกกวาดล้างไปจากการต่อสู้ในครั้งนั้น?"
"ถูกแล้ว"
คังชานได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่บอกว่า 'นายปฏิเสธไม่ได้แน่'
"ผมพูดตรงๆเลยคือคุณค่าของที่ดินนี่กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว คุณก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มีวิธีใดที่จะทำให้เกตหายไปได้สมบูรณ์ แต่ว่าด้วยกองทัพขนาดใหญ่ของมอนสเตอร์ที่ออกมาในระหว่างเหตุการณ์นี้.... แม้ว่าพวกนั้นจะเป็นลูกน้องของท่านยูอิลฮานแล้ว แต่ความจริงที่มีเกตอยู่ตรงนั้นก็เป็นองค์ประกอบที่ทำให้คนที่นั่นไม่สบายใจอยู่ดี คุณคิดงั้นไหมล่ะ"
"ก็น่าจะแบบนั้น"
"ยังไงก็ตามหากเราบอกออกไปว่าที่ดินนั่นมีท่านยูอิลฮานเป็นเจ้าของ ถ้างั้นท่านยูอิลฮานก็จะสามารถเรียกกองกำลังออกมาจากเกตได้ตลอดเวลาและมันจะอิสระยิ่งขึ้น และผู้คนจะรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย ยังไงก็ตามมันไม่ได้มีแค่ปัญหาเดียว มีผู้คนที่เรียกคุณว่า 'ซูซาโนะ' และพวกนั่นอาจจะ..."
คังชานได้ย่นหน้าของเขาแล้ว โอ้ งี้นี่เอง เขาไม่ชอบชื่อนี่ ส่วนนี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นสายเลือดเกาหลีคลั่งชาติ
ยูอิลฮานเข้าใจในความรู้สึกนี ยังไงก็ตามเขาก็ไม่ได้เกลียดในชื่อเล่นซูซาโนะมากนัก และนั่นมันก็เพราะว่ามันน่าอายน้อยกว่าฉายาอื่นๆที่เขาได้รับมาจนถึงตอนนี้
"มีคนมากมายที่ต้องการจะยืนยันในตัวตนของคุณและอาจจะรบกวนคุณ แน่นอนว่าพวกเราจะพยายามอย่างดีที่สุดในการตัดความสัมพันธ์สองอย่างนั่น แต่ในโลกนี้มันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ 100%"
"นี่ก็จริง มันอาจจะมีคนมากมายคาดเดาว่าซูซาโนะคือคนเกาหลีเมื่อก่อนหน้านี้ และถ้าหากว่าผมกลายเป็นเจ้าของที่ดินใกล้ๆเกต..."
ยูอิลฮานได้คิดในขณะหยักหน้าออกมา แต่ว่าเขาก็คิดไม่นานนัก
"ถ้าคุณให้ที่ดินนั่น ผมก็ยินดีจะรับมัน"
"คุณจะไม่มีปัญหาอะไรนะ?"
"ไม่มีหรอก ผมคิดว่าตอนนี้มันไม่เป็นอะไรแล้ว"
คังชานได้จบลงด้วยการหัวเราะกับคำพูดนี้ เขาสามารถจะรู้สึกได้เลยถึงความมั่นใจที่ออกมาจากคำพูดของยูอิลฮานอย่างเป็นธรรมชาติ
คังชานคิดว่านี่มันคือความทะเยอทะยานของวัยรุ่น แต่ว่าถ้าเข้าได้รู้ความจริงว่ายูอิลฮานเป็นคนที่ประเมินตัวเองต่ำเป็นปกติแล้วล่ะก็เขาจะต้องคิดต่างไปแน่
ยูอิลฮานได้คิดว่ามันก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะเผยตัวตนของเขาออกไปต่อให้เขาจะประเมินพลังของตัวเอง 'ต่ำ' อยู่ก็ตาม
"ดีจริงๆ ผมจะให้ลูกสาวของผมจัดการเรื่องนี้นะ ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้คราวหลังนะ"
"ครับ การที่คุณทำแบบนั้นมันก็สะดวกสบายกับผมด้วย"
แม้ว่าทัศนคติของยูอิลฮานจะซื่อตรง แต่คังชานก็เพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างสดใส และคังฮาจินก็ได้พยายามอย่างมากเพื่อหยุดการหัวเราะของเขาจนตัวงอ ท้ายสุดคังมิเรย์ที่มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างยูอิลฮานกับพ่อของเธอออกเล็กน้อยก็ถอนหายใจออกมาเล็กๆ
"ยังไงก็ตาม..."
