ภาค 2 ตอนที่ 2 เรารักอาจารย์ฮว๋า!
30ตอนที่ 2 เรารักอาจารย์ฮว๋า!
วิชาประวิติศาสตร์เก้าแคว้นขั้นพิเศษในหอถังอวิ๋นบนยอดเขาเร้นลับแห่งหุบเขากระบี่วิญญาณเริ่มขึ้นอย่างตรงเวลา
อาจารย์ประจำวิชาสวมชุดคลุมผลึกแก้วระยิบระยับงามจับตา ก้าวผ่านประตูด้วยรัศมีเจ็ดสีที่เรืองรองเจิดจรัสกระแทกตาคนมองจนแทบจะทำให้ตาบอด ทันใดนั้นเองหอเถิงอวิ๋นก็มีเสียงโห่ร้องปรบมือเกรียวกราวระลอกหนึ่งดังกระหึ่มต้อนรับการมาเยือนของอาจารย์
“อรุณสวัสดิ์ท่านอาวุโสเก้า!”
“อรุณสวัสดิ์อาจารย์ฮว๋า!”
“อาจารย์ฮว๋า พวกเรารักท่าน!”
ผู้มาเยือนคือผู้อาวุโสเก้าฮว๋าอวิ๋นแห่งยอดเขาเสรี ผู้อาวุโสหญิงที่อายุน้อยที่สุดของหอกระบี่สวรรค์
แม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้อาวุโส ทว่าใบหน้างามงดงามสดใสนั้นกลับเหมือนดรุณีอายุสิบหกสิบเจ็ดมิปาน รอยยิ้มอ่อนหวานพราวเสน่ห์ทำให้นางดูเหมือนสาวน้อยแรกแย้มข้างบ้านที่ชวนดึงดูดเข้าหา บวกกับอุปนิสัยน่ารักสดใสและมีชีวิตชีวาที่ไม่มีการวางมาดผู้อาวุโสของฮว๋าอวิ๋น ทำให้นางได้รับความนิยมในหมู่ลูกศิษย์ที่สุด
และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญว่าเหตุใดวิชาประวัติศาสตร์ขั้นพิเศษจึงมีศิษย์มากถึงยี่สิบคน ในขณะที่วิชาภูมิศาสตร์อาณาจักรเก้าแคว้นของอาจารย์หลิวเสี่ยนกลับมีศิษย์เพียงห้าหกคนเท่านั้น บรรยากาศอึมครึมยิ่งยวด
“อรุณสวัสดิ์ทุกคน! วันนี้ข้ามาสอนทุกคนอีกแล้ว~” ผู้อาวุโสเก้าเดินไปยังหน้าห้องพลางโบกมือยิ้มทักทายศิษย์ทุกคน แล้ววางตำราหนาเล่มหนึ่งบนแท่นบรรยาย
“อืม ทุกคนโปรดเงียบและนั่งให้เป็นระเบียบ คนที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า สามารถไปนั่งด้านหลังแล้วอาศัยช่วงที่ข้าเผลอแอบกินเงียบๆ ส่วนคนที่ปวดทุกข์สามารถลุกออกไปได้ตลอดเวลา แต่ขอให้อย่ารบกวนคนอื่น เอาล่ะตอนนี้...ทุกคนเปิดตำรา”
ขณะที่พูด ฮว๋าอวิ๋นก็สะบัดมืออันเรียวเล็กเบาๆ จากนั้นบนโต๊ะของศิษย์ทุกคนก็ปรากฏตำราเล่มหนึ่งที่ปลอกตำราเขียนว่า : ประวัติศาสตร์อาณาจักรเก้าแคว้นขั้นพิเศษ บรรทัดล่างมีข้อความเล็กๆ สลักว่า โดยสำนักกระบี่วิญญาณ หลังจากที่ศิษย์ทั้งหลายได้รับตำรา ต่างก็พลิกไปยังหน้าที่กำหนด รออาจารย์ฮว๋าอวิ๋นบรรยายเนื้อหา
“ครั้งที่แล้วเราพูดกันในเรื่องยุครุ่งเรืองตอนปลายจบพอดี พร้อมกับได้แนะนำผู้บำเพ็ญอัจฉริยะที่อาภัพไร้วาสนาหลายท่าน บทต่อไปจะเป็นเรื่องกลียุค เนื้อหาทั้งหมดของบทนี้จะค่อนข้างน่าเศร้า เหล่าวีรบุรุษมีชื่อเสียงที่ได้เรียนกันไปแล้วก่อนหน้าล้วนต้องล่มจมและอยู่ในสภาวะตกต่ำในบทนี้ เช่น ปฐมาจารย์เผิงหลาย และปรมาจารย์แห่งเต๋าเมี่ยวสี่... ข้าไม่ค่อยสบายใจนักและทรมานใจยิ่งยวดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเราจะไปไวขึ้นเล็กน้อย ข้ามรายละเอียดแล้วบอกแค่ว่าพวกเขาตายก็พอ ครั้งหน้าข้าจะขึ้นเรื่องการฟื้นตัวและการเกิดใหม่ของสรรพสิ่ง และจะแนะนำวีรบุรุษผู้กล้าใหม่ๆ หนึ่งในนั้นจะมีปฐมาจารย์สำนักกระบี่วิญญาณของเราด้วยนะ!”
