ภาค 2 ตอนที่ 3 อาจารย์ โปรดรับการคารวะจากศิษย์!
ตอนที่ 3 อาจารย์ โปรดรับการคารวะจากศิษย์!
หวังลู่ขึ้นเขามาได้สองปีอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ชีวิตประจำวันระหว่างนั้นดูเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ทว่าความเรียบง่ายของดินแดนเซียนกับโลกมนุษย์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา เขาได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากกว่าชีวิตในแดนมนุษย์ตลอดสิบสองปี
เรื่องราวแปลกใหม่จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในสมอง จนความสามารถในการจำที่หวังลู่ภูมิใจนักหนาแทบจะบรรจุสิ่งที่ได้ประสบพบเจอมาในอดีตไม่ไหว ชีวิตอันงดงามและสงบสุขในหมู่บ้านตระกูลหวังเหลือไว้แต่เพียงสัญลักษณ์ประจำเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น... แม้กระทั่งผลงานและชื่อเสียงในงานชุมนุมคัดเลือกเซียนของเขาก็ค่อยๆ เลือนรางหายไปจากความทรงจำ
แต่เมื่อคิดถึงกล่องอาหารรสมือชาวนาที่ตนต้องเสียเงินก้อนใหญ่จำนวนสามพันห้าร้อยตำลึงในหมู่บ้านธาราวิญญาณเมื่อสองปีก่อน จนถึงวันนี้ความทรงจำนี้ยังคงนิ่งค้างอยู่ในใจไม่จางหาย เหมือนช่อดอกไม้ที่เจิดจรัส เช่นเดียวกับรอยยิ้มสว่างสุกใสของหญิงสาวตรงหน้าที่ยังคงตราตรึงไม่เลือนหาย
“เฮ้! ทิวาสวัสดิ์เถ้าแก่เนี้ย~”
หวังลู่ทักทายอย่างผ่อนคลาย ใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่น
พูดถึงเถ้าแก่เนี้ยคนนี้ นางเป็นคนที่มีพรสวรรค์ สถานะมิใช่เล่นๆ มีข้อมูลหลักๆ ที่เกี่ยวกับนางสามประการ
ประการแรก นางเข้าออกเขากระบี่วิญญาณได้อย่างง่ายดายไร้อุปสรรคประดุจเข้าออกสวนหลังบ้านของตัวเอง จะว่าไปแม้ในหมู่บ้านธาราวิญญาณมีประชากรหลายร้อยคน ทว่าคนที่สามารถเดินผ่านประตูทางเข้าเขากระบี่วิญญาณ ที่ผ่านมาหวังลู่เคยเห็นแต่เถ้าแก่เนี้ยเพียงคนเดียวเท่านั้น สองปีที่แล้วเถ้าแก่เนี้ยพูดติดตลกว่านางจะไปเจอหวังลู่บนเขาอีกครั้ง และจนถึงทุกวันนี้ทั้งสองก็ได้เจอกันบนเขาบ่อยๆ สิ่งที่นางพูดล้วนเป็นความจริง!
ประการที่สอง เถ้าแก่เนี้ยมีความสัมพันธ์ที่ดีสุดๆ กับผู้คนบนเขา สนิทสนมกับศิษย์ส่วนใหญ่ กระทั่งผู้อาวุโสเหล่านั้น เมื่อเจอนางใบหน้าของพวกเขาก็ยังประดับไปด้วยรอยยิ้ม... และที่คิดไม่ถึงคือ แม้แต่อาจารย์ผู้มีพระคุณของตน ก็ยังเรียกนางว่าเสี่ยวหลิงเอ๋อร์อย่างสนิทสนม มิหนำซ้ำยังบอกว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเฉกเช่นพี่น้อง!
และเมื่อถามถึงสถานะที่แท้จริงของเถ้าแก่เนี้ยอย่างละเอียด ทุกคนกลับตอบแบบคลุมเครือ เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายรู้ความจริงแต่ก็ปิดเงียบไม่ยอมเอ่ย ส่วนคำตอบของบรรดาศิษย์ก็ชัดเจนตรงไปตรงมาตามแบบฉบับของคนจากสำนักกระบี่วิญญาณ
“ข้าว่าผู้อาวุโสต่างก็เกรงอกเกรงใจให้ความเคารพนาง คนเล็กๆ เช่นพวกเราไหนเลยจะกล้าบุ่มบ่ามล่วงเกิน!”
