บทที่ 1 หลี่ฟู่เฉิน(ฟรี)
บทที่
หลี่ฟู่เฉิน
(่ก่อนที่จะเข้าอ่านกัน รบกวนอ่านตรงนี้นิดดดดนึง เรื่องนี้ก่อนที่จะมาถึงมือผู้แปลปัจจุบันมีการเปลี่ยนมือมาแล้วหลายคน อาจจะมีบางช่วงบางตอนที่อ่านไม่ไหลลื่นบ้าง แต่หลังจากตอน 50+ ขึ้นไปดีขึ้นแล้วครับ)
“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของข้า แม้ว่าเจ้าจะฝึกฝนมาเป็นสิบปีก็ตามที”
ปั๊ง!
บนลานประลอง หลี่ฟู่เฉินที่ดูบอบบาง เขาถูกเหวี่ยงออกจากเวที และผู้ที่เหวี่ยงเขาก็เป็นเพียงเยาวชนที่สวมชุดสีเขียว
“เหอะ อย่างที่ข้าคิดไว้ เขาพ่ายแพ้ในสามกระบวนท่า”
“ภายในหนึ่งปี! แต่นี่เป็นครั้งที่เจ็ดแล้ว ที่หลี่ฟู่เฉินพ่ายแก่หลี่หยุ่นเหอ”
“นี่นับว่าไม่ถูกต้อง! เมื่อปีที่แล้วหลี่ฟู่เฉินนับว่าเป็นยอดอัจฉริยะ และมีชัยเหนือหลี่หยุ่นเหออยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น หลังจากหนึ่งปีผ่านไป ยอดอัจฉริยะก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ไม่เพียงแต่ความสามารถไม่พัฒนา เหมือนว่าเขาก็จะกลายเป็นโง่ไปด้วย ทั้งๆ รู้อยู่แก่ใจ ว่าหลี่หยุ่นเหอไม่ใช่ผู้ที่ตนจะสามารถเอาชนะได้ แต่เขายังยอมรับคำท้าประลองจากหลี่หยุ่นเหอ”
“แกว่าร้ายหลี่ฟูเฉินมากเกินไป เขามีนิสัยที่ภาคภูมิใจในตนเอง และไม่เคยหนีออกจากการประลอง”
“ไห่ แกควรโทษเพราะคู่หมั้นของหลี่ฟู่เฉิน กวนเซี่ย ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าหลี่หยุ่นเหอก็ ชอบกวนเซี่ยเช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งสามเติบโตขึ้นมาด้วยกัน แต่ทว่ากวนเซี่ยถูกหมั้นหมายกับหลี่ฟู่เฉิน นี่ทำให้หลี่หยุ่นเหอไม่พอใจอย่างยิ่ง”
เสียงหัวเราะเย้ยหยัน ดังก้องอยู่ในหูของหลี่ฟู่เฉิน ส่งผลทำให้การหายใจของเขาขาดช่วง
เป็นเวลาหนึ่งปี ทุกอย่างเกิดขึ้นในปีที่แล้ว
ปีที่ผ่านมา ที่ตระกูลหลี่เขาได้รับการจัดอันดับอยู่ในจุดที่สูงที่สุด แม้แต่กระทั้งหลี่หยุ่นเหอ ก็มิอาจเทียบกับเขาได้
อยู่ดีๆ พรสวรรค์ของหลี่ฟู่เฉินก็มลายหายไป ทุกครั้งที่เขาพยายามเพ่งสมาธิ เขาจะปวดหัวอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดทำให้เขาไม่สามารถฝึกฝนได้อย่างสงบ ต่อมาภายหลัง หลี่หยุ่นเหอ ตระหนักได้ว่าฝีมือของหลี่ฟู่เฉินไม่ได้พัฒนาขึ้น เขาจึงท้าทายหลี่ฟู่เฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลี่ฟู่เฉินกำหมัดแน่น เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้
“สวรรค์ตัวเลวร้าย เมื่อใดกัน ที่ข้าทำให้ท่านขุ่นเคือง?ท่านถึงได้พรากพรสวรรค์ของข้าไปท่านไม่รู้หรือไร ว่าในโลกใบนี้ แม้จะได้ครอบครองความแข็งแกร่งระดับสุดยอด แต่ก็จะไร้ผลใดๆถ้าไม่มีพรสวรรค์ตามมา”
