ภาค 1 ตอนที่ 28 อาจารย์ของข้าไม่มีทางไม่ใช่คนโง่
ตอนที่ 28 อาจารย์ของข้าไม่มีทางไม่ใช่คนโง่
งานชุมนุมคัดเลือกเซียนที่ผู้คนจับตามองก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกใจและความผิดหวังของคนจำนวนมาก
งานชุมนุมคัดเลือกเซียนครั้งที่ใช้เวลาร่วมเดือน แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นและสง่างามของสุดยอดห้าสำนักใหญ่ในพันธมิตรหมื่นเซียนอย่างสมบูรณ์ หนุ่มสาวหัวกะทิกว่าพันคนจากทั่วสารทิศในอาณาจักรเก้าแคว้นเดินทางมาเข้าร่วมงานชุมนุมครั้งนี้อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง คนประมาณเก้าส่วนถูกคัดออกในด่านสะพานทองคำเนื่องจากไม่มีความสามารถเพียงพอ นอกจากนี้มีประมาณสิบกว่าคนเลือกเป็นศิษย์ชั้นนอกของยอดเขาเสรี ส่วนเด็กหัวกะทิที่เหลือก็ผ่านแบบทดสอบต่างๆ ในแต่ละด่านอันแสนยากกลำบากบนเส้นทางบรรลุเซียน และในที่สุดคนที่มีฝีมือโดดเด่นทำผลงานออกมายอดเยี่ยมเหนือผู้อื่นสามคนเท่านั้นที่ได้เข้าเป็นศิษย์ชั้นใน
พรสวรรค์ของทั้งสามคนนี้มิได้นับว่าดีเลิศ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจที่สุดคือเหวินเป่าที่มีรากวิญญาณระดับสอง ส่วนที่เหลืออีกสองคนต่างก็เป็นรากวิญญาณระดับสามเท่านั้น... แต่หลังกลียุคครั้งนั้น รากวิญญาณบริสุทธิ์บนโลกบำเพ็ญเซียนกลายเป็นสิ่งหายาก อย่าว่าแต่รากวิญญาณสวรรค์ระดับหนึ่งเลย กระทั่งระดับสองและสามนี้ก็น้อยจนแทบหาไม่ได้ ดังนั้นจึงจุกจิกเรื่องเยอะอะไรมากไม่ได้
นอกจากสามคนนี้ ไห่อวิ๋นฟานเองก็ได้จดหมายแนะนำที่ผู้อาวุโสรองแห่งสำนักกระบี่วิญญาณจรดพู่กันเขียนให้ และได้เป็นศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นยุทธ ส่วนผู้ทดสอบอีกสิบคนที่ยืนหยัดและพยายามจนถึงด่านสุดท้ายต่างก็มีวาสนาของตนเอง หลังจากที่พวกเขาลงจากเขาได้ไม่นาน ก็ถูกผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่จากสำนักบำเพ็ญเซียนต่างๆ ดักรอเพื่อทาบทามเข้าสำนัก คนเหล่านี้เป็นผู้อาวุโสและหัวกะทิจากแต่ละสำนัก และส่วนใหญ่เป็นสำนักระดับสามและสี่ แต่ก็ยังมีระดับสองสองสำนักโผล่ออกมาเช่นกัน
เหตุผลที่กลุ่มเหล่านี้ดักรอ แน่นอนว่าเพื่อทาบทามให้พวกเขามาเป็นศิษย์ของสำนักตนเอง เด็กหนุ่มสาวที่สำนักกระบี่วิญญาณคัดออกเพราะเห็นว่าขาดคุณสมบัติในการฝึกตน แต่สำหรับสำนักอื่นๆ หรือแม้กระทั่งสุดยอดสำนักใหญ่ทั้งสี่ก็ยังมองว่าการจัดงานครั้งนี้ของสำนักกระบี่วิญญาณเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรที่มีพรสวรรค์อันล้ำค่าโดยเปล่าประโยชน์ หลายปีมานี้คนที่มีวาสนาฝึกเซียนนั้นหายากยิ่ง ดังนั้นสำหรับสำนักธรรมดาแล้ว หนึ่งในเด็กหนุ่มสาวที่ตกรอบเหล่านี้ล้วนเป็นความหวังของสำนักได้