ประการที่สาม ถือว่าเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด สองปีก่อนตอนงานชุมนุมคัดเลือกเซียนหวังลู่ได้หงายไพ่ตายในมือ ไพ่ใบนั้นก็คือเหรียญทองแดงโบราณเมฆานภา ซึ่งเป็นเหรียญที่เถ้าแก่เนี้ยมอบให้เขากับมือ! โดยมูลค่าของเหรียญโบราณเหรียญนั้นหวังลู่เพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งก็ตอนขึ้นมาอยู่บนเขาแล้ว หากพิจารณาตามหลักเหตุผลทั่วไป นอกเสียจากว่าเถ้าแก่เนี้ยจะเป็นบุตรนอกสมรสของเจ้าสำนัก ก็ไม่มีอะไรที่จะอธิบายที่มาที่ไปของเหรียญทองแดงโบราณนั้นได้แน่ๆ ทว่าเมื่อย้อนกลับไปจะพบว่ามีสองจุดที่อธิบายไม่ได้ หนึ่งคือเป็นถึงบุตรสาวของเจ้าสำนักแท้ๆ เหตุใดจึงวิ่งโร่ไปเปิดโรงเตี๊ยมที่หมู่บ้านธาราวิญญาณ? นางต้องการหาความแปลกใหม่หรือ? นอกจากนี้หลังจากที่ได้รู้จักกันมาสองปี หวังลู่ดูออกว่าเถ้าแก่เนี้ยมิได้เป็นผู้บำเพ็ญตนแม้แต่นิด นางเป็นปุถุชนธรรมดาอย่างสมบูรณ์ ไม่มีแม้กระทั่งรากวิญญาณประกายดาวเหมือนเจ้าสำนัก สองคือ...ผู้อาวุโสห้าผู้มีพระคุณบอกว่าพวกนางเป็นพี่น้อง หากเถ้าแก่เนี้ยเป็นลูกนอกสมรสของเจ้าสำนักแล้ว ผู้อาวุโสห้าจะไม่ลดศักดิ์ไปหรือ? จากอุปนิสัยของอาจารย์ที่หวังลู่เข้าใจ นั่นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เถ้าแก่เนี้ยจึงกลายเป็นบุคคลที่ลึกลับไม่ปรากฏที่มาที่ไป ดีตรงที่แม้ว่าที่มาของนางจะลึกลับ แต่ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา เถ้าแก่เนี้ยจากโรงเตี๊ยมตระกูลหรูแห่งหมู่บ้านธาราวิญญาณถือเป็นสีสันที่หาได้ยากในชีวิตบำเพ็ญเซียนอันเรียบง่ายของเขา สองสามวันจะขึ้นเขาที ทุกครั้งที่ขึ้นเขาก็มักจะพกกล่องที่เต็มไปด้วยอาหารติดมือมาด้วยเสมอ เพื่อเพิ่มตัวเลือกอาหารให้กับหวังลู่ และรอดพ้นจากการต้องกล้ำกลืนฝืนกินอาหารของพ่อครัวแห่งดารานภา
ดังนั้นเมื่อเจอเถ้าแก่เนี้ย ความทุกข์ทรมานที่หวังลู่มีต่ออาหารเที่ยงก็มลายหายไปหมดสิ้น เขารีบเดินไปที่ใต้ต้นไม้ ตาจ้องไปยังกล่องอาหารในมือหญิงสาว ยิ้มออกมาอย่างเคลิบเคลิ้ม
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกก่อนว่า “รอยยิ้มของเจ้าจะทำให้เราถูกซุบซิบนินทาเอาง่ายๆ นะ”
แม้ว่าปากของนางจะกล่าวเช่นนั้น แต่ก็ยังคงจัดแจงให้หวังลู่นั่งลงใต้ต้นไม้ เปิดกล่องข้าวที่เป็นอาหารบ้านๆ เฉกเช่นเมื่อสองปีก่อนออกมา
ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพืชศักดิ์สิทธิ์และเนื้อวิเศษอย่างเขากระบี่วิญญาณ อาหารเลิศรสทุกอย่างที่มิอาจจินตนาการในแดนมนุษย์ล้วนมีโอกาสได้ลิ้มรส แน่นอนว่าต้องเป็นที่โรงอาหารของยอดเขาเสรี หรือห้องครัวเล็กๆ ส่วนตัวของผู้อาวุโสบางท่าน ทว่าเวลานี้หวังลู่ก็ยังคงรู้สึกว่าอาหารบ้านๆ ของเถ้าแก่เนี้ยเป็นหนึ่งในใต้หล้า
“พอแล้ว ถ้ายังยอข้าอยู่อีก ข้าก็จะพัฒนาฝีมือตัวเองไม่ได้ อีกทั้งไม่อาจหาข้ออ้างให้เจ้ากินอาหารเปล่าๆ โดยไม่เสียเงิน... วันนี้ที่มาหาเจ้าก็เพราะ...”
