ภาค 1 ตอนที่ 27 สาแก่ใจจริงๆ!
729ตอนที่ 27 สาแก่ใจจริงๆ!
แน่นอนว่าเจ้าสำนักมิได้เจตนา ในขณะที่คนอื่นกำลังหัวหมุนอยู่กับงานชุมนุมคัดเลือกเซียน เขาก็กำลังวุ่นวายกับเรื่องบางเรื่องจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ จนกระทั่งตอนนี้กายเนื้อก็ยังกลับมาไม่ถึงเขากระบี่วิญญาณเลย เขาคิดว่าในเมื่อมีศิษย์น้องทั้งหลายอยู่แค่ใช้ร่างแปลงดวงจิตก็น่าจะพอรับมือกับสถานการณ์ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าความประมาทชั่วแวบหนึ่งของตนจะเกือบทำให้ทุกอย่างวายวอด!
รับคนที่ไม่น่ารับเข้ามาก็เท่านั้น แต่หากปล่อยหวังลู่หลุดมือไป นึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว
แม้ว่าสิบสองปีมานี้การทำนายของวิชาพยากรณ์ประกายดาวจะเลือนรางไม่ชัดเจนทุกครั้ง อนึ่งสิบสองปีมานี้ความสำคัญของบุตรแห่งอาณัติสวรรค์เองนับวันก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ เช่นกัน ทว่ามั่นใจอย่างมากว่าหลังจากที่ดาวหางมาเยือนโลกบำเพ็ญเซียนก็จะเข้าสู่ยุครุ่งเรือง ในช่วงระยะเวลาสิบสองปี มีสิ่งมหัศจรรย์ที่พบยากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แค่ที่สำนักกระบี่วิญญาณค้นพบและรับเข้าสำนักก็มีถึงสามคนแล้ว แต่หวังลู่คนนี้...
“ศิษย์น้องหญิง เจ้ามั่นใจเรื่องนี้มากแค่ไหน?”
“มารดาเถอะ ท่านเป็นปลาทองที่มีความจำแค่เจ็ดวินาทีหรือเนี่ย? ท่านถามคำถามนี้กี่รอบแล้วยังจำคำตอบไม่ได้อีกรึ? แน่นอนว่าข้ามั่นใจสิบส่วน! และจะมั่นใจสิบส่วนตลอดไป!”
เจ้าสำนักถอนหายใจ เขารู้ว่าศิษย์น้องมั่นใจไม่ถึงสิบส่วนแน่นอน แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยน่าเชื่อถือมาตลอดอยู่แล้ว แต่จะว่าไปคุณสมบัติอันน่าอัศจรรย์ใจของหวังลู่คนนี้แทบไม่เคยพบเห็นมาก่อนจริงๆ จะว่าเขาเป็นบุตรแห่งอาณัติสวรรค์ก็คงไม่เกินไป เพราะครอบครองรากวิญญาณในตำนานอย่างรากวิญญาณนภา แค่พูดถึงมูลค่าของสะสมชิ้นนี้เพียงอย่างเดียวก็ยากจะตีราคาแล้ว บวกกับผลทำนายของวิชาพยากรณ์ประกายดาวอีก...
“ดี เช่นนั้นก็รับเขาเข้ามา นอกจากนี้เขายังมีเหรียญทองแดงโบราณเมฆานภาในมือ...”
หลังการปรึกษาหารือกันทั้งสองก็กลับไปที่หอเมฆาเร้นลับอีกครั้ง ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่เหลือก็อดรนทนรอไม่ได้
หลิวเสี่ยนจึงถามว่า “ศิษย์พี่ ตอนนี้ควรทำอย่างไรกันดี?”
“ลองฟังดูก่อนว่าเขาจะว่าอย่างไร” เจ้าสำนักที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าผู้อาวุโสยังคงมีท่าทีเยือกเย็นไม่เป็นกังวล แล้วก็ไม่มีทางพูดถึงเรื่องเข้าใจผิดมหันต์ที่ตนก่ออย่างคนตาบอดไร้การศึกษา “สำนักกระบี่วิญญาณเป็นสถานที่ที่มีกฎระเบียบ”
ผู้อาวุโสคนอื่นส่วนใหญ่ต่างก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ลองฟังความเห็นของทุกคนก่อนดีกว่า อย่างไรซะหากเข้าสำนักก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
อีกอย่าง ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของหวังลู่ได้อยู่แล้ว
“หา? ให้ข้าขออะไรก็ได้ตามใจชอบได้หนึ่งอย่างจริงๆ รึ?”
ด้านนอกหอเมฆาเร้นลับ ในที่สุดหวังลู่ก็เผยรอยยิ้มออกมาหลังจากที่รอคอยมานาน
“ดี เช่นนั้นข้าขอเป็นเจ้าสำนักของสำนักกระบี่วิญญาณ!”