ในตอนที่ทุกคนคิดว่ามันจบแล้ว จู่ๆคังชานก็เปลื่ยนเรื่องต่อ
"ผมได้ยินว่าคุณพาเด็กไปที่ต่อสู้ด้วย"
ในตอนนี้เองสายตาของคังมิเรย์ได้ขยับเหล่มามองยูอิลฮานเล็กๆ เธอไม่ได้รู้ถึงการกระทำนี้ของตัวเองเลย และเธอก็คิดถึงสิ่งที่นายูนาสงสัยในตัวเด็กนั่น
"โอ้ ใช่ครับ"
"คือมัน... จะเป็นอะไรไหมที่ผมจะขอถามเรื่องเด็กคนนั้น?"
"เขาเป็นมอนสเตอร์น่ะ"
ยูอิลฮานไม่อาจจะบอกได้ว่า 'มังกร' แต่ยังไงมังกรก็เป็นมอนสเตอร์นี่ เขาไม่ได้โกหกอะไร
"โอ้ว"
"ฟู่"
คำตอบของยูอิลฮานได้ทำให้ใครบางคนได้สูดหายใทันทีและมีอีกคนที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก คังชานได้ได้หยักหน้ารับ
"อย่างที่คิดเลย ผมก็คิดแบบนั้นในตอนที่คุณได้รับกองทัพหมาป่ามาง่ายๆ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆซะด้วย"
"เขาเป็นเด็กที่ติดตามผมมาในฐานะพ่อของเขา และนั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดด้วยเนื่องจากว่าเขาได้กลืนกินมานาของผมลงไปในการกำเนิดของเขา"
สกิล 'ฉันไม่เคยโกหก' ยูอิลฮานได้ประสบความสำเร็จในการหลอกลวงคนอื่นแล้ว
"ยังไงก็ตาม นั่นคือมอนสเตอร์ของคุณที่สร้างมาจากการกินมานาของคุณใช่ไหม?"
"ใช่แล้วครับ คุณก็น่าจะได้ยินว่าเขาใช้เวทย์ที่แข็งแกร่งออกมาได้ในรูปร่างเด็ก ผมคาดหวังหลายอย่างเลยจากการพัฒนาที่รวดเร็วจากตัวเขา"
"เป็นงั้นนี่เอง"
คังชานได้ยิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง มองดูแล้วเหมือนเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับยกความไม่สบายใจออกไป ยูอิลฮานได้รู้ตัวสิ่งที่เขากังวลไปก็ไม่ได้ผิด
ชายคนนี้กำลังเป็น 'พ่อสื่อ' ให้เขากับคังมิเรย์งั้นสินะ? มันไม่มีทางที่คังมิเรย์จะชอบเขา และตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับคังมิเรย์ที่มากไปกว่าความ 'ประทับใจ' เลยด้วย
คังมิเรย์ก็น่าจะแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ได้ดี ยูอิลฮานได้ตัดสินใจไม่สนใจความกังวลที่ไร้ประโยชน์นี้
บังเอิญที่ว่าคังชานก็ดูจะตัดสินใจแล้วว่าคุยมาพอแล้ว
"โอ้ ผมทำคุณเสียเวลามากแล้ว คุณจะต้องมีเรื่องยุ่งอีกมากแน่"
"ไม่เป็นไร ถ้างั้นผมก็ขอตัวนะ"
"มันเป็นเกียรติมากที่ได้มาพบกับฮีโร่ของประเทศเขา ในอนาคตได้โปรดช่วยดูแลลูกสาวของผมด้วยนะครับ"
"อ่า ครับ..."