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ หวังลู่ก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบหญ้าวิเศษหลายกำยื่นไปให้นาง
ใบหน้าของเถ้าแก่เนี้ยปรากฏรอยยิ้ม กล่าวอย่างดีใจว่า “ดี อีกสองวันถ้าแลกเงินแล้วข้าจะมาหาเจ้าอีก...จะว่าไปเจ้านี่ก็ทำได้ลง หญ้าวิเศษบนยอดเขาไร้ลักษณ์ใกล้จะถูกเจ้าผลาญจนเรียบแล้วกระมัง”
หวังลู่เอ่ยอย่างฉุนเฉียว “อาจารย์เสเพลคนนั้นน่ะหรือ สองปีที่ผ่านมานี้แม้แต่อีแปะเดียวนางก็ไม่เคยให้ มิหนำซ้ำยังมาหักเงินอุดหนุนที่สำนักให้ศิษย์ผู้สืบทอดของข้าอีก นี่มิใช่การบังคับให้ข้าต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองหรือ? อีกอย่างหญ้าวิเศษพวกนี้หากข้าไม่ผลาญ จะเก็บไว้ให้อาจารย์สมองบวมผู้นั้นผลาญหรืออย่างไร? ทิวทัศน์ทางธรรมชาติของยอดเขาไร้ลักษณ์แทบจะถูกนางล้างผลาญจนหมดสิ้นแล้ว! ถึงอย่างไรพอนางตายยอดเขาไร้ลักษณ์ก็ต้องเป็นสมบัติในกรุของข้าอยู่ดี เบิกมรดกมาใช้ก่อนล่วงหน้าสักหน่อยเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว!”
“…เจ้ากับนางเป็นศิษย์อาจารย์ฟ้าประทานที่มีสายใยผูกพันกันลึกซึ้งจริงๆ” เถ้าแก่เนี้ยแทะกีบขาหมูพลางกล่าวออกมาจากใจด้วยความรู้สึกปลงอนิจจัง
หวังลู่สำทับ “เฮ้อ ยังดีที่เถ้าแก่เนี้ยยังทำกิจการรับซื้อของโจร ไม่อย่างนั้นแล้วของล้ำค่าที่ข้าขุดได้ตั้งมากมายเพียงนี้ต้องขายไม่ออกแน่ๆ”
เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะร่า “เพ้อเจ้อ สำนักกระบี่วิญญาณเป็นถึงสุดยอดห้าสำนักของพันธมิตรหมื่นเซียน ในสำนักจะไปมีเงินหมุนเวียนได้อย่างไร? ทุกอย่างล้วนแต่เป็นก้อนศิลาวิญญาณและคะแนนสะสมเถอะ”
หวังลู่จึงกล่าวต่อไปว่า “ปัญหาสำหรับมือใหม่ในขั้นเพาะกายคือ ต่อให้ท่านมอบศิลาวิญญาณชั้นสูงแก่ข้าก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อยู่ดี สู้หาเงินลงเขาไปซื้อเครื่องมือประทังชีพที่แดนมนุษย์ยังจะดีเสียกว่า...”