หัวใจของหลี่ฟู่เฉินเกรี้ยวกราด
น่าเวทนา ที่สวรรค์ไม่อาจได้ยินเสียงเพรียกจากหัวใจของเขา
มองไปที่หลี่ฟู่เฉิน พร้อมกับหัวเราะเย้ย หลี่หยุ่นเหอรู้สึกว่าเขาอยู่เหนือกว่า
เขามักจะรู้สึกอิจฉาหลี่ฟู่เฉินอยู่เสมอ อิจฉาที่บิดาของเขาได้เป็นผู้นำตระกูลหลี่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด มันคงจะดี หากสิ่งนั้นมันเป็นของเขาทั้งหมด หากบิดาของเขาได้เป็นผู้นำตระกูล เขาคงเปล่งประกายเจิดจรัสแสงได้มากกว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นแน่
ตอนนี้หลี่ฟู่เฉินตกจากบัลลังก์แล้ว ผู้นำตระกูลก็ไม่สามารถเข้าข้างได้อีกต่อไป มันเป็นความจริงที่ทราบกันดี ว่าผู้นำตระกูลไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาดในตระกูล เบื้องหลังยังมีเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลอยู่ เมื่อพวกเขาตัดสินใจแล้ว แม้แต่ผู้นำตระกูลก็ไม่สามารถเปลี่ยนมันได้
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ผู้นำตระกูลมักเป็นคนตัดสินใจ เนื่องจากผู้อาวุโสไม่ค่อยแทรกแซงเรื่องในตระกูลเท่าไหร่นัก
“หลี่ฟู่เฉิน ข้าแนะนำให้เจ้าให้ลืมกวนเซี่ยซะบุคคลเช่นเจ้า ไม่เหมาะสมสำหรับนาง!” หลังจากที่เหยียดหยามเสร็จหลี่หยุ่นเหอก็ออกจากสนามปะลองทันที
ผู้ชมทั้งหมดตามออกไป เหลือแค่หลี่ฟู่เฉินที่อยู่อย่างเพียงลำพัง
ในศาลาห่างออกไป มีชายชราสวมชุดขาวยืนอยู่ในนั้น เขาเป็นสักขีพยายานกับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี่
“ฟู่เฉิน ถึงแม้ว่าพ่อของเจ้าจะเป็นผู้นำตระกูล แต่พ่อก็ไม่อาจช่วยเหลือเจ้าในสถานการณ์เช่นนี้ได้ เจ้าจำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว”
ในฐานะบิดา การได้เห็นหลี่ฟู่เฉินถูกรังแก เขารู้สึกย่ำแย่กว่าใครทั้งหมด แต่เขาก็กระจ่างชัด หากเขาช่วยบุตรชาย หลี่ฟูเฉินก็จะยิ่งได้รับความอับอาย และความเกลียดชังจากผู้อื่นมากขึ้น ในแผ่นดินนี้ ที่ที่ผู้มีพลังยุทธฺส์งสุด จะครอบครองอำนาจสูงสุด อันดับเป็นที่ปรารถนาของทุกคน ความช่วยเหลือจากผู้อื่น สามารถทำให้ภายนอกดูดี แต่แท้จริงแล้ว ภายในทุกคนล้วนจ้องเกลียดชังเขา
***
กลางดึกคืนนั้น...
หลี่ฟู่เฉินอยู่นั่งบนเบาะ ฝึกบ่มเพาะเทคนิคหยกแดงอย่างระมัดระวัง
หยกแดงเป็นเทคนิควิชาบ่มเพาะระดับเหลืองขั้นสูงเพียงเทคนิคเดียวที่ตระกูลหลี่มี จากทั้งสิ้นเจ็ดระดับ
ปีที่ผ่านมา หลี่ฟูเฉินได้ฝึกบ่มเพาะจนถึงขั้นที่สาม แต่เมื่อปีที่แล้วก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ อีกเลย สำหรับหลี่หยุ่นเหอเขาสามารถใช้เวลาเพียงหนึ่งปีเพื่อเลื่อนไปยังขั้นที่สี่ ดังนั้นแล้วเขาจึงสามารถชนะหลี่ฟู่เฉินได้
“อ๊ากก!”