พูดจบด้านล่างก็มีเสียงตอบรับเกรียวกราวดังกระหึ่มขึ้นทันที
“ดี!”
“ผู้อาวุโสเก้าจงเจริญ!”
“อาจารย์ฮว๋า พวกเรารักท่าน!”
ฮว๋าอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน “ข้าก็รักพวกเจ้าเช่นกัน! คิดไม่ถึงว่าวิชาประวัติศาสตร์เก้าแคว้นขั้นพิเศษที่สุดแสนน่าเบื่อจะมีคนมาเข้าเรียนเยอะขนาดนี้ ข้าดีใจและซาบซึ้งเป็นที่สุด... แต่เวลาของเรามีจำกัด ดังนั้นทุกคนโปรดเงียบ ข้าจะเริ่มเข้าเนื้อหาแล้วนะ”
ภายในห้องโถงเถิงอวิ๋นเงียบสงบลงทันที หลงเหลือแต่เพียงเสียงอันไพเราะอ่อนหวานของฮว๋าอวิ๋นที่ดังอยู่ข้างหู
“กล่าวว่า สาเหตุของการเกิดกลียุค จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เนื่องจากการมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นมากเกินไป ดังนั้นจึงพูดยากว่าเกิดจากสาเหตุใด...นักเรียนที่สนใจสามารถไปหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องได้ หอคัมภีร์ของสำนักกระบี่วิญญาณของเรามีข้อมูลนี้อยู่ไม่น้อย แต่นี่มิใช่ประเด็นสำคัญของวันนี้ สรุปก็คือ ด้วยสาเหตุหลากหลายประการ แผ่นดินเก้าแคว้นเมื่อหลายพันปีก่อน พลังปราณฟ้าดินเกิดปั่นป่วนเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงผิดปกติ รุนแรงระดับไหนล่ะ? น่าจะประมาณคล้ายพายุของเก้าขุนพลสวรรค์ที่ซัดกระหน่ำแผ่นดินกระมัง... ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ เมื่อผู้ฝึกตนบำเพ็ญตบะถึงระดับหนึ่ง การถ่ายพลังปราณฟ้าดินจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเพียงชั่วคราวของโลกข้างนอก ยังจัดการขัดขวางหรือปรับตัวผ่านวิธีต่างๆ ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงของกลียุคไม่เพียงรุนแรงเท่านั้นแต่ยังกินเวลาต่อเนื่องเป็นเวลาถึงสองร้อยปีเต็มๆ และสองร้อยปีต่อมา พลังปราณฟ้าดินหมดสิ้นไป โลกบำเพ็ญเซียนจึงเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม...”