เถ้าแก่เนี้ยโยนกระถูกที่แทะจนสะอาดสะอ้านทิ้งแล้วถามไปเรื่อยๆ ว่า “พูดถึงเรื่องนี้ การฝึกของเจ้าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
หวังลู่สวนกลับทันควัน “ขอถามเถ้าแก่เนี้ย กิจการโรงเตี๊ยมของท่านช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“...เราสองคนนี่หัวอกเดียวกันโดยแท้” เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจอีกหนึ่งครั้งแล้วกล่าวต่อไปว่า “สองปีก่อน ข้ายังมีโชคมีชัย เพียงวันเดียวเงินก็ไหลมาเทมาเข้ากระเป๋าเป็นกอบเป็นกำ ไม่สิ กิจการเฟื่องฟูวันเดียวได้ถึงแปดสิบล้านตำลึง คิดไม่ถึงว่าวันนี้ประตูจะว่างจนแทบเหวียงแห่จับนกได้ กิจการตกฮวบฮาบดิ่งตรงลงนรกจริงๆ!”
เหลวไหล! สองปีก่อนนั่นเป็นวันรวมตัวของคนโง่ไร้สมองที่ยากจะเวียนมาถึงในรอบร้อยปี ท่านเอาหัวไชเท้าต้มน้ำเปล่าๆ กว่าร้อยหม้อขายให้กับพวกโง่เง่า จัดการพวกนั้นอย่างราบคาบแล้วได้เงินกว่าแปดสิบล้าน ท่านคิดว่ายังจะมีโอกาสนั้นอีกรึ?
“จะว่าไป เจ้ากับคู่รักชายของเจ้ายังติดต่อกันหรือไม่?”
หวังลู่อยากพ่นข้าวในปากใส่หน้าเถ้าแก่เนี้ยยิ่งยวด “ข้าไปมีคู่รักชายตั้งแต่เมื่อไหร่? ท่านอย่าทำให้ชื่อเสียงของคนอื่นแปดเปื้อนสิ ข้ากับไห่อวิ๋นฟานเป็นแค่เพื่อนทางจดหมาย! เจ้าไม่รักดีคนนั้นทิ้งข้าแล้วหนีไปเป็นผู้บำเพ็ญอัจฉริยะที่สำนักเซียนหมื่นยุทธ เพียงปีเดียวก็ดึงพลังปราณเข้าร่างได้สำเร็จ เมื่อวานเพิ่งเขียนจดหมายมาบอกข้าว่าบรรลุขึ้นถึงระดับเจ็ดแล้ว สีหน้าโอ้อวดนั่นน่ารังเกียจจริงๆ!”
เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าเห็นด้วยอย่างสุดซึ้ง “เพียงแค่สองปีก็อยู่ในขั้นฝึกปราณระดับเจ็ด สำนักเซียนหมื่นยุทธเป็นผู้เชี่ยวชาญรากวิญญาณประหลาดพิสดารจริงๆ ศักยภาพรากวิญญาณลมน้ำของไห่อวิ๋นฟานถูกผลักดันจนถึงขีดสุดที่นั่น ตรงข้ามกับที่นี่ เมื่อเทียบกันแล้วศิษย์ชั้นในแต่ละคนของฝั่งเรายังห่างชั้นเหลือเกิน คนที่ก้าวเร็วที่สุดอย่างจูฉินที่มีรากวิญาณระดับสามเหมือนกันก็เพิ่งจะเริ่มดึงพลังปราณเข้าร่างเท่านั้น นี่เป็นปัญหาของระบบโครงสร้างโดยแท้! สำนักกระบี่วิญญาณคือความอัปยศของห้าสุดยอดสำนักจริงๆ สภาพเน่าเฟะในตอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความโง่เขลาเบาปัญหาไร้ซึ่งความสามารถและปัญหาชีวิตส่วนตัวของเจ้าสำนักอย่างแท้จริง”
คำพูดของเถ้าแก่เนี้ยทำให้หวังลู่ตะลึงลาน “น้ำเสียงของท่านดูเหมือนจะโทษว่าเป็นความผิดของระบบที่ตัวเองคุ้นเคย”
เถ้าแก่เนี้ยเบ้ปาก “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับรากวิญญาณนภาที่ตลอดสองปีมานี้ทำได้เพียงวิ่งระยะไกลอย่างเดียว นับว่าว่าพวกเขาเอางานเอาการและใจสู้ไม่น้อยทีเดียว...”