และสำหรับผู้ทดสอบที่ตกรอบเหล่านี้ แม้จะเป็นหางหงส์ไม่ได้ เป็นหัวไก่ก็มิได้แย่นัก อยู่ในสำนักกระบี่วิญญาณอย่างมากที่สุดอาจเป็นได้เพียงศิษย์ชั้นในคนหนึ่งเท่านั้น แต่หากอยู่สำนักอื่น เป็นไปได้สูงว่าจะมีโอกาสเป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสำนัก
หากจะพูดถึงโชคชะตาวาสนา นอกจากคนเหล่านี้แล้วก็ต้องนับหวังลู่เข้าไปด้วย
หลังจากที่ใช้เหรียญทองแดงโบราณเมฆานภาแล้ว หวังลู่ก็ได้กราบเข้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณสมปรารถนา นอกจากนี้ยังอยู่ในฐานะศิษย์ผู้สืบทอด มีสถานะสูงกว่าศิษย์ชั้นในธรรมดาหลายขุม
แต่ปัญหาคือ อาจารย์ของเขาเหมือนจะเป็นคนโง่เง่าไร้สติใช่ไหม?
——
มิใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้อาวุโสห้าของสำนักกระบี่วิญญาณ
ครั้งล่าสุดที่พบกันคือช่วงท้ายของเส้นทางบรรลุเซียน ตอนที่หวังลู่ทะลวงขุนเขาวายุน้ำแข็งด้วยกระบี่เดียว แล้วผู้อาวุโสผู้นี้ก็บินมาร่ำไห้คร่ำครวญและทะเลาะกับหวังลู่ไปตลอดทาง
หวังลู่ในตอนนั้นไม่รู้เลยว่าสตรีอาภรณ์ขาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จะเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่สวรรค์ และยิ่งไม่รู้ว่าชะตาของตนและนางจะผูกกันแน่นจนคลายออกไม่ได้เพียงนี้ เมื่อพูดถึงความรู้สึก ความรู้สึกเดียวที่มีคือยายคนนี้สมองพิการ
ทว่าโชคชะตามักกลั่นแกล้งคนเสมอ เหรียญทองแดงเมฆานภาทำให้เขาได้เป็นศิษย์ผู้สืบทอด แต่ก็ให้อาจารย์สมองพิการมาหนึ่งคนเช่นกัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงหลักการความเป็นจริงที่ว่าบนเส้นทางบรรลุเซียนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
หลังจากที่งานชุมนุมคัดเลือกเซียนจบลง เหวินเป่าและอีกสองคนถูกศิษย์ชุดขาวดำพาไปยังที่พำนักอาศัยของศิษย์ชั้นในของยอดเขาเร้นลับ ส่วนหวังลู่ถูกทิ้งอยู่นอกห้องโถงเหมือนสุนัขโดนทิ้งที่ไม่มีคนเหลียวแลตลอดทั้งบ่าย จนกระทั่งตะวันใกล้จะลาลับขอบฟ้า ถึงมีสตรีอาภรณ์ขาวนางหนึ่งเดินมายังเบื้องหน้าเขา
“เอ่อ...สวัสดี”
หญิงสาวชุดขาวไม่เคยคิดจะรับศิษย์มาก่อน และสำนักเองก็ไม่เคยอนุญาตให้นางคิดเช่นกัน ดังนั้นยามนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะทักทายศิษย์ของตัวเองอย่างไร นางมองไปที่หวังลู่อย่างกังวลเล็กน้อย เมื่อเห็นเขามีสีหน้าเย็นชาจึงเกาศีรษะอย่างเก้ๆ กังๆ พลางว่า “ตามที่เจ้าสำนักได้ว่าเอาไว้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปข้าก็คืออาจารย์ของเจ้า ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารับศิษย์ ดังนั้นโปรดอ่อนโยน...เอ๊ย ไม่ใช่ สรุปก็คือ พวกเรามาลองด้วยกันเถอะ”
หวังลู่จ้องไปยังผู้อาวุโสห้าตรงหน้า เริ่มคาดเดาในใจว่าหรือสำนักกระบี่วิญญาณจะจงใจส่งคนปัญญาอ่อนมากลั่นแกล้งเอาคืนเขา?