แม้จะพยายามหลายครั้ง แต่ความเจ็บปวดในหัวก็ยังคงตามหลอกหลอนหลี่ฟู่เฉินอยู่เสมอ มันทำให้เขาเจ็บปวดรวดร้าวอย่างรุนแรง
ความเจ็บปวดนี้เลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายหลายร้อยเท่า เป็นความเจ็บปวดจากส่วนลึกภายในจิตวิญญาณ
หลี่ฟู่เฉินเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขาไม่สามารถเปิดเปลือกตาได้อย่างเต็มที่ เลือดไหลออกจากริมฝีปากของเขา เนื่องจากแรงกัดแน่น
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?”
จนถึง ณ ตอนนี้ หลี่ฟูเฉินก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาการประลองที่เขาพ่ายแพ้นั้นทำให้เขาหวั่นไหว่ แต่การสูญเสียพลังความสามารถแบบไร้เหตุผลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นเดียวกันกับพิษงู ที่ค่อยๆ กัดกินเยื่อกระดูกไปที่ละน้อย เมื่อรับรู้ถึงมันได้ กระดูกก็หายไปหมดสิ้นแล้ว
***
เมื่อราตรีผ่านไป ทิวาก็เปล่งแสงออกมา
ในตอนเช้ามีแขกมาเยือนตระกูลหลี่ เขาเป็นผู้อาวุโสตระกูลกวน กวนหยู
ในห้องโถงที่ตกแต่งด้วยสีขาวหลี่เทียนฮั่นออกไปเพื่อต้อนรับแขกของเขา
“กวนหยู วันนี้ลมอะไรพัดเจ้ามาที่นี่?”
กวนหยูสูงแปดฟุต หลังเขาตั้งตรงประดุจเสือ เอวดั่งหมี เขาหัวเราะอย่างงุ่มงาม
“วันนี้ข้าว่างพอดี ข้าจึงแวะมาดูว่าฟู่เฉินเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขายังคงเหมือนเดิม การสูญเสียพลังถือเป็นสิ่งยากยิ่งสำหรับเขา ข้าหวังเป็นอย่างมาก ว่าเขาจะรับมันได้”
สีหน้าของหลี่เทียนฮั่นแสดงความโศกเศร้าออกมา
“อย่ารีบร้อนไป นี่อาจเป็นเพียงแค่ชั่วคราว ข้าเชื่อว่าเขาสามารถเอาชนะมันได้”
กวนหยูหยิบขวดหยกออกมาอย่างลังเล“ยานี้อาจจะเป็นประโยชน์กับเขา”
“เม็ดยาคืนชีพ?”
หลี่เทียนฮั่นไม่ได้รับยาในทันที แต่กลับมองด้วยความงุนงง
เม็ดยาคืนชีพนี้ไม่เหมือนยาอายุวัฒนะทั่วไป แต่มันเป็นถึงยาอายุวัฒนะชั้นสีเหลือง ยาเม็ดเดียวมีมูลค่าเท่ากับทองคำนับพัน
แม้ว่ากวนเซี่ยจะหมั้นหมายกับหลี่ฟู่เฉินตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็ไม่เคยมีพิธีใดจัดขึ้น การมอบเม็ดยาคืนชีพที่หายากเช่นนี้ให้ สร้างความสับสนให้แก่หลี่เทียนฮั่น
กวนหยูไม่พอใจ “ก็แค่เม็ดยาคืนชีพ เจ้าไม่พอใจหรือไร?”
“นี่มันไม่เกี่ยวกับเม็ดยาคืนชีพ กวนหยูเจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
พวกเขาเป็นสหายกันมานานหลายปี หลี่เทียนฮั่นรู้ว่าเขาซ่อนอะไรบางอย่างไว้
กวนหยูวางขวดหยกไว้ข้างๆ และพูดอย่างกระอักกระอ่วน“เทียนฮั่น คราวนี้ข้ามีเรื่องที่ต้องที่จะต้องคุยเจ้า”
“เอาสิ! ว่ามา!”
หลี่เทียนฮั่นรู้สึกหวาดหวั่นจากก้นบึ้งของหัวใจ
กวนหยูกระแอมที่คอ และกล่าวว่า“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ลูกสาวข้า กวนเซี่ย นางทะลวงยุทธ์ไปยังขั้นที่เจ็ดของพลังลมปราณได้แล้ว”
“พลังลมปราณขั้นที่เจ็ด?”