“บัดซบ! ข้าเป็นถึงนักเรียนเรียนดีเชียวนะ โปรดให้ความเคารพด้วย”
ประโยคนี้แม้แต่หวังลู่เองก็ยังเปล่งออกมาอย่างอ่อนแรงไร้พลัง
สำนักบำเพ็ญเซียน ไม่ว่าจะเน้นระบบการศึกษาที่มีคุณภาพเพียงใด แต่พื้นฐานแล้วก็ยังคงเป็นผู้ฝึกตนบนเส้นทางเซียน และพัฒนาการความก้าวหน้าของการบำเพ็ญของหวังลู่นั้นน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองมาดูรายละเอียดเลยก็แล้วกัน
ตามที่หวังลู่คาดเอาไว้ครั้งแรกคือ เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของสำนัก ตามหลักแล้วทุกมื้อควรจะได้กินอาหารที่ทำจากวัตถุดิบล้ำค่า หลังอาหารต้องมีผู้อาวุโสผู้ทรงคุณวุฒิเดินลมปราณถ่ายพลังให้เขา จากนั้นก็อ่านคัมภีร์ลับชั้นสูง ฝึกวิทยายุทธ์เซียนโบราณชั้นยอดในอดีต สามปีอยู่ในขั้นฝึกปราณ สามปีต่อมาบรรลุขึ้นขั้นสร้างฐาน อีกสามปีถัดจากนั้นบรรลุขั้นพิสุทธิ์... และสิบปีหลังจากนั้นแค่กระดิกตัวก็กลายเป็นปรมาจารย์ขั้นสร้างแกน แต่ในความเป็นจริงนั้นทุกอย่างคือฝันกลางวัน
แค่ก้าวแรกก็เหมือนทุกอย่างจะผิดแผนไปหมด ช่วงสองปีแรกที่อยู่ในสำนักกระบี่วิญญาณ นอกจากวิชาพื้นฐานแล้วก็ยังคงเป็นวิชาพื้นฐานเหมือนเดิม
ในฐานะที่เป็นสำนักเก่าแก่ของโลกบำเพ็ญเซียน สำนักกระบี่วิญญาณค่อนข้างเน้นวิชาพื้นฐานของศิษย์ในสำนักอย่างมาก การฝึกของผู้บำเพ็ญในสำนักปกติทั่วไป ต่างเริ่มที่ขั้นฝึกปราณตั้งแต่แรกทันที ดึงพลังปราณเข้าร่าง เดินลมปราณเป็นประจำทุกวัน...จนสำเร็จขั้นฝึกปราณ จากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่ขั้นสร้างฐาน แต่สำนักกระบี่วิญญาณกลับเพิ่มขั้นเพาะกายเข้ามาก่อนขั้นฝึกปราณ พอเห็นแล้วจึงทราบได้ว่านี่เป็นการฝึกร่างกาย ผู้ฝึกตนมือใหม่ต้องฝึกร่างกายจนถึงขั้นจักรพรรดิเซียนเทียน จึงจะเริ่มดูดซับพลังปราณฟ้าดิน แล้วเข้าสู่การบำเพ็ญอย่างเป็นทางการ เหตุผลก็ง่ายมาก เพื่อปรับพื้นฐานนั่นเอง
ก้าวนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับสำนักเก่าแก่โบราณ เช่น สำนักคุนหลุน ไปจนถึงสำนักที่มีมุมมองที่ลึกซึ้งบางสำนักก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน เพราะใช้เวลาไม่นาน... ในแดนมนุษย์ ต่อให้สำนักฝ่ายยุทธชั้นยอดถ่ายทอดวิชาให้กับศิษย์ที่มีคุณสมบัติชั้นหนึ่ง จนถึงระดับจักรพรรดิเซียนเทียนได้ต้องใช้เวลาถึงสิบปี ว่าสำนักบำเพ็ญเซียนเร็วแล้ว สุดยอดห้าสำนักของพันธมิตรหมื่นเซียนเร็วยิ่งกว่า ศิษย์ชุดขาวดำของยอดเขาเร้นลับส่วนใหญ่สำเร็จขั้นนี้ภายในระยะเวลาเพียงสามปีเท่านั้น
ส่วนหวังลู่ในฐานะที่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณ ตามหลักแล้วระดับความเร็วของการบำเพ็ญควรเร็วกว่าศิษย์ชุดขาวดำ แต่สองปีผ่านไป นอกจากความอดทนสุดขีดที่สามารถวิ่งอย่างไม่มีวันเหนื่อยแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย หวังลู่ไม่อาจทลายหินด้วยฝ่ามือและบาทา ไม่สามารถเดินบนหิมะโดยไม่ทิ้งร่องรอย และไม่อาจก้าวข้ามแม่น้ำได้