เล่าถึงตรงนี้ ใบหน้าของฮว๋าอวิ๋นก็ปรากฏร่องรอยความเจ็บปวด
“เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ผู้บำเพ็ญตนที่มีพลังแข็งแกร่งก็อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด บทที่แล้วเราพูดถึงการเกิดของบรรดาอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมของยุคปลายรุ่งเรือง พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้รับเคราะห์กลุ่มแรก ความเร็วในการทะลวงขั้นตบะของพวกเขาเร็วที่สุด วิทยายุทธ์ที่ฝึกล้วนเป็นวิชาขั้นสูง และความสามารถในการถ่ายพลังปราณฟ้าดินก็แข็งแกร่งที่สุด พูดได้ว่าอนาคตต้องมีความสามารถที่ไร้ขีดจำกัดแน่นอน ทว่าเมื่อกลียุคมาเยือน ข้อดีทั้งหมดเหล่านี้กลับกลายเป็นภาระ ทันทีที่โลกภายนอกเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ถูกบดขยี้ หลังจากนั้น...จากตำราทุกคนก็เห็นแล้วว่า หานจื่อซวงที่ทุกคนชื่นชอบที่สุดผู้นั้นต้องเจอกับเคราะห์ร้ายตั้งแต่ปีแรกของกลียุค ตอนนั้นนางเพิ่งบรรลุถึงขั้นหลอมรวมได้สำเร็จ อนาคตกำลังสดใสรุ่งโรจน์ ถูกผู้คนยกย่องนับถือว่าเป็นเซียนอมตะ”
ฮว๋าอวิ๋นเงยหน้าขึ้น พบว่าในห้องโถงตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึมหมองหม่น “เอาล่ะ เนื้อหาส่วนนี้ถ้าพูดต่อไปเห็นจะทรมานและน่าเศร้าเกินไป ดังนั้นข้าจะไปไวขึ้นอีกนิด…”
เวลาในชั้นเรียนผ่านไปเร็วยิ่ง เพียงไม่นานฮว๋าอวิ๋นก็บรรยายจนมาถึงตอนสุดท้าย
“…ดังนั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าชื่ออินผู้มีพลังอำนาจจนผู้คนตะลึงและอยู่บนโลกบำเพ็ญเซียนมานานกว่าพันปี ก็จบชีวิตอันรุ่งโรจน์ของตนบนความสิ้นหวังและทุกข์ระทม เนื่องจากการหมดไปของพลังปราณฟ้าดินหลังกลียุค ทำให้มหาผู้บำเพ็ญผู้นี้ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนสิ้นชีวิต หลังรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับปรมาจารย์แห่งเต๋าชื่ออิน ต่อให้เหล่าผู้บำเพ็ญจะพยายามหลอกตัวเองอย่างไร สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า หลังจากพลังปราณฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง วิทยายุทธ์ขั้นสูงส่วนใหญ่มิอาจฝึกได้อีกต่อไป เนื่องจากหากฝืนฝึกต่อไปมีสิทธิ์ธาตุไฟเข้าแทรก และเมื่อถึงตอนนั้นเทพองค์ไหนก็ไม่อาจยื้อชีวิตได้ แม้แต่ปรมาจารย์แห่งเต๋าอย่างชื่ออินยังมิอาจหนีพ้น ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จึงไม่จำเป็นต้องทดลองให้เสียเวลา ดังนั้นหลายร้อยปีมานี้จึงไม่มีปรากฏการณ์ตัวอย่างผู้บำเพ็ญที่เกิดความผิดพลาดจนธาตุไฟเข้าแทรก อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนั้นสุดยอดวิทยายุทธ์ขั้นสูงของโลกบำเพ็ญเซียนจึงหายไปกว่าครึ่ง แน่นอนว่าฟังดูแล้วน่าเสียดาย แต่หากเป็นวิทยายุทธ์ที่ฝึกแล้วต้องตาย ให้มันหายสาบสูญยังจะดีเสียกว่า... เอาล่ะ บทกลียุคก็จบลงตรงนี้”
พูดถึงตรงนี้ ก็มีเสียงปรบมือดังกระหึ่มมาจากด้านล่างเวที เพื่อเป็นการรำลึกและแสดงถึงการจบลงของวิชาประวัติศาสตร์อันแสนสนุกสนานหาใดเทียบ
บทเรียนในเรื่องกลียุค ไม่ได้บรรยายง่ายๆ