หลี่เทียนฮั่นสูดลมหายใจเข้าอย่างเยือกเย็น… กวนเซื่ยและหลี่ฟู่เฉิน ทั้งคู่มีอายุ 14 ในปีนี้ แต่เธอก็สามารถทะลวงยุทธ์บรรลุสู่ขั้นที่เจ็ดของพลังลมปราณได้แล้ว
หากไม่ใช่เพราะเป็นสหายเก่าแก่กับกวนหยู หลี่เทียนฮั่นคงจะคิดว่าเขาล้อเล่นเป็นแน่
อัจฉริยะไร้คู่แข่งของตระกูลหลี่ในปัจจุบันก็คือ หลี่หยุนไห่ เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่ออายุ15เขามีพลังลมปราณเพียงแค่ขั้นที่หกเท่านั้น หลี่ฟู่เฉินและหลี่หยุ่นเหออยู่ในขั้นที่สี่ ซึ่งต่างกันถึงสามขั้น
หลี่เทียนฮั่นถาม“ข้าจำได้ว่า เมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา นางเพิ่งบรรลุถึงขั้นที่หก?”
กวนหยูหัวเราะแบบฝืดๆ “นางผู้นี้มีพรสวรรค์ กระทั่งถึงจุดที่ฝึกบ่มเพาะเทคนิคธาราจันทราของตระกูลกวนได้ถึงขั้นที่หก เจ้าก็รู้ ว่าในบางอย่างก็ยากที่จะฝึกฝนมากกว่าการเพิ่มพลังลมปราณ ผู้ที่สามารถฝึกฝนวิชายุทธธาราจันทราได้ถึงขั้นที่หกได้โดยไม่มีข้อยกเว้นนั้น พวกเขาย่อมสามารถบรรลุถึงขั้นหวนคืนจุดกำเนิดได้”
หลี่เทียนฮั่นรู้สึกริษยาอยู่ในใจ “ไม่ยุติธรรม!”
“ท่านพี่เทียนฮั่น บุตรีของข้าได้รับคัดเลือกเป็นศิษย์สาวกของสำนักนิกายคังเหลียน ดังนั้นข้าคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้” กวนหยูรู้สึกว่าเขาต้องการที่จะพูดตรงๆ โดยที่ไม่ซุกซ่อนอีกต่อไป
หลี่เทียนฮั่นขมวดคิ้ว“พวกเขายังเด็กอยู่ เรื่องการแต่งงาน ค่อยคุยในเวลาที่ดีกว่านี้ก็ย่อมได้”
กวนหยูลงกล่าวเสียงหนักแน่น“นี่เป็นสิ่งที่บุตรีข้าต้องการ ข้าหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากท่านพี่เทียนฮั่น”
ความโกรธพุ่งพล่านอยู่บนใบหน้าของหลี่เทียนฮั่น เขามองไปที่กวนหยูอย่างถมึงทึง
“อะไร!? ตระกูลกวนต้องการทำลายคำสัตย์สาบานงั้นหรือ? ตระกูลกวนเป็นผู้ริเริ่มการหมั้น และตอนนี้ก็ยังจะถอดถอนคำมั่นสาบานนี้ เจ้าเห็นตระกูลหลี่ของข้าเป็นเช่นไร! นี่หรือคือวิธีที่เจ้าปฏิบัติกับข้า! เจ้าคิดว่าตระกูลหลี่ไม่คู่ควรกับตระกูลกวนเป็นงั้น?”