นี่ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ จอมยุทธ์ในยุทธภพที่ไหนจะเกิดมาจากการวิ่งไกล? ยังดีที่วิดพื้นและลุกนั่งครบร้อยครั้งทุกวัน อีกสามปีอาจจะได้ขึ้นเป็นสุดยอดนักสู้อันดับหนึ่งกระมัง? ทว่าสิ่งที่เหลือทนก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ เหล่าศิษย์ชุดขาวดำและน้ำเงินขาวคนอื่นยังมีโอกาสได้รับคำชี้แนะจากบรรดาศิษย์อาวุโสของสำนักที่มีประสบการณ์กว้างขวาง บางครั้งบางคราวยังมีผู้อาวุโสมาสอนวิชาบังคับให้ หมัดอรหันต์สยบมารเอย แปดกระจายหกประสานเอย... เคล็ดวิชาฝ่ายยุทธหายากที่มนุษย์ใฝ่ฝันหามีมากมายกองเกลื่อนกลาดเต็มพื้นเหมือนมันฝรั่งและหัวผักกาดบนเขากระบี่วิญญาณ
อาศัยแค่หวังลู่คนเดียวไม่ได้น่ะสิ เขามีสถานะเป็นศิษย์ผู้สืบทอด นอกจากวิชาวัฒนธรรมแล้ว เนื้อหาในส่วนของการบำเพ็ญตนล้วนแต่อยู่ในกำมือของอาจารย์ผู้มีพระคุณอย่างผู้อาวุโสห้าผู้ยิ่งใหญ่ของเขาทั้งสิ้น! ให้ผู้อาวุโสห้าขยันหมั่นสอน กระตือรือร้นในการประสิทธิ์ประสาทวิชา... นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
สองปีมานี้ หวังลู่ได้เห็นบรรดาเด็กหนุ่มสาวชุดขาวดำและน้ำเงินขาวรุ่นเดียวกันค่อยๆ กลายเป็นฟางซื่ออวี้กันไปทีละคน ก่อนหน้านี้คนที่มีพัฒนาการไวกว่าคนอื่นอย่างจูฉินยังฝึกถึงสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร พลังต่อสู้เหนือกว่าพวกที่อยู่ในขั้นจักรพรรดิเซียนเทียน! ส่วนหวังลู่ ความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือการวิ่งหนีลิงป่าตัวหนึ่งไปตามเส้นทางไหล่เขาอย่างอดทนบนยอดเขาไร้ลักษณ์
ไม่ว่าความแตกต่างระดับนี้จะเป็นเพราะอาจารย์ผู้มีพระคุณอย่างผู้อาวุโสห้าโง่ หรือเพราะอาจารย์ผู้มีพระคุณอย่างผู้อาวุโสห้าโง่เง่าเกินไป สรุปแล้วสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ ในบรรดาศิษย์ที่ขึ้นเขาในรัชศกเก้าแคว้นปี 6343 การมีอยู่ของหวังลู่คือความแปลกประหลาดพิสดารที่สุด สถานะของเขาสูงที่สุดแต่ระดับการบำเพ็ญกลับต่ำสุด ดันเป็นถึงศิษย์เรียนดีที่คนจำนวนมากอิจฉาริษยา ชีวิตในแต่ละวันของหวังลู่จะต้องปะทะกับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้นำหัวโจกในกลุ่มอย่างจูฉินถากถางหวังลู่ว่าเป็นผู้ฝึกตนขยะไร้ประโยชน์ หวังลู่สวนกลับอย่างไม่เกรงใจว่าหน่วยความจำในสมองของพวกเขาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน วันข้างหน้าเหมาะที่จะเป็นกระถางธูปและส้วมบำบัดความใคร่เท่านั้น... สรุปแล้วมันก็คือการปะทะฝีปากนั่นเอง แน่นอนว่าถ้าพูดถึงความปากจัดด่าคนได้ตามท้องถนน ศักยภาพของหวังลู่เหนือกว่าเป็นไหนๆ แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ได้รู้สึกสนุกอะไรเลย
“จะว่าไป ช่วงนี้จูฉินมาหาเรื่องเจ้าหรือไม่?”