ผู้อาวุโสห้ามิได้เจตนาแกล้งเขาแน่นอน ตรงกันข้าม นางมาเป็นอาจารย์ในตำนาน และรับปากว่าจะพาหวังลู่ไปยังดินแดนสุขาวดี...เอ๊ย ไม่ใช่ บรรลุสู่เซียนสวรรค์!
คนอย่างผู้อาวุโสห้า หากมีคนสรุปรวบรวมข้อบกพร่องของนางพูดได้เลยว่ามีมากมายมหาศาลจนบันทึกไม่หวาดไม่ไหว ทว่านางกลับให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่น กระทั่งรับปากเจ้าสำนักว่าจะปั้นบุตรแห่งอาณัติสวรรค์คนนี้ด้วยมือนางเอง เช่นนั้นแล้วต่อให้ต้องละอบายมุข นางก็จะสอนเจ้าเด็กหวังลู่คนนี้ให้เป็นอัจฉริยะ แม้ว่าหวังลู่จะไม่มีคุณสมบัติที่จะบำเพ็ญเลยก็ตาม
ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว ผู้อาวุโสห้าจึงได้พบกับหวังลู่ นอกจากนี้นางยังเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้บรรดาศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งหมดขนลุกขนพอง หากยามนี้หวังลู่รู้วิชาภาพเงาสายน้ำบันทึกแล้วบักทึกภาพนี้เอาไว้ เขาอาจจะสามารถขายได้ในราคาสูงถึงหมื่นศิลาวิญญาณ
น่าเสียดายที่ตอนนี้หวังลู่ยังไม่รู้จักถนอมโอกาสนี้ ทำเพียงมองไปยังอาจารย์ของตนอย่างเงียบๆ เพื่อให้บรรยากาศอันเย็นยะเยือกนี้ดำเนินต่อไป
ภายในใจของผู้อาวุโสห้ากำลังยิ้มเยาะ แต่ใบหน้ากลับฉาบไปด้วยมิตรไมตรี
“เอาเถอะ อย่ายืนบื้ออยู่ตรงนี้เลย...”
พูดพลางปลดกระบี่ไม้ไผ่ออกจากเอว กระบี่สีเขียวมรกตก็พลันกลายเป็นแสงเรียบลำหนึ่ง แล้วรับเอาหญิงสาวขึ้นมา
“คุยกันระหว่างทางไปยอดเขาไร้ลักษณ์ของข้าก็แล้วกัน ข้าจัดเตรียมที่พักของเจ้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไป...เจ้าก็พยายามบำเพ็ญกับข้าเถอะ”
ขณะที่พูดหญิงสาวก็ยื่นมือออกไป
หวังลู่ถอนหายใจแล้วบอกถึงปัญหาของตัวเอง
“บำเพ็ญ? บำเพ็ญอะไร? พื้นฐานรากวิญญาณอย่างข้าสามารถบำเพ็ญได้จริงหรือ?”
แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในฐานะศิษย์ผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ทว่าการเปลี่ยนแปลงของสถานะย่อมไม่อาจเปลี่ยนพื้นฐานรากวิญญาณของตนได้อย่างแน่นอน บนโลกบำเพ็ญเซียนทุกวันนี้รากวิญญาณนภาแทบจะเท่ากับรากวิญญาณขยะ...สำหรับนักผจญภัยมืออาชีพคนหนึ่ง ไม่อาจมองข้ามความจริงและเลือกอยู่ในโลกของความฝันได้
ดังนั้นแม้ว่าหวังลู่จะสามารถใช้เหรียญทองแดงเมฆานภาเหรียญหนึ่งแลกมาซึ่งปาฏิหาริย์ แต่สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นเพียงเส้นทางหายนะที่นำไปยังหุบเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุดเส้นหนึ่งเท่านั้น ระหว่างที่รอกลุ่มคนทั้งที่คุ้นเคยและแปลกหน้าเหล่านั้นแยกย้ายกระจายตัวกันไป หัวใจของหวังลู่ก็ค่อยๆ เย็นเยียบลง เพราะตระหนักได้ว่ายังคงเผชิญหน้ากับปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้นี้อยู่
หากถามว่าท้อไหม แน่นอนก็มีบ้าง... ยังจำได้ว่าเมื่อตอนสามขวบ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นบันทึกเกี่ยวกับรากวิญญาณบำเพ็ญเซียนจากตำราเล่มหนึ่ง ในตำราเขียนไว้ว่า บนโลกใบนี้มีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่สามารถสัมผัสและรู้สึกถึงพลังวิญญาณชั้นฟ้าและพื้นดินโดยกำเนิด ซึ่งถือเป็นเรื่องลึกลับและลึกซึ้งเข้าใจยากสำหรับคนอื่น แต่เรื่องพลังจิตวิญญาณไม่สามารถขัดเกลาได้นี้กลับสะท้อนเข้าไปในสายตาของพวกเขาอย่างชัดเจน สำหรับพวกเขาแล้วการบำเพ็ญเพียรเป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนการหายใจ และนั่นก็คือผู้ที่ครอบครองรากวิญญาณสวรรค์ หลังกลียุคครั้งก่อน ผู้บำเพ็ญตนที่มีพรสวรรค์ก็แทบจะหมดไปจากโลกบำเพ็ญเซียน
และบังเอิญหวังลู่รู้สึกและสัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณฟ้าดินมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าที่หนังสืออธิบายไว้...เขาเคยคิดว่านี่เป็นพรที่ได้รับจากดาวหาง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจตนาที่แฝงอยู่ในความมืดมิดของดาวหางดวงนั้นเต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย
มอบรากวิญญาณที่ไม่เคยมีมาก่อนให้กับตน แต่กลับให้เขามาเกิดในยุคนี้ เหมือนตระเตรียมคู่หมั้นที่มีรูปโฉมงดงามราวเทพเซียน อ่อนโยนเปี่ยมคุณงามความดี มีชาติตระกูลสูงส่งให้กับตน แต่กลับมอบสถานะเป็นรักร่วมเพศมาให้...
บทโศกนาฏกรรมบนโลกคงไม่น่าเกินกว่านี้ แม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถแค่ไหน แต่สิ่งที่ทำได้คือใช้เหรียญทองแดงโบราณเมฆานภาเหรียญนั้นเท่านั้นกระมัง บำเพ็ญตน? รากวิญญาณพรรค์นี้จะบำเพ็ญอะไรได้? ใช้หลักสูตรการเป็นผู้เชี่ยวชาญในฐานะตัวนำโชครึ?
“โอ๊ะ? นานๆ จะได้เห็นเด็กหนุ่มที่ทะนงตัวอย่างเจ้าแสดงสีหน้าราวกับคนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศออกมาเช่นนี้”
หวังลู่ชักสีหน้า สวนกลับทันที “บัดซบ! สตรีโรคจิตอายุร้อยปีพูดกับเด็กใสซื่ออายุสิบสองแบบนี้ได้รึ?”