“ท่านพี่เทียนฮั่น ตระกูลกวนของข้าย่อมเคารพกับท่าน ได้โปรดเก็บยานี้ไว้เถิด
อีกสองสามวัน ตระกูลกวนของข้าจะมอบโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของเราในเมืองหยุ่นวู่ให้กับตะกูลหลี่”
กวนหยูรู้สึกโล่งใจ เมื่อเขาได้ระบายในสิ่งที่เขาอยากจะพูด
จริงอยู่ ว่าสิ่งที่กวนหยูกล่าวอาจจะถูกต้อง การแต่งงานจำเป็นต้องแต่งด้วยคู่ที่เหมาะสมกัน ตระกูลหลี่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครได้รับคัดเลือกจากสำนักนิกายคังเหลียน แต่ตระกูลกวน มีลูกศิษย์ที่ได้รับการยอมรับเข้าสู่สำนักนิกายคังเหลียนเพิ่มขึ้นทุกปี
ปีนี้ กวนเซี่ยได้เป็นศิษย์ของสำนักนิกายคังเหลียน แม้กระทั่งก่อนการคัดเลือกประจำปี และศิษย์คนใดก็ตามที่ถูกคัดเลือกมาล่วงหน้า ย่อมมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ ตระกูลกวนก็คงไม่ล้มเลิกการแต่งงานโดยกระทันหัน เพราะตระกูลหลี่ถือว่าเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ และยังคงแข็งแกร่งกว่าตระกูลกวนที่กำลังผงาดขึ้น
น่าเศร้า ที่หลี่ฟู่เฉินเป็นเด็กหนุ่มที่โชคร้าย จริง ๆแล้วเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แต่ปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นกรรมหรือไร พลังของเขาจู่ๆ ก็หายไป ตอนนี้เขาดูเหมือนเป็นคนโง่เง่า และเขาหรือจะคู่ควรกับดวงดาวที่เปล่งประกายของตระกูลกวนได้อย่างไร นี่เป็นสาเหตุที่ตระกูลกวนไม่ยอมรับการแต่งงาน
นอกจากนี้กวนเซี่ยเองก็ไม่ต้องการให้มีการแต่งงานในครั้งนี้ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเสนอให้ยุติการแต่งงาน แต่กวนยู่ก็หยุดเธอไว้ทุกครั้ง เขาคิดว่าเขาให้ความเคารพกับตระกูลหลี่มากเพียงพอแล้ว
“ตระกูลหลี่ของข้า จะไม่รับเม็ดยาคืพชีพนี้ หรือแม้แต่โรงเตี๊ยมของเจ้า เราจะไม่รับขอเสนอใดๆ ทั้งสิ้น กวนหยู นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ข้าจะบอกเจ้าในฐานะพี่ชาย นับแต่นี้ต่อไป เราไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันทั้งสิ้น”
หลี่เทียนฮั่นรู้สึกว่าใจของเขาด้านชาไปถึงส่วนลึกของจิตใจ ตระกูลกวนเติบใหญ่มาได้จนบัดนี้เป็นเพราะการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากตระกูลหลี่เขาไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลกวนจะเผาสะพานทิ้งหลังจากข้ามแม่น้ำได้แล้ว (อธิบายถึงความเนรคุณ)
“ท่านพี่เทียน พวกเรามาถึงทางตันแล้ว ไม่มีอะไรจะกล่าวมากกว่านี้อีกแล้ว มันเป็นความผิดของตระกูลกวนของข้าเอง ข้าหวังว่าเราจะจากกันได้ด้วยดี”
กวนหยูถอนหายใจออกมายาวๆ ลุกจากที่นั่ง และออกไปทันที
“เอายานี้กลับไปเถอะ”
หลี่เทียนฮั่นสะบัดมือด้วยพลังลมปราณ ขวดยาก็ปลิวไปยังกวนหยู
กวนหยูเหยียดมือยื่นออกไปรับขวด และจากไปอย่างเงียบ ๆ
***
ปั๊ง!
เมื่อกวนหยูออกจากห้องโถง หลี่เทียนฮั่นทุบลงบนเก้าอี้เต็มแรง ใบหน้ามืดมน
สองสามวันต่อมา ตระกูลกวนก็ส่งผู้ส่งสารเพื่อยกเลิกการแต่งงานมา จนถึงตอนนี้ชาวเมืองหยุ่นวู่ทั้งหมดต่างตื่นตาตื่นใจกับข่าวคราวนี้
ตระกูลหลี่และหลี่ฟู่เฉินกลายเป็นหัวข้อสนทนา
หลังจากมื้ออาหาร ผู้คนมักพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือไม่ก็เกี่ยวกับการที่กวนเซี่ยเข้าร่วมสำนักนิกายคังเหลียน ลึกๆลงไปแล้ว ทุกคนต่างรู้ว่าตระกูลกวนอาจจะถูกยกระดับให้สูงมากขึ้น สืบเนื่องจากการรับเข้าล่วงหน้าของสำนักนิกายคังเหลียน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดได้ยากยิ่ง เพียงแค่ครั้งเดียวที่เคยได้ยินก็ผ่านมาหลายร้อยปีมาแล้ว
..........................