“ครั้งที่แล้วถูกข้าฉะจนพูดไม่ออก ก่อนที่อาการบาดเจ็บทางใจจะดีขึ้น คงไม่กล้าวิ่งโร่มาขอท้าอีกกระมัง?” หวังลู่พูดพลางถือตะเกียบแหงนมองไปบนฟ้า กระหวัดนึกไปถึงความทรงจำก่อนหน้านี้ไม่นานที่ตนปากมงคลพูดกระทบพวกไร้มารยาปากไม่มีหูรูดอย่างจูฉินและบรรดาลูกกระจ๊อกจนแทบกระอักเลือกจนสลบ
เถ้าแก่เนี้ยวางถ้วยข้าวพลางว่า “พูดแล้วก็ตลก ทั้งๆ ที่รู้ว่าผลของการการยั่วยุศิษย์ผู้สืบทอดต้องพ่ายแพ้กลับไปอย่างอนาถ ไฉนถึงยังอยากลองดี? แค่ความต่างของสีชุด การบำเพ็ญของพวกเขาจะก้าวหน้าเร็วขึ้นอีกแค่ไหนก็ไม่มีความหมายแม้แต่นิด ดีไม่ดียั่วจนเจ้าไปฟ้องผู้อาวุโสฝ่ายวินัย พวกเขานี่แหละจะเสียหาย”
ทว่าหวังลู่กลับส่ายศีรษะ “ก็มิได้มีความโกรธแค้นอะไรกันมาแต่ชาติปางก่อน แค่ต่างฝ่ายต่างเหม็นขี้หน้าแล้วอยากทำสงครามน้ำลายเท่านั้น แต่...ได้รับชัยชนะจากการด่าทุกครั้งแต่การบำเพ็ญกลับไม่เอาไหน เรื่องจะไปฟ้องอะไรนั่นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ยิ่งนานวันเข้าชื่อเสียงของข้าก็มีแต่จะยิ่งป่นปี้ วันหน้าวันไหนเกิดถูกคนเหยียบขึ้นมาจริงๆ คงพูดได้แต่คำว่าซวยเท่านั้น อย่างไรซะการจะได้มาซึ่งชัยชนะบนวิถีแห่งเซียนอมตะก็คือการบำเพ็ญตน แม้ว่าวรยุทธ์ด้านการด่าจะสูงขนาดไหน แต่ในสนามจริงข้าก็ยังไม่อาจสู้พวกเขาได้”
เถ้าแก่เนี้ยอึ้งเล็กน้อยกล่าวด้วยความแปลกใจ “เจ้าเข้าใจชัดเจนไม่เบาเลยนะเนี่ย ข้ายังนึกว่าพอได้ตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดแล้วเจ้าจะคิดว่าตัวเองเก่งกาจไร้ผู้ใดเทียมเสียอีก”
“…นั่นก็ต้องดูว่าเป็นศิษย์สืบทอดของใครมิใช่รึ? หากเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสำนักก็ว่าไปอย่าง พอได้อาจารย์พรรค์นั้น บอกตามตรงว่าข้ากังวลเหลือเกินว่าวันข้างหน้าจะถูกนางถ่วง... อันที่จริงตอนนี้ข้ารู้สึกว่าท่าทางของอาจารย์ลุงหลิวเสี่ยนที่ปฏิบัติต่อข้านั้นติดลบอยู่หลายส่วน”
เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้า “อืม หลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อเจ็บแค้นเคืองโกรธอาจารย์เจ้าเป็นที่สุด ดังนั้นความเกลียดชังนี้ต้องส่งผลต่อเจ้าแน่นอน”
“บัดซบ! สองคนนั้นเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากเจ้าสำนักมิใช่รึ? อยู่ในรายชื่อบัญชีดำของสองคนนี้ โอ้โห อาจารย์ที่เคารพรักของข้าเจ๋งสุดยอดไปเลย”
หลังจากที่ยกย่องสรรเสริญ หวังลู่ก็จิ๊ปากอีกหลายครั้ง “อนิจจาชีวิตนี้ อยู่ยากเหลือกิน”
ฟังถึงตรงนี้เถ้าแก่เนี้ยก็เริ่มเป็นห่วงอนาคตของหวังลู่ขึ้นมาจริงๆ เมื่อสองปีก่อนตอนครั้งแรกที่ได้พบกัน เด็กหนุ่มสดใสมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยศักยภาพ กระทั่งคนที่พบเห็นเด็กหนุ่มสาวอัจฉริยะมากความสามารถบนโลกบำเพ็ญเซียนจนชินชาอย่างนางยังรู้สึกสนใจ สองปีผ่านไป ชะตากรรมของหวังลู่กลับมืดมนโดยแท้...