“เฮอะ ข้าให้กำลังใจเจ้าต่างหาก” หญิงสาวอาภรณ์ขาวยิ้มเต็มใบหน้าทำราวกับไม่ได้ยินคำว่าสตรีโรคจิตอายุร้อยปีอะไรนั่น
“เรื่องบำเพ็ญตนเจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ในเมื่อเจ้าสำนักโง่เง่าไร้สมองคนนั้นฝากฝังเจ้าไว้กับข้า...ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะทำให้เจ้าก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญเซียนให้ได้ แค่รากวิญญาณนภา ไม่คณนามือข้าหรอก”
แม้ว่าหญิงสาวอาภรณ์ขาวจะเคยทำให้หวังลู่รู้สึกว่าสมองของนางพิการจริงๆ แต่หลังจากที่ฟังคำปลอบใจจากนาง สภาพจิตใจของหวังลู่ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย
“หึ เอาเถอะ หวังว่าจะเป็นอย่างที่ท่านบอก ข้าคือหวังลู่ จากนี้เป็นต้นไปจะบำเพ็ญตนกับท่าน”
จากนั้นหวังลู่ก็ยื่นมือไปจับที่มือของหญิงสาวอาภรณ์ขาว
หญิงสาวอาภรณ์ขาวยิ้มเบิกบาน “ข้าคือหวังอู่ จากนี้เป็นต้นไปจะเป็นอาจารย์ของเจ้า”
กระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งกลายร่างเป็นแสงเขียวมรกตนำศิษย์อาจารย์ทั้งสองไปยังยอดเขาไร้ลักษณ์
ความเร็วของกระบี่บินไม่เร็วนัก ดังนั้นอาจารย์จึงมีเวลาเพียงพอที่จะแนะนำบางสิ่งแก่ศิษย์
สตรีชุดขาวก้าวเท้าขึ้นเหยียบกระบี่บิน ผายมือแนะนำสถานที่เบื้องล่าง “เขากระบี่วิญญาณที่สำนักกระบี่วิญญาณของเราตั้งอยู่เป็นพื้นที่ชีพจรปราณศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นธาราคราม เมื่อมองจากเบื้องนอกสำนักกระบี่วิญญาณจะดูคล้ายกระบี่ตั้งตรงตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว แต่จริงๆ แล้วมียอดเขาทั้งหมดสิบสองลูก ยอดเขาแต่ละลูกล้วนเป็นถ้ำพำนักที่ผู้ฝึกตนปรารถนา ในบรรดายอดเขาเหล่านี้ ยอดเขาประกายดาว ยอดเขากระจ่าง และยอดเขาเร้นลับอยู่ในอันดับสูงสุด รองลงมาคือยอดเขาไร้ลักษณ์ แต่ปัจจุบันยอดเขาไร้ลักษณ์มีเพียงข้ากับเจ้าสองคนเท่านั้น ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องความเข้มข้นของปราณศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็เพียงพอ”
ฟังถึงตรงนี้หัวใจของหวังลู่ก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย พลังปราณศักดิ์สิทธิ์เพียงพอหรือไม่นั้นเขาไม่กังวล...ยอดเขาไร้ลักษณ์มีพวกเขาเพียงสองคน? หมายความว่าก่อนงานชุมนุมคัดเลือกเซียนสตรีนางนี้ปลีกตัวออกมาอยู่อย่างสันโดษหรือ? ต่อให้สำนักกระบี่วิญญาณจะขึ้นชื่อว่ามีจำนวนศิษย์กะหร่องน้อยนิดเพียงไร แต่มนุษยสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ดูเลวร้ายเกินไปหน่อยหรือ?
แต่...อย่างไรก็ตามมีพื้นที่ต่อคนมากหน่อยไม่ใช่เรื่องแย่ นอกจากนี้หวังลู่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะอยากอยู่ร่วมกับคนจำนวนมาก ตั้งแต่เหตุผลประการสำคัญที่เลือกเข้าร่วมงานชุมนุมคัดเลือกเซียนของสำนักกระบี่วิญญาณก็คือในบรรดาสุดยอดห้าสำนักใหญ่ สำนักกระบี่วิญญาณเป็นสำนักที่มีคนน้อยที่สุด
แม้ว่าความเร็วกระบี่บินของผู้อาวุโสห้าจะไม่เร็วนัก ทว่าใช้เวลาไม่นานก็บินผ่านยอดเขาเร้นลับเข้าสู่เขตแดนของยอดเขาไร้ลักษณ์
ทันทีที่เห็นหวังลู่ก็ตะลึงงัน
ผู้คนมักพูดกันบ่อยๆ ว่าถ้ำพำนักศักดิ์สิทธิ์ของโลกบำเพ็ญเซียนนั้นงดงามเกินกว่าจะบรรยาย เมื่อครั้งที่หวังลู่อยู่บนสะพานทองคำ ตลอดทางที่ทอดยาวของเส้นทางบรรลุเซียน เขาได้เห็นทิวทัศน์ที่วิจิตรงดงามของยอดเขาเสรีและยอดเขาเร้นลับ เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มและมีเมฆหมอกโอบล้อมราวกับอาณาเขตเทพเซียนบนโลกมนุษย์ เดิมทีเขาคาดหวังไว้ว่ายอดเขาไร้ลักษณ์ที่มีคนอาศัยอยู่เพียงคนเดียวจะเงียบสงบและอุดมสมบูรณ์กว่าที่อื่น ใครจะคิดว่าสิ่งที่สะท้อนเข้ามาในรูม่านตาจะเป็นภาพที่ทรุดโทรมจนชวนสิ้นหวังเช่นนี้!