“…”
หลังจากความเงียบสงัดอันยาวนาน ก็มีเสียงอันสั่นเทาลอยออกมาจากห้องโถง “เจ้า...ใจเย็นลงหน่อยก็ดี ขออะไรที่เป็นไปได้หน่อยเถอะ”
หลังจากนั้นน้ำเสียงที่คุ้นเคยของหญิงสาวผู้นั้นก็โพล่งขึ้นมาด้วยความเดือดดาล “เจ้ากล้าแย่งตำแหน่งนี้กับข้าเรอะ!?”
หวังลู่จิ๊ปากถาม “เช่นนั้นดูแล้วถ้าขอตำแหน่งผู้อาวุโสก็ไม่น่าจะมีหวังสินะ?”
เสียงจากห้องโถงเสียงหนึ่งดังตอบกลับมาว่า “แม้ว่าจะให้ตำแหน่งผู้อาวุโสแก่เจ้าจริง ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะกอดมันไว้ได้นาน ฐานะผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้ให้ตลอดชีวิต เจ้าอาจจะถูกไล่ออกเมื่อไหร่ก็ได้”
เสียงสบถของหญิงสาวดังขึ้น “ระยำ”
หวังลู่ยังคงต่อรองต่อไป “เช่นนั้นข้าต้องการอาวุธเซียนขั้นสูง”
“ได้สิ รอวันไหนที่มีคนหลอมสิ่งของที่พลิกแผ่นดินหาระดับนี้เมื่อไหร่เราจะมอบมันให้แก่เจ้า เบื้องต้นประมาณการณ์ว่าน่าจะสักห้าพันปีกระมัง”
“…นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ สรุปแล้วพวกท่านมีความจริงใจหรือไม่?”
ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านในห้องโถงกล่าวด้วยความเดือดดาล “ใครกันแน่ที่ไม่จริงใจ? ไม่ขอดวงจันทร์ก็จะขอพระจันทร์ หากเจ้ายังขอพรไปเรื่อยและไม่มีทางเป็นไปได้เช่นนี้ข้าจะตัดสิทธิ์คำขอของเจ้า!”
“โธ่ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ช่วยไม่ได้ ก็ไม่อะไรมาก...ข้าขอเป็นศิษย์ผู้สืบทอดแล้วกัน”
บรรดาผู้อาวุโสตะลึงลาน
ศิษย์ผู้สืบทอด!?
กล่าวตามตรง เงื่อนไขที่ว่ามานี้ดูสมเหตุสมผลกว่าสิ่งที่ขอก่อนหน้าหลายเท่านัก เพียงแต่ว่า...ก็ยังคงสร้างความลำบากใจให้อยู่เล็กน้อย
เนื่องจากศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณนั้นมีจำนวนจำกัด และต่างจากศิษย์ผู้สืบทอดที่มีอยู่เกลื่อนถนนของสำนักธรรมดาทั่วไป ส่วนศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณนั้น ความหมายก็ตามตัวอักษร ต้องแบกรับหน้าที่สืบทอดอันยิ่งใหญ่ไว้บนบ่า นอกจากนี้ มีเพียงผู้อาวุโสของหอกระบี่สวรรค์เท่านั้นที่จะเป็นคนเลือกศิษย์ที่จะมาสืบทอดหน้าที่จากตน เรื่องความเคร่งครัดในการทดสอบนั้น... คร่าวๆ คือผู้อาวุโสแต่ละท่านสามารถแต่งตั้งศิษย์สืบทอดสูงสุดเพียงสองคนเท่านั้น
หากจำนวนมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งยากต่อการดูแลให้ทั่วถึงเท่านั้น และคุณค่าของศิษย์ผู้สืบทอดจะลดลง แต่ในความเป็นจริงตามประวัติของสำนักกระบี่วิญญาณ ผู้อาวุโสส่วนใหญ่จะแต่งตั้งศิษย์ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวเท่านั้น และจนทุกวันนี้เหล่าผู้อาวุโสก็ยังไม่คิดจะทำลายกฎปฏิบัตินี้เหมือนกัน
นอกจากนี้พวกเขาแต่ละคนก็มีศิษย์ผู้สืบทอดของตนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีพื้นที่เหลือ เห็นได้ชัดว่าหวังลู่เป็นได้แค่ตัวนำโชคเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงสืบทอดตำแหน่ง รับคนแบบนี้เป็นผู้สืบทอดสร้างความสำบากให้ตนเองชัดๆ
ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งหลายต่างมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครส่งเสียงออกมาแม้แต่คนเดียว จากนั้นก็รอคอยผู้มีจิตวิญญาณแห่งการเสียสละอย่างเงียบๆ
ปรมาจารย์แห่งเต๋าที่นั่งอยู่ในตำแหน่งอันมีเกียรติสูงสุดกุมขมับ ซาบซึ้งใจในความเสียสละไม่เห็นแก่ได้ของบรรดาศิษย์น้องอย่างยิ่งยวด
“ศิษย์น้องหลิวเสี่ยน ข้าจำได้ เจ้าเคยบอกว่าอยากรับหวังลู่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดไม่ใช่หรือ?”