ยูอิลฮานได้จับมือกับชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกซังกะตายและยืนขึ้นมา ในตอนที่เขามองไปหาคังมิเรย์เธอก็มองเขาอยู่แล้ว เขาได้หยักหน้าเกๆให้เธอ ในวันนี้เขาก็จะต้องเจอกับเธอด้วย เขาได้นัดกับเธอไว้ในตอนเย็นเนื่องจากว่ายังมีหลายๆอย่างที่ต้องคุยกันรวมถึงเรื่องแวนการ์ดด้วย
"ถ้างั้นไว้เจอกันตอนเย็นนะ"
"โอเค"
คังมิเรย์ได้ก้มหัวให้เขาอย่างสุภาพ ยังไงก็ตามแก้มของเธอได้แดงขึ้นเล็กๆ ทุกๆคนที่รู้จักจักรพรรดินีดีจะต้องตกใจกับฉากๆนี้
ยูอิลฮานได้ออกไปจากห้องแล้ว ในห้องเหลือเมียงคังชาน คังฮาจินและคังมิเรย์
"พรืด"
"ผมขอโทษนะพ่อ ผมก็แค่....พรืดดดด"
"พี่นี่หยาบคายมาก"
คังมิเรย์ได้พูดออกมากับพี่ชายของเขา ในขณะเดียวกันเธอก็มองไปที่เขาด้วยจิตสังหารที่คังชานไม่มีวันรู้
คังฮาจินได้เริ่มสะอึกออกมาเมื่อเห็นจิตสังหารนี้ คังชานแค่หัวเราะออกมาและพูดกับคังมิเรย์ด้วยเสียงที่เบาสงบ
"จับเขาอย่าให้หลุดมือล่ะ"
แม้แต่เด็กประถมก็ยังเข้าใจได้ถึงคำพูดนี้
"พ่อ หนูก็พูดมาก่อนแล้วนี่ว่าหนูไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับคุณยูอิลฮานเลย มันจะหยาบคายนะถ้าเราไปฝืนคิดเองเออเองน่ะ และก็หนูเพียงจะอายุ 20 เองนะ"
"สิ่งที่พ่อบอกคือ จับเขาเอาไว้ก่อนที่จะมีผู้หญิงคนอื่นเอาตัวเขาไป"
ใบหน้าของคังมิรเย์ได้แดงขึ้นมาเป็นอย่างมาก เธอได้ตะโกนออกมาดังอย่างมากจนถึงจุดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากของคนที่เมื่อครู่นั่งสงบอยู่เงียบๆ
"ต่อให้หนูพัฒนาความสัมพันธ์ไปในทางที่ดีกับคุณยูอิลฮาน พ่อก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่หนูทำหรือการกระทำของหนู"
ตัวเธอยังคงเหมือนในอดีต เธอได้วางแผนที่จะรับตัวยูอิลฮานมาเป็นพรรคพวกในตอนที่เธอยกระดับคุณค่าของเธอไปได้เทียบเท่าเขา
แม้ว่าคุณค่าของยูอิลฮานในตอนนี้จะสูงเทียมฟ้า แต่เธอก็ไม่คิดจะยอมแพ้ เธอคิดว่าตอนนี้ยังไม่มีชายคนไหนในโลกที่อยู่ในระดับเดียวกันกับยูอิลฮานแล้วด้วย
และก็คนที่เจอและยอมรับในคุณค่าของเขาเป็นคนแรกก็ไม่ใช่คังชาน แต่เป็นตัวคังมิเรย์เอง คังมิเรย์ไม่อาจจะทนได้เลยที่คังชายพูดเหมือนกับว่าเขารู้ในคุณค่าของยูอิลฮานมากกว่าตัวเธอเอง
คังชานไม่ได้เจอกับยูอิลฮานตั้งแต่เริ่มแรกเลย ไม่เคยเห็นในตอนที่เขาล่าเสือดาวดำ ไม่เคยเห็นการโจมตีที่สวยงามจากฟากฟ้าในวันนั้นที่ฆ่าโอโรจิลง และไม่เคยเห็นเสน่ห์ที่ปกครองเหล่าหมาป่า
"พ่อก็แค่แนะนำลูกสาวของพ่อไม่ให้ต้องเสียรักแรกไปเท่านั้นเอง"
เพราะการโจมตีที่คาดไม่ถึงนี่เธอของพ่อเธอได้ทำให้คังมิเรย์ตื่นตระหนกไป คังมิเรย์ได้พูดติดอ่างออกมาซึงดูไม่เหมือนกับตัวเธอเลย
"อะ... ไร... ตอนนี้พ่อกลับมาพูดเรื่องความรู้สึกที่ไร้ค่าอย่างความรัก"
"ลูกคิดว่าลูกจะซ่อนความรู้สึกแบบนั้นได้งั้นหรอ? พ่อก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากที่จะกลั้นหัวเราะเหมือนกันนะ ลูกดูจะยิ้มแย้มถูกใจเขามากเลยนะ ลูกหลงรักเขานานแค่ไหนแล้วล่ะ?"