เมื่อหกพันปีก่อน กลียุคทำให้โลกบำเพ็ญเซียนล่มสลายติดต่อกันเป็นเวลาสองร้อยปีเต็ม ในระหว่างที่พลังปราณฟ้าดินปั่นป่วนโกลาหล ผู้บำเพ็ญจำนวนมากต้องตายด้วยสาเหตุธาตุไฟแทรก ระบบโครงสร้างเก่าแก่ของโลกบำเพ็ญเซียนจึงพังทลายลง โลกบำเพ็ญเซียนโกลาหลวุ่นวาย สรรพสิ่งสลายกลายเป็นเถ้าธุลี และในช่วงสองร้อยปีนั้น ผู้บำเพ็ญมากกว่าแปดส่วนต้องจบชีวิตลง และสำนักมากกว่าเก้าส่วนถึงคราล่มสลาย... จนกระทั่งหกพันปีต่อมาก็ยังไม่อาจฟื้นคืนสู่ความรุ่งโรจน์เหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมาได้
แน่นอนว่าหากพูดปากเปล่า ยากมากที่จะทำให้คนเห็นภาพ กลียุคเลวร้ายแค่ไหนกันแน่? แค่เพียงเห็นจุดเล็กๆ ก็สามารถเดาเรื่องได้ทั้งหมด
เพื่อความเร็วในการบรรยาย ฮว๋าอวิ๋นจึงย่นเนื้อหาด้วยการข้ามรายละเอียดไปจำนวนมาก สุดท้ายเนื้อหาที่หนากว่าร้อยแผ่น เดิมทีต้องแบ่งออกเป็นสามช่วง กลับถูกบรรยายจนจบภายในครั้งเดียว ให้การบ้านท้ายบทเรียนด้วยการท่องรายชื่อผู้บำเพ็ญเลื่องชื่อที่สิ้นอายุในช่วงเวลานั้น
“ผู้อาวุโสหยวนเยวี่ย ปฐมาจารย์เผิงหลาย นักพรตฟางเจิน พระอาจารย์เซียนอวิ๋น ผู้อาวุโสหมิงเจียง ปรมาจารย์แห่งเต๋าเมี่ยวสี่... ผู้อาวุโสมารเลี่ยหยาง จื่อหลี่แห่งกระบี่เซียน เซียนเป่ยเห๋อ ปรมาจารย์แห่งเต๋าท่าเสวี่ย”
และด้วยเหตุนี้ คาบเรียนนี้ก็ยังกินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ด้วยฮว๋าอวิ๋นเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดใหม่ พลังปราณชีพจรคงที่ตลอด จึงท่องชื่อเหล่านี้ด้วยลมหายใจเดียว และไม่จำเป็นต้องย้ำว่ารายชื่อเหล่านี้ตายอย่างอเนจอนาถเพียงใด
อันที่จริงการเรียนการสอนแบบท่องจำรายชื่อผู้ตายแบบนี้ หลังจากที่สำนักกระบี่วิญญาณทำการทดลองศึกษามานานหลายปีก็พบว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ก่อนหน้านี้ในวิชาประวัติศาสตร์ ผู้อาวุโสจะสร้างภาพมายาฉากใหญ่เพื่อให้นักเรียนรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ แต่เมื่อถึงเนื้อหาในช่วงกลียุค แม้จะฉายภาพเหตุการณ์ตอนนั้นเพียงสั้นๆ แต่ประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าคาวเลือดเช่นนี้ก็อาจสร้างความบอบช้ำทางจิตใจให้กับลูกศิษย์ได้
โดยเฉพาะเมื่อห้าสิบปีก่อนที่ผู้อาวุโสห้ารับหน้าที่เป็นอาจารย์ นางเพิ่มความสมจริงของภาพมายาจนถึงขีดสุดในระดับที่ทำให้ลูกศิษย์กลัวจนเสียสติ หลังจบชั่วโมงเรียนนั้น กระทั่งศิษย์ชุดขาวดำขั้นพิสุทธิ์สามคนก็ยังกลัวจนฉี่ราด คลานออกมาจากห้องอย่างทุลักทุเล ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ชุดน้ำเงินขาวคนอื่นๆ และก็เนื่องมาจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผู้อาวุโสห้าถูกปลดออกจากตำแหน่งอาจารย์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เครื่องมือการสอนทั้งหมดที่เกี่ยวกับกลียุคจึงถูกตัดออกไป การใช้ภาพมายาถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด เครื่องมือการสอนถูกตัดไปมากกว่าแปดส่วน แต่เมื่อฮว๋าอวิ๋นรับหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำวิชา จึงย่อเนื้อหาให้เหลือแต่รายชื่อคนตายซะเลย ซึ่งได้รับการชมเชยจากศิษย์อย่างมาก
เมื่อบรรยายจบ ฮว๋าอวิ๋นก็จัดการเก็บของบนแท่นบรรยายพลางกล่าวว่า “เอาล่ะ บทหน้าข้าจะพูดเรื่องการคืนชีพและเกิดใหม่ของสรรพสิ่ง ซึ่งถือเป็นยุครุ่งอรุณของวีรบุรุษผู้ห้าวหาญ หวังว่าทุกคนจะมาเข้าเรียนตรงเวลา ครั้งนี้ไม่มีการบ้าน... ขอเพียงทุกคนกลับไปเตรียมตัวล่วงหน้า เอาล่ะ เจอกันครั้งหน้าจ้ะ!”