หลิวเสี่ยนรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ศิษย์พี่ท่านน่าจะฟังผิดแล้ว ท่านก็รู้ตอนนี้ข้ายุ่งกับการดูแลศิษย์ชั้นในจนหัวหมุน ไหนเลยจะมีเวลาว่างรับศิษย์ผู้สืบทอด... นอกจากนี้สำหรับข้าแล้ว ศิษย์สำนักในก็มาจากการทุ่มเททั้งกายและใจของข้า ดังนั้นพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของข้าทั้งหมด”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดที่ทรงเกียรติเช่นนี้ บรรดาศิษย์น้องทั้งหลายก็เหมือนได้รู้จักศีลธรรมด้านใหม่ของศิษย์พี่รอง
เจ้าสำนักต่อถามไปว่า “ศิษย์น้องฟางเฮ่อ เจ้า...”
ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยผู้เคร่งครัดต่อทุกสิ่งกล่าวขึ้นทันทีว่า “ศิษย์พี่ท่านเข้าใจข้าที่สุดว่าข้าไม่ถนัดในเรื่องการสั่งสอนลูกศิษย์อย่างแท้จริง ส่วนศิษย์ผู้สืบทอดก่อนหน้านี้ของข้า...อย่าพูดถึงมันอีกเลย”
ผู้อาวุโสสี่โจวหมิงก็โพล่งขึ้นทันทีเช่นกัน “ศิษย์พี่ท่านเข้าใจข้าที่สุดว่าข้ามีศิษย์ในใจอยู่แล้ว รอแค่ให้นางผ่านด่านทดสอบของยอดเขากระจ่างได้ก็จะเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของข้าทันที”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างบอกเหตุผลและความยากลำบากของตนเอง หวังลู่สามารถเป็นผู้สืบทอดได้ แต่ต้องไม่ใช่ผู้สืบทอดของตัวเองอย่างแน่นอน
นี่ไม่ได้เป็นเพราะคณะผู้บริหารของสำนักกระบี่วิญญาณไม่เคร่งครัดต่อกฎ แต่เพราะการมีผู้สืบทอดเป็นเรื่องสำคัญมาก มิได้เป็นแค่ผู้สืบทอดของอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับอนาคตของแต่ละยอดเขาในสำนักกระบี่วิญญาณเลยทีเดียว ดังนั้นจึงมิอาจประมาทได้... นอกจากนี้ สองท่านที่ควรรับศิษย์ยังไม่พูดอะไรเลย ดังนั้นผู้อาวุโสคนอื่นๆ จึงยังไม่ต้องกังวล
“เฮ้อ ในเมื่อทุกคนต่างก็มีปัญหาของตัวเอง ข้าก็จะไม่บังคับฝืนใจ” เจ้าสำนักถอนหายใจอีกครั้งก่อนเบนสายตาไปหยุดอยู่ที่คนผู้หนึ่ง
“อะแฮ่ม ศิษย์น้องห้า ข้าจำได้ว่าเหมือนเจ้าจะยังไม่เคยรับศิษย์มาก่อน”
ศิษย์น้องห้าที่กำลังอ่านข่าวตามสมัยนิยมบนม้วนหยกจารึกอย่างเบื่อหน่ายกล่าวด้วยความตกใจ “ศิษย์พี่อย่าเอาข้าเข้าไปยุ่งด้วย! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยสักนิด”
เจ้าสำนักกล่าวต่อไปว่า “ทำไมจะไม่เกี่ยว? ผลงานของหวังลู่บนเส้นทางบรรลุเซียนประจักษ์แก่สายตาทุกคน และมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถผ่านด่านไร้มนุษยธรรมที่เจ้าออกแบบได้ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าเจ้าและเขามีวาสนาต่อกัน”
“ข้าไม่ต้องการวาสนาชั่วร้ายแบบนี้!”
