Chapter 33 - INITIATIVE
Chapter 33 - INITIATIVE
วันรุ่งขึ้น เรื่องราวต่างๆยังคงแผ่ขยายออกไป หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ได้ตำหนิโคลัมเบีย
พวกเขาเริ่มกล่าวโทษเจ้าของโคลัมเบียอย่าง Coca-Cola group ว่าเป็นผู้สนับสนุนกลยุทธต่ำช้านี้
ความจริงผลงานของทาง โคลัมเบียพิคเจอร์ส นั้นนั้นตกต่ำลงมานานแล้ว ดังนั้นทาง Coca-Cola group
แต่เดิมจึงไม่ได้ดูแลบริษัทที่ตกต่ำเช่นนี้มากนัก
น่าแปลกใจที่วันรุ่งขึ้นหลังจากตลาดหุ้นเปิด ทาง Coca-Cola group ที่มีราคาหุ้นมั่นคงอยู่เสมอ
ราคาหุ้นตกลงถึง 1.7% แม้ตัวเลขนี้อาจดูเหมือนไม่สำคัญนัก แต่ถ้าคุณรู้ว่ามูลค่าตลาดของมัน
นั้นมีราคาตลาดถึงหลายสิบล้าน จะไม่ใจเย็นอยู่แน่นอน
CEO ของ Coca-Cola โรแบร์โต กอยซูเอตา ได้เรียก เบล้าท์ โคเฮน เข้าพบโดยตรง
และได้สาปแช่งเขาและสั่งให้รีบแก้ปัญหาโดยเร็ว หรือจะก้าวตำแหน่งลงจาก CEO ของโคลัมเบีย
ภายใต้แรงกดดันจากสำนักงานใหญ่ของ Coc-Cola เวลาสิบโมง เบล้าท์ โคเฮนได้จัดงานแถลงข่าว
ขึ้นที่โคลัมเบีย เขาขอโทษอย่างสุถาพกับเอริคและสัญญาว่าจะให้ความสำคัญและรักษาข้อตกลงในการเดิมพันอย่างจริงจัง
เมื่อเอริคได้รับข่าวนี้ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองต่อไป เขาให้ทนายความส่วนตัว เอ็ดเวิร์ด ลูอิส
เผยแพร่คำแถลงใน Los Angeles Times ว่าได้ยอมรับคำขอโทษของพวกเขาแล้ว
ทำให้พายุที่กำลังโหมกระหน่ำนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว
เพราะความขัดแย้งนี้พวกเขา คาดหวังว่ายอดขายตั๋วของ Home Alone จะลดลง แต่หลังจากได้
ข้อมูลของสัปดาห์นี้ นอกจากจะไม่ตกลง มันกลับเพิ่มขึ้นเสียด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ในสัปดาห์นี้ไป 28,760,000 ล้าน ทำให้ทะลุเป้าหมาย 50 ล้าน ในสัปดาห์ที่สองของการเข้าฉาย
17 Again ทำรายได้ไป 14,730,000 ล้าน รักษาอันดับที่ 2 ในบ๊อกออฟฟิศไปได้ ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องของเอริคทำรายได้ไปกว่า 50% ของบ๊อกออฟฟิศในอเมริกาเหนือในสัปดาห์นี้ ซึ่งทำให้ผู้คนประหลาดใจอีกครั้ง
แม้ว่าผลลัพธ์จะน่าทึ่งแค่ความสนใจของสื่อก็ค่อยๆสลายไป หลังจากหลายวันมานี้ไม่ได้ข่าวที่มีประโยชน์ นักข่าวที่ตั้งค่ายละแวกบ้านของเอริค ก็ค่อยๆแยกย้ายกันไป
สัปดาห์นี้ เอริคเก็บตัวอยู่ในบ้านและจดจ่ออยู่กับการเขียน Resident Evil ที่เขาสัญญาไว้กับไมเคิล ไครช ในชีวิตที่แล้วของเขาเรื่องนี้มีสองเวอร์ชั่น หนึ่งคือเกมของ Capcom และอีกหนึ่งคือฉบับภาพยนตร์ ที่มีอลิซเป็นตัวเอก แต่น่าเสียดายที่เอริคตามเล่นแค่ภาค 4 และ ภาค 6 ของซี่รี่ย์เกมเท่านั้น
ดังนั้นเขาเลยไม่เข้าใจในเรื่องนี้มากนัก