ฮว๋าอวิ๋นพูดจบ ก็เหาะออกไปราวกับสายลมท่ามกลางเสียงเป่าปากโห่ร้องและปรบมือของนักเรียน
การเรียนในช่วงสายจบลง บรรดาศิษย์ในห้องโถงจับกลุ่มทยอยออกจากห้อง ศิษย์ชุดน้ำเงินขาวส่วนใหญ่กลับไปยังยอดเขาเสรี ส่วนพวกชุดขาวดำบางส่วนใช้โอกาสก่อนถึงเวลาอาหารนั่งสมาธิเข้าฌาน หรือไม่ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับศิษย์คนอื่นๆ
สำหรับศิษย์ผู้สืบทอดอย่างหวังลู่ อยู่ที่นี่ก็เหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไร แม้จะมีบารมีของอาจารย์คุ้มหัวได้ตั๋วอาหารระยะยาวที่สามารถกินดื่มได้อย่างไม่จำกัดจำนวนครั้งของยอดเขาเร้นลับมาใบหนึ่ง แต่การที่ศิษย์ผู้สืบทอดมากินอาหารได้อย่างอิสระบนยอดเขาเร้นลับ สำหรับสำนักกระบี่วิญญาณนี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นจึงเป็นที่สนใจ
ถูกจับตามอง และเขาก็รู้สึกกดดันทุกครั้งที่นั่งกินข้าวเนื่องจากถูกจ้องมองราวกับเป็นตัวนำโชคหายาก
ยิ่งไปกว่านั้นชื่อเสียงฉาวโฉ่ของโรงอาหารบนยอดเขาเร้นลับนั้นใครๆ ก็รู้ หลายปีก่อน พ่อครัวใหญ่เหมือนมีความแค้นอะไรกับลูกศิษย์ ผักศักดิ์สิทธิ์และเนื้อวิเศษที่ไม่มีในแดนมนุษย์ล้วนถูกปรุงออกมาไม่ต่างอะไรกับอึสุนัข เมื่อถามเหตุผล เขากลับบอกปัดว่าเป็นคุณค่าทางโภชนาการอะไรนั่น สร้างความขุ่นเคืองอย่างมากในหมู่ศิษย์
ที่อัปยศกว่านั้นคือ เมื่อปีที่แล้วผู้อาวุโสหลิวเสี่ยนแห่งยอดเขาเร้นลับตัดสินใจปฏิรูปโรงอาหารอย่างมุ่งมั่น เพื่อปรับปรุงคุณภาพของอาหารให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าถูกใครยุให้เปลี่ยนอุดมการณ์ไปเน้นในเรื่องความริเริ่มสร้างสรรค์ จ้างพ่อครัวชื่อดังจากดินแดนตะวันตกด้วยค่าจ้างแพงหูฉี่เพื่อทำอาหารรูปแบบตะวันตกชุดใหญ่ให้กับยอดเขาเร้นลับ นอกจากนี้พ่อครัวคนนั้นก็มีจรรยาบรรณสุดๆ วันแรกที่มาถึงสำนักกระบี่วิญญาณ พอรู้ว่าเจ้าสำนักพำนักอยู่ที่ยอดเขาประกายดาวก็รังสรรค์อาหารชุดใหญ่ที่ชื่อว่า ‘แหงนมองดารา’ ขึ้นมาเพื่อเป็นของบรรณาการ หัวปลาสิบกว่าหัวปักอยู่บนหน้าเล่าปิ่ง คล้ายกำลังทำพิธีสาปแช่งโลก เป็นอาหารมื้อสยองเขย่าขวัญผู้คนอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นศพปลาที่ตายังปิดไม่สนิทสิบตัวนั้น สีหน้าของหลิวเสี่ยนก็ซีดเผือดไม่ต่างอะไรกับเล่าปิ่ง ทว่าในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ขึ้นหลังเสือยากจะลง คิดได้ก็สายไปเนื่องจากสัญญาถูกเซ็นเรียบร้อยแล้ว!