สิ่งที่หวังลู่เห็นคือเขาหัวโล้นที่คร่ำครึไร้ระเบียบ พื้นดินที่ควรปกคลุมด้วยพืชพันธุ์สีเขียว บัดนี้ราวกับถูกอสูรกายร้ายแทะกินอย่างตะกละตะกลาม ปรากฏรอยแผลเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองอันน่าเกลียดทุเรศทุรัง เมื่อเทียบกับยอดเขาอื่นแล้ว ยอดเขาไร้ลักษณ์ก็เหมือนกับซากศพที่ถูกคนดูหมิ่นถากถางอย่างโหดร้าย
หวังลู่มองภาพเบื้องหน้าครู่ใหญ่ มองทะลุไปถึงความหมายแท้จริงของฉากนี้... นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นตามหลักการที่ว่าเส้นทางบรรลุเซียนเป็นเรื่องไม่แน่นอน หรือว่า...
“โอ๊ะ เจ้าหมายถึงพืชพันธุ์ต้นไม้บนเขาหรือ? หลายปีก่อนข้าเป็นหนี้จนปวดหัวก็เลยตัดต้นไม้วิเศษบนเขาไปขายจนหมดเกลี้ยง แต่เนื่องจากราคาขายส่งถูกฟันยับเกินไป ทำให้ข้าท้อแท้สิ้นหวังไม่มีกะจิตกะใจจะหายใจใช้ชีวิต พอกลับมาก็ไม่อยากเสียเงินซื้อพืชพันธุ์มาดูแลเพาะปลูก สุดท้ายก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ...แต่ไม่ต้องกังวลไป ดีที่เป็นพื้นที่จุดชีพจรของปราณศักดิ์สิทธิ์ อีกสามถึงห้าร้อยปีก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยตัวมันเอง ดังนั้นไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวล”
ไม่ต้องกังวลน้องสาวท่านสิ! ยอดเขาสุนัขแทะนี่เป็นเรื่องงามหน้าที่ท่านทำมิใช่รึ!? เป็นถึงเจ้าของยอดเขาแต่แทนที่จะดูแลกลับทำลายด้วยน้ำมือตัวเอง!? ช่างเป็นพฤติกรรมที่ฉี่ขี้ในบ้านตัวเองตามแต่ใจแท้ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงไม่มีคนคบท่าน เป็นถึงผู้อาวุโสแท้ๆ แต่กลับเป็นสตรีเหลือค้างที่ไม่มีใครเอา!
ทันใดนั้นผู้อาวุโสห้าก็จามออกมาอย่างแรง “หวังลู่ เจ้ากำลังด่าข้ารึ?”
“เปล่านะ ท่านสร้างแต่เรื่องที่ทำให้คนเกลียดขนาดนี้ ชัดเจนว่าคนอื่นกำลังด่าท่านอยู่”
“อืม การวิเคราะห์ของเจ้ามีเหตุผลมาก...”