“เอาน่า อย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้ามาฝึกวิทยายุทธ์กับข้าเถอะ”
“ฝึกวิทยายุทธ์?” หวังลู่วางชามข้าวลง ขมวดคิ้วมุ่นก่อนว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
เถ้าแก่เนี้ยอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ไหนๆ ตอนนี้เจ้าก็กำลังอยู่ในขั้นเพาะกาย ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ประตูบำเพ็ญเซียนอย่างเป็นทางการ ฝึกวิทยายุทธ์ของแดนมนุษย์กับข้า อาจจะสามารถเพิ่มสมรรถภาพทางด้านร่างกายและเร่งความเร็วในการฝึกขั้นเพาะกาย และมีทักษะป้องกันตัวเองสักหน่อย วันหน้าวันใดหากคนอย่างจูฉินมาหาเรื่อง เจ้าจะได้ซัดกลับไปอย่างไม่อายใคร อย่าไปคิดเรื่องที่ว่าจูฉินดึงพลังปราณเข้าสู่ร่างกายสำเร็จแล้ว ลองเจอปรมาจารย์ด้านยุทธของจริงเป็นไร จัดการเขาก็เหมือนเหยียบมดอย่างไรอย่างนั้น!”
หวังลู่ไม่สงสัยแปลกใจแม้แต่นิดเมื่อได้ยินคำพูดอวดภูมิของเถ้าแก่เนี้ย สองปีก่อนสาวน้อยที่กลายร่างเป็นเงาดำอ๊าตะตะคนนี้ ผู้ที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญไร้ใครเทียมและมีกำปั้นมหาประลัยที่ทำลายอาวุธวิเศษด้วยมือเปล่า หวังลู่ยังคงจำได้อย่างแม่นยำไม่มีลืม! ตลอดระยะเวลาสองปีที่พบกัน แม้ว่านางหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องละเอียดอ่อนบางอย่าง แต่เถ้าแก่เนี้ยมีฝีมือยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าหวังลู่กลับลังเลเล็กน้อย “แล้วสิ่งนี้...จะส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญด้านอื่นๆ หรือไม่?”
เถ้าแก่เนี้ยตบไปที่อกแล้วรับประกันหนักแน่นว่า “เจ้าวางใจได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน วรยุทธ์ที่ข้าสอนให้เจ้านั้นไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นพิษ เจ้าแค่ฝึกอย่างสบายใจ ฝึกให้ถึงขั้นไร้เทียมทานแล้วไปเหยียบจูฉินก็พอ! หากเจ้าสามารถเหยียบเจ้านั่นได้จริง นั่นก็หมายถึงยอดเขาไร้ลักษณ์ชนะยอดเขาเร้นลับเช่นกัน ถือเป็นการสร้างเกียรติให้อาจารย์ของเจ้าด้วย”
“บัดซบ! ข้าฝึกวิทยายุทธ์ไร้เทียมทานเพื่อสร้างเกียรติให้อาจารย์อย่างนั้นหรือ? แต่...ไหนๆ ก็ว่างแล้ว เถ้าแก่เนี้ย ไม่สิ ท่านอาจารย์ที่เคารพ โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วย!”
ระหว่างที่พูด หวังลู่ก็ปักตะเกียบคู่หนึ่งลงบนชามข้าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก้มศีรษะเคารพอย่างน้อมน้อม
“ระยำ! อย่ามาจุดธูปบูชาข้า!”
....................................