เสียเงินเป็นพันหมื่นก้อนศิลาวิญญาณทุกปี แต่กลับได้พ่อครัวดาราแห่งท้องนภามาคนหนึ่ง น่าอายเสียจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่สัญญายังอยู่จึงมิอาจยกเลิกได้ เนื่องจากจะทำให้สำนักสูญเสียเงินทุนเปล่าๆ ดังนั้นสัญญานี้ยังคงอยู่ต่อไปและพ่อครัวดาราแห่งท้องนภาก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพ่อครัวใหญ่ของโรงอาหารยอดเขาเร้นลับ และหลังจากที่เขาควบคุมดูแลโรงอาหารของยอดเขา ปรากฏการณ์ที่บรรดาศิษย์ชุดขาวดำยกขบวนวิ่งแห่ไปกินข้าวที่ยอดเขาเสรีก็กลายเป็นเรื่องปกติ จะว่าไปก็เป็นการกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสื่อสารระหว่างศิษย์ในสำนักเหมือนกัน...
อีกด้านหนึ่ง ราคาตั๋วอาหารระยะยาวของยอดเขาเร้นลับจึงลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งผู้อาวุโสห้าผู้ที่ตลอดหลายปีมานี้ไม่ยอมจ่ายหนี้ก็พบว่าตั๋วอาหารใบนี้ถูกจนนางหวั่นไหว... จึงย้ายที่กินข้าวของหวังลู่ไปที่ยอดเขาเร้นลับทันที
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นปลาทอดกับมันฝรั่ง หรือมันฝรั่งกับปลาทอด มารดามันเถอะขออย่าให้เป็นไส้กรอกเครื่องในแกะอีกเลย หม่อมฉันกินไม่ลงจริงๆ...”
หวังลู่แอบอธิษฐานเงียบๆ ในใจต่ออาหารของวันนี้ให้มีความเป็นมนุษย์สักนิด ทว่าพอคิดถึงแนวทางในการปรุงอาหารของพ่อครัวดาราแห่งท้องนภาคนนั้นแล้วก็คิดในแง่ดีต่อไปไม่ไหว โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงช่วงก่อนที่มีศิษย์พี่น้องวิปริตหลายคนมาจากยอดเขาเสรี รสชาติยิ่งแปลกเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบอกชอบใจถูกปากจนไม่สามารถหยุดกินได้ ไม่ว่าจะเป็นแหงนมองดารา ไส้กรอกเครื่องในแกะ หรือแม้แต่เล่าปิ่งไตลูกวัวอะไรนั่น...ล้วนแล้วแต่กินอย่างเอร็ดอร่อย! กินไปก็สรรเสริญยกย่องไป จนพ่อครัวดารานภาดีใจจนแทบกลิ้งไปทั่วห้อง พร้อมสัญญาว่าจะพยายามทำอาหารดั้งเดิมของดินแดนตะวันตกออกมาให้ทุกคนกินไม่หยุดหย่อน
มารดาเถอะ คนจากดินแดนตะวันตกกินขี้กันหรือ?
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น พลันมีหินก้อนหนึ่งพุ่งตรงมายังศีรษะ ปฏิกิริยาของหวังลู่ค่อนข้างเร็ว แค่ยื่นมือออกไปหินก้อนนั้นก็อยู่ในกำมือ เขาชะงักไปครู่หนึ่งก็หลุดขำออกมาอย่างอดไม่ได้
มองไปรอบทิศ ในที่สุดเขาก็เจอเงาดำที่คุ้นเคยยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
คนผู้นั้นสวมชุดดำยาวหนาทึบ แม้จะเป็นชุดที่เรียบง่ายแต่กลับไม่อาจปกปิดใบหน้าและท่าทางที่งดงามพริ้มเพรานั้นได้ ใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มน่ารักสดใสแต่กลับมีกลิ่นอายของความป่าเถื่อนและดื้อรั้นหลายส่วน ครั้นหวังลู่เห็นก็ยิ้มออกมาด้วยความปีติยินดีเป็นที่สุด เช็ดน้ำลายแล้วรีบรุดไปหานางอย่างรวดเร็ว!
หมูพะโล้! ไม่สิ เถ้าแก่เนี้ย ข้ามาแล้ว!
.......................................