ตลอดเส้นทางอันน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ ไม่นานทั้งสองก็เห็นพื้นที่ราบหนึ่งบนยอดเขา กระท่อมเรียบง่าย หลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางการรายล้อมของเนินเขา ไม่ได้เหมือนที่อยู่อาศัย แต่เหมือนห้องขังมากกว่า
“ที่นี่ก็คือบ้านของข้า...อ้อ ไม่สิ ตอนนี้ก็คือบ้านเจ้าเหมือนกัน จากนี้ไปเจ้าก็พักอยู่กับข้าที่นี่แหละ แม้ว่าสภาพบ้านจะดูเรียบง่ายไปหน่อย แต่ผู้ฝึกตนไม่ควรให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากนัก”
ข้ออ้างของผู้อาวุโสห้าช่างดูดีสง่าผ่าเผยนัก ทว่าหลังจากที่เขาได้เห็นยอดเขาที่แห้งแล้งราวกับสุนัขแทะ ไม่ว่าอย่างไรหวังลู่ก็สรุปได้ว่า ต่อให้ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่เคยรุ่งเรืองหรูหรามาก่อน ก็สามารถถูกสตรีนางนี้ทำลายราบคาบได้
เคราะห์ดีที่แม้ว่ากระท่อมไม้หลังนี้จะเรียบง่าย แต่อย่างน้อยก็ยังมีห้องนอนแยกต่างหากอยู่หลายห้อง และอย่างน้อยศิษย์ผู้สืบทอดผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาก็ไม่ต้องนอนห้องเก็บฟืน หลังจากที่กำหนดห้องนอนให้หวังลู่เสร็จสรรพ ผู้อาวุโสห้าก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ทำไมเราไม่มาแนะนำตัวกันก่อนล่ะ?”
ประวัติของหวังลู่ไม่มีอะไรมากนัก เขาเป็นเพียงลูกชาวนาร่ำรวยจากหมู่บ้านบนภูเขาแห่งหนึ่งของประเทศต้าหมิงเท่านั้น นอกจากรากวิญญาณจะพิเศษนิด รูปแบบความคิดจะแปลกพิสดารหน่อย เมื่อเทียบกับพวกที่เกิดในตระกูลร่ำรวยชั้นสูงเหล่านั้นแล้ว ประสบการณ์ที่มีให้พูดถึงนั้นมีน้อยมาก
สำหรับผู้อาวุโสห้า นางก็คล้ายไม่อยากเล่าถึงประวัติของตัวเองเหมือนกัน
“ชื่อของข้านั้น เจ้าเองก็รู้แล้ว ปัจจุบันหอกระบี่สวรรค์ของสำนักกระบี่วิญญาณมีผู้อาวุโสทั้งหมดสิบคน และข้าอยู่ในอันดับที่ห้า จะบอกว่าตำแหน่งของข้าอยู่ในระดับครึ่งๆ กลางๆ ก็ได้... ดังนั้นข้าจึงคิดค้นวิธีฝึกที่มีชื่อเรียกว่า ‘วิชาไร้ลักษณ์’ ของตัวเองขึ้นมา ยอดเขาที่ข้าดูแลอยู่นี้ก็ได้ชื่อมาจากสิ่งนี้”
เมื่อได้ยินว่านางคิดค้นวิทยายุทธ์ขึ้นมาเอง หวังลู่ก็อดสงสัยไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเข้าใจสิ่งต่างๆ บนโลกบำเพ็ญเซียนของอาณาจักเก้าแคว้นไม่มาก อาศัยเพียงเนื้อหาในคัมภีร์โบราณที่มีอักษรไม่กี่ตัวที่เขาอ่านตอนเด็กเท่านั้น นอกจากนี้เนื้อหาส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้ากับยุคสมัย แต่เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพเซียนขี่กระบี่จากนักเล่านิทานมาบ้างไม่น้อย เรื่องเล่าทั้งหมดมีสิ่งที่คล้ายคลึงกันอย่างหนึ่งคือ เมื่ออายุยิ่งมาก พลังก็จะแก่กล้ามากขึ้นเท่านั้น ตำนานยังบอกอีกว่าเมื่อหลายพันปีก่อน ผู้ฝึกตนแต่ละคนในอาณาจักรเก้าแคว้นล้วนมีอิทธิฤทธิ์ที่ไม่สามารถจินตนาการได้ พวกเขาสามารถผลักภูเขาคว่ำทะเลได้อย่างง่ายดายเพียงสะบัดมือเท่านั้น เมื่อเทียบกับพันธมิตรหมื่นเซียนที่มีชื่อเสียงและบารมีอำนาจยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน เกรงว่าอย่างไรก็มิอาจหาผู้ฝึกตนที่มีพลังจนถึงขั้นอำนาจผลักภูเขาคว่ำทะเลได้
สำนักกระบี่วิญญาณขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าสุดยอดสำนักใหญ่ แม้ว่าระยะเวลาที่สืบทอดจะไม่นานนัก แต่ปฐมาจารย์ที่ก่อตั้งสำนักล้วนแล้วแต่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากผู้ฝึกตนเก่าแก่โบราณ นอกจากนั้นหลายพันปีมานี้พวกเขาก็ได้สั่งสมวิชาบำเพ็ญเซียนไม่น้อย แต่ไฉนผู้อาวุโสห้าผู้นี้จึงต้องฝึกวิชาที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเองล่ะ? มองหาความแปลกใหม่ในชีวิตหรือ?