เห็นศิษย์น้องห้าต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ศิษย์พี่เจ้าสำนักจึงรีบพูดผ่านกระแสจิตว่า “ศิษย์น้องหญิง ขอร้องล่ะช่วยหน่อยเถอะ ตอนนี้คนในสำนักที่รู้เรื่องบุตรแห่งอาณัติสวรรค์มีเพียงเจ้ากับข้า อีกอย่างเรื่องราวทั้งหมดก็เกิดจากเจ้าและข้าเป็นต้นเหตุ ไม่มีทางบังคับคนอื่นได้แน่”
“หา!? บังคับคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นก็เลยมาบังคับข้าแทนรึ!? หากท่านอยากรับเขาเป็นศิษย์ผู้สืบทอดจริงๆ ก็รับเองสิ ตอนนี้ท่านมีศิษย์ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวมิใช่หรือ รับอีกคนไม่ทำให้ท้องสักหน่อย”
“ศิษย์น้องเจ้าอย่าล้อเล่น ข้ามิได้ว่างบินโฉบไปมาเหมือนเจ้า...พูดถึงตรงนี้ คนที่เหมาะจะเป็นอาจารย์ของเขาก็มีแต่เจ้าเท่านั้น รากวิญญาณนภาเขาแทบจะทำลายเส้นทางการบำเพ็ญของตัวเอง และก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้”
“ศิษย์พี่ท่านเข้าใจข้าที่สุดนี่นา วิชาไร้ลักษณ์กระจอกๆ ของข้าทั้งผิวเผินและตื้นเขิน มิหนำซ้ำยังได้ชื่อว่าเป็นความอัปยศของสำนักกระบี่วิญญาณ ข้าบำเพ็ญมาร้อยกว่าปีก็เป็นได้แค่ขั้นสร้างแกนเท่านั้น อย่าเอาไปหลอกเด็กเลย”
ฟังคำพูดเหล่านี้จบ เจ้าสำนักก็กล่าวขึ้นอย่างเดือดดาลสุดขีด “ผู้อาวุโสห้าที่ถูกยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งของขั้นสร้างแกนแห่งโลกบำเพ็ญเซียน เรียนรู้ที่จะถ่อมตัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ฮ่าๆๆ ข้ามิได้ถ่อมตัว แค่เสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น กับคนที่มีรากวิญญาณนภา ข้าต้องพ่ายแพ้ย่อยยับแน่นอน”
เจ้าสำนักกัดฟันกรอด “…สรุป จะรับหรือไม่รับ?”
“ไม่รับ! ศิษย์ผู้สืบทอดมีเพียงผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้นที่จะแต่งตั้งได้ ตัวข้าตอนนี้ไร้ซึ่งฐานะ กระทั่งเงินอุดหนุนของผู้อาวุโสในแต่ละเดือนก็ยังไม่มี มิหนำซ้ำยังถูกหักเงินเดือนตั้งยี่สิบปีจนแทบอยากจะออกไปขายตัวแลกเงิน ทำไมต้องรับเขาเป็นศิษย์สืบทอดล่ะ?”
“…ได้ ขอแค่เจ้ายอมช่วยข้า ข้าจะคืนเก้าอี้ผู้อาวุโสให้เจ้า ให้เงินอุดหนุนสองเท่าทุกเดือน ส่วนเงินเดือนก็จะแจกเหมือนเดิมตามปกติ”
“นอกจากนี้หนี้สินของข้า...”
“บัดซบ! เงินสองหมื่นศิลาวิญญาณที่ติดข้าก็ไม่ต้องคืน เช่นนี้พอใจหรือยัง!?”
“ช่วงก่อนข้าสนใจยาลูกกลอนหยินสีนิลขวดหนึ่ง...”
“ได้! ข้าซื้อให้เจ้า!”
“โอ๊ะ ยังมีกระบี่ม่วงทำนองอีกเล่มหนึ่ง ข้าชอบสุดๆ ไปเลย”
“บัดซบ! ข้าว่าข้าพิจารณารับเขาเป็นศิษย์สืบทอดของตัวเองก็ได้ แม้ว่าคัมภีร์กระบี่ประกายดาวจะไม่เข้ากับรากวิญญาณนภา แต่ไหนๆ ก็เป็นบุตรแห่งอาณัติสวรรค์แล้ว น่าจะมีวิธีเอาชนะอุปสรรคนี้ได้”
“เวร! ศิษย์พี่ท่านมีกิจธุระการบ้านงานเมืองมากมายอย่าฝืนตัวเองขนาดนี้เลย ข้ารู้สึกว่ากระบี่ม่วงทำนองอะไรนั่นมิได้เข้ากับข้าสักนิด ลืมมันไปเถอะ”
“เหอะ เช่นนั้นแล้วคำไหนคำนั้นใช่ไหม?”
“คำไหนคำนั้น”
การหารือแลกเปลี่ยนของพวกเขาแท้จริงแล้วใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ในขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ยังคงรอดูสถานการณ์อยู่นั้น อดีตผู้อาวุโสห้าผู้ขึ้นชื่อเรื่องปล่อยปละละเลยที่สุดก็ก้าวออกไปอย่างองอาจห้าวหาญ
“ข้าจะรับเจ้าเด็กเปรตนี่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดเอง!”
คนทำผิดถูกลงโทษ สาแก่ใจทุกคนจริงๆ
...............................................