สำหรับฉบับภาพยนตร์ นำมาเขียนได้มากนัก เพราะมันอิงมาจากเนื้อหาเกม ซึ่งเน้นบทเด่นบทที่
มิลลา โยโววิช นำแสดง
ดังนั้นการเขียนนิยาย Resident Evil ไม่ง่ายอย่างตอนเขียน จูราสสิก ปาร์ค
เขาใช้เวลาสามวันในการร่างโครงเรื่องบทของลีออนคนเดียวก่อน ตั้งแต่เขาเข้าร่วมกับตำรวจตอนแรก
จนกระทั่งทุกคนร่วมมือกันหลบหนีโรคระบาดในเมืองแรคคูนซิตี้
ตัวเอกคนอื่นในชีวิตที่แล้วของเอริคอย่าง คริส จิลล์ เวสเกอร์และคนอื่นๆ ได้ถูกใส่เข้าในนิยายอย่างชาญฉลาด และตัวละครที่ได้รับความนิยมที่สุดในหมู่แฟนๆชาวจีน 'อาเจ๊หว่อง' ที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอน เอริคนึกภาพแสดงความสัมพันธ์ของ เอด้า หว่องกับ ลีออนเป็นเหมือนราชินีและของเล่นของเธอ
นี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่เอริคคิดอยากให้เป็นคนเดียว ในอดีตนั้น แฟนๆหลายคนตามอินเตอร์เน็ตนั้นก็แสดงความปรารถนาที่จะให้ความสัมพันธ์ทั้งสองคนเป็นแบบนี้
ในเกม เอด้า หว่องนั้นสุดแสนจะเร่าร้อนและงดงาม มักจะปรากฎตัวเมื่อลีออนมีปัญหาเสมอและช่วยให้เขาสงบใจลงก่อนจะจากไป
...........
ขณะที่เอริคต้มน้ำอยู่ในห้องครัว เจม บรูค ก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นบนโซฟาและอ่านต้นฉบับ
Resident Evil ของเอริค
เจม คุณคิดว่าไงบ้าง? เขาผลักถ้วยกาแฟที่เพิ่งชงไปให้เจมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วถาม
มันให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่หน้าจอ ทำให้คนอ่านรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังนี่มันน่าตื่นเต้นมากๆ
เอริคพยักหน้าการประเมินของเจมนั้นถูกจุดอย่างมาก ในการทำอาชีพในอดีตของเอริค
เขาใช้เวลาอยู่กับเขียนหลายๆสิ่งอย่างมาก ทำให้มีความเชี่ยวชาญในการทำข้อความให้อ่านง่าย
แล้วถ้ามันถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ล่ะ ? เอริคถามอีกครั้ง
เจมวางต้นฉบับลงและพูดอย่างจริงจังว่า ฉันคิดว่าตอนนี้มันไม่เหมาะที่จะปรับนิยายเรื่องนี้เข้าสู่จอหนัง แม้ว่าคนดูจะสนุกสนานกับธีมซอมบี้ แต่ก็ยังมีกลุ่มผู้ชมน้อยเกินไป คุณไม่สามารถลงทุนในสิ่งเหล่านี้ได้ มันมีโอกาศขาดทุนค่อนข้างมาก ถ้าคุณต้องการปรับเป็นภาพยนตร์ก็ต้องใช้เอฟเฟ็กต์พิเศษจำนวนมาก หากมีงบประมาณน้อยเกินไปจะทำลายสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นฉันคิดว่ามันจะดีกว่าถ้ารอให้เทคโนโลยีพัฒนาขึ้น บางทีอีกไม่กี่ปีต่อมาต้นทุนการผลิตจะถูกลงค่อยทำก็ไม่สาย
แน่นอนว่าโปรดิวเซอร์มากฝีมือ ด้วยคำไม่กี่คำที่เขาบอกถึงการดัดแปลงและข้อจำกัดอื่นๆได้อย่างแม่นยำในอดีตของเอริค แฟนๆ Resident Evil ได้ร้องเรียนกับบริษัทภาพยนตร์ว่า ลงทุนเอฟเฟ็กต์พิเศษน้อยเกินไป