“เอ่อ... ท่านอาจารย์ ศิษย์มีคำถาม ตบะของท่านตอนนี้อยู่ขั้นใด?”
อาจารย์หัวเราะแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ขั้นสร้างแกน! ตกใจล่ะสิ?”
“…”
หวังลู่ตกใจจริงๆ เหตุใดผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณจึงมีตบะระดับขั้นที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินถึงเพียงนี้!?
แม้ว่าคนดงหลังเขาเช่นเขาจะมีความรู้ความเข้าใจโลกบำเพ็ญเซียนไม่มาก แต่หลังจากที่อยู่กับไห่อวิ๋นฟานมานานขนาดนี้ ความรู้ทั่วไปต่างๆ ย่อมค่อยๆ ซึมซับเข้ามาในหัวสมอง
โลกบำเพ็ญเซียนทุกวันนี้มิได้มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดใหม่มากเท่าก่อนกลียุค ในอาณาจักรเก้าแคว้นจำนวนผู้บำเพ็ญยอดฝีมือที่มีตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณขึ้นไปก็มีน้อยจนนับได้ด้วยมือเดียว และมีเพียงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดใหม่ขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถเป็นเจ้าสำนัก...ทว่าก็เป็นได้เพียงเจ้าสำนักในดินแดนทุรกันดารห่างไกลเท่านั้น แต่แม้ว่าโลกบำเพ็ญเซียนจะตกต่ำลงสักเพียงไร อย่างไรก็ยังมีคนที่มีพลังแกร่งกล้าเหลืออยู่
ปัจจุบันผู้บำเพ็ญที่มีตบะสูงเป็นอันดับหนึ่งคือเจ้าสำนักเหอถูแห่งสำนักเซิ่งจิงที่อยู่ในขั้นหลอมรวม ซึ่งห่างจากขั้นมหายานเพียงก้าวเดียวเท่านั้น และในห้าสำนักใหญ่ ผู้นำของแต่ละสำนักไม่ว่าจะเป็นสำนักเซียนหมื่นยุทธ สำนักคุนหลุน สำนักจอมทัพจักรพรรดิล้วนแล้วแต่มีตบะขั้นหลอมรวมทั้งนั้น มีเพียงปรมาจารย์แห่งเต๋าเฟิงอิ๋นของสำนักกระบี่วิญญาณเท่านั้นที่มีตบะต่ำลงมาหน่อย แต่ทว่าก็ยังดีที่อยู่ในขั้นเปลี่ยนวิญญาณ
ในเมื่อเจ้าสำนักมีตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณ ผู้อาวุโสในรุ่นเดียวกันก็ต้องมีตบะไม่ห่างจากเขามากเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ต้องระดับกำเนิดใหม่ชั้นยอด ส่วนผู้อาวุโสห้าท่านนี้...ยังคงอยู่ในขั้นสร้างแกน ช่างน่าอับอายขายขี้หน้าโดยแท้ หรือรอบเดือนมาแล้วพลังลดลงครึ่งหนึ่ง?
“เช่นนั้นแล้ว...อาจารย์ขอรับ ผู้อาวุโสคนอื่นอยู่ขั้นใด?”
ผู้อาวุโสห้ามองสบไปที่แววตาของหวังลู่อันเต็มไปด้วยความสงสัย กล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่า “ขั้นกำเนิดใหม่ นอกจากเจ้าสำนักโง่เง่าผู้นั้นแล้ว คนอื่นๆ ยังไม่มีแม้กระทั่งตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณ น่าอับอายจริงๆ”
ผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนเช่นท่านมีหน้าพูดประโยคนี้รึ!?
.............................................