"ไม่มีทาง หนู.... ถ้าหนูรู้สึกแบบนั้นกับเขามันก็แค่ความชื่นชม! ทุกการกระทำของเขาทำเพื่อคนอื่นไม่ใช่ตัวเองเสมอ และเขาก็แข็งแกร่งกว่าใครๆ เขาเป็นคนที่หาได้ยากที่มีทั้งจิตใจและพลัง หนูก็แค่คิดว่าหนูได้เรียนรู้จากเขา...."
"โอเคๆ"
คังชานได้ขัดการแก้ตัวของคังมิเรย์แทนที่จะไปแย้งเธอต่อ
"พ่อว่าพ่อพูดมาพอแล้ว ตอนนี้มันก็ไม่ใช่ปัญหาของพ่อแล้วต่อให้ลูกต้องเสียใจเพราะเขาถูกนายูนาแย่งไปก็ตาม"
"ใครกันจะไปเสียใจ..."
เธอได้พยายามที่จะไม่สนใจในคำพูดงี่เง่าของพ่อเธอ แต่ว่าใบหน้าของเธอก็ต้องแข็งทื่อไป นายูนาสวยอย่างแน่นอนและเธอก็มีความรู้สึกแบบนั้นกับยูอิลฮานด้วย
แน่นอนว่าเธอไม่เคยรู้เลยว่าศัตรูที่แท้จริงของเธอไม่ใช่แค่นายูนา
ถ้าหากว่ายูอิลฮานปรากฏตัวพร้อมกับนายูนาในอ้อมแขน ถ้างั้นเธอจะรู้สึกยังไงกันนะ? เธอได้จินตนาการถึงภาพนั่นครู่หนึ่งและรู้สึกแย่ แต่แล้วก็ส่ายหัวสลัดมันออกไป
เธอจะไม่ใช่อารมณ์ควบคุมการกระทำ จนถึงท้ายที่สุดความสัมพันธ์ของเธอกับยูอิลฮานก็คือคู่การค้าเท่านั้น
"มันไม่มีอะไรแบบนั้น มันไม่มีทางที่เขาจะไปกับเด็กสาวอย่างยูนา และหนูก็ไม่มีวันรู้สึกอะไรแบบความรักหรืออะไรแบบนั้นด้วย! ตอนนี้หนูต้องไปแล้ว"
คังมิเรย์ได้ทุบโต๊ะและออกไปจากห้อง เมื่อพ่อกับลูกชายเหลือกันเพียงลำพัง ทั้งสองคนก็มองกันเองและยิ้มออกมา นี่มันก็เพราะว่าพวกเขาต่างก็รู้ในสิ่งที่กันและกันกำลังคิดอยู่
"ถ้าหากว่ามิเรย์รวบคุณยูอิลฮานได้ ถ้างั้นฉันก็จะมีกองกำลังที่สมบูณณ์แบบ ฮาจินถ้างั้นต่อไปก็ถึงตาลูกแล้ว"
"ไว้ใจผมได้เลยพ่อ หายนะครั้งใหญ่จะต้องนำพาพวกเขาไปถึงจุดสูงสุดแน่"
พ่อและลูกต่างก็ยิ้มออกมา นี่คือภาพตัวตนของพ่อลูกที่โง่เง่าและหลงผิด