มิล่าเหรอ เอาจริงดิ? พวกเขาไม่ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ตามความต้องการของแฟนๆ
ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับ Resident Evilเล็กน้อย เจมก็บอกเอริคถึงเหตุผลที่เขามาที่นี่
FOX เชิญผมไปงานเลี้ยงต้อนรับ ? เขาคิดว่าเจมมาพูดคุยเรื่องลิขสิทธิ์ในต่างประเทศของ Home Alone คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องอื่น
วันนี้เอริคได้รับโทรศัพท์หลายสายเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ แม้แต่ ไมเคิล ไอส์เนอร์ ที่ได้ร่วมมือกับโคลัมเบียในตอนแรกด้วย แต่เขามีแผนของตัวเองอยู่แล้วจึงปฎิเสธข้อเสนอพวกเขาไป
เมื่อเห็นการแสดงออกของเอริคแล้ว เจมยิ้มแล้วพูดว่า ฉันได้ยินว่า คุณได้รับข้อเสนอเกี่ยวกับ Home Alone ตั้งมากเร็วๆนี้ด้วยนิ แล้วยังได้ยินอีกว่าคุณปฎิเสธข้อเสนอไป ฉันคิดว่าคุณกำลังรอให้ ทาง 20th Century Fox เข้ามารับบทบาทตรงนี้ ฉันคิดถูกใช่ไหม ?
เขายักไหล่และยิ้ม นั่นเป็นความตั้งใจจริงๆของฉันเจม พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกันถ้าได้อย่างนั้นผมจะมีความสุขมาก
เจมพูดด้วยท่าทางจริงจัง นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผล ที่ฉันมาด้วยตัวเองในวันนี้ ความจริงแล้วคุณแบรี่ ดิวเลอร์ก็อยากจะพบคุณแล้วพูดคุยเกี่ยวกับ Home Alone จูราสสิก ปาร์ค รวมถึงภาพยนตร์เรื่องใหม่ของคุณด้วย.....
โอ้ ดูเหมือนทาง FOX จะเป็นคนโลภ ?
เจมยิ้มแล้วพูดว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความโลภมันเป็นเรื่องของธุรกิจ ถ้า FOX ไม่ทำคนอื่นก็จะทำแทน นอกจากนี้ทางเราไม่ได้เป็นคนตาไม่ถึงเหมือนโคลัมเบีย ทางเราหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
แน่นอนเอริคไม่โง่พอที่จะชอบคำเหล่านั้นจริงๆ นั่นมันเป็นแค่คำแก้ตัวของ FOX แต่เหตุผลที่แท้จริงเป็นเพราะพวกเขาพลาดลิทธิ์การเผยแพร่เรื่อง Home Alone ก่อนหน้านี้ เหล่ายักษ์ใหญ่นั้นก็เหมือนกันหมด พวกเขาต่อสู้เพื่อผลกำไรในทุกๆก้าว แต่เพียงพวกเขาชาญฉลาดกว่าคนอื่นก็เท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้เอริคต้องพึ่งพาการสนับสนุนของยักษ์ใหญ่เจ้าใดเจ้าหนึ่ง เพื่อป้องกันความโลภของคนอื่นๆ เขาต้องปกป้องตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้น หลังจากการเปรียบเทียบแล้ว เอริคนั้นเลือก FOX
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเป้าหมายหลักของบริษัทภายใต้การนำของ แบรี่ ดิวเลอร์ นั้นคือการเปิดตัว
เครือข่ายโทรทัศน์ของ FOX ดังนั้นความสนใจในด้วยภาพยนตร์ของพวกเขาจะลดลง
และนั่นก็เป็นโอกาสเหมาะที่เอริคจะกางปีกออกไป