ตอนที่แล้วภาค 1 ตอนที่ 28 อาจารย์ของข้าไม่มีทางไม่ใช่คนโง่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 2 ตอนที่ 2 เรารักอาจารย์ฮว๋า!

ภาค 1 ตอนที่ 26 เจ้าเจตนาสินะ! ข้าจะฟ้องเจ้า!


2018ตอนที่ 26 เจ้าเจตนาสินะ! ข้าจะฟ้องเจ้า!

“ทั้งหมดที่กล่าวมาก็คือคำอธิบายเกี่ยวกับรากวิญญาณนภา ข้อมูลที่ละเอียดกว่านั้นต้องขออภัยด้วยเพราะที่นี่ไม่มี และเชื่อว่าที่อื่นก็ไม่มีเช่นกัน อันที่จริงมันเป็นตำนานที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว”

อธิบายรายละเอียดของรากวิญญาณนภาจบ เด็กสาวก็ขรึมลง รอให้ทุกคนในที่นั้นย่อยข้อมูลที่ได้รับอย่างเงียบๆ

“แต่เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขของเส้นทางบรรลุเซียน เจ้าสามารถเดินไปจนถึงจุดหมายได้จริง หากว่ากันตามกฎแล้วเจ้าสามารถเข้าสำนักได้อย่างเต็มตัว ทว่าศิษย์ที่ไม่อาจฝึกฝนได้แต่เข้ามาอยู่ในสำนักบำเพ็ญเซียนนั้น อาจจะทำให้เจ้าลำบากในภายภาคหน้า ดังนั้นควรพิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วน ดีที่สุดเจ้าอาจเป็นได้แค่นักวิจัยทางทฤษฏีเท่านั้น แต่หากไร้สมรรถภาพในการฝึกฝน ต่อให้เจ้ามีสติปัญญาเหนือคนแค่ไหน ก็ไม่มีความรู้ที่สูงพอให้ประสบความสำเร็จได้ คือจะสำเร็จก็มิใช่จะล้มเหลวก็มิเชิง ช่องว่างนี้เจ้าคงรับไม่ไหว

แน่นอนว่าเราสามารถเขียนจดหมายแนะนำให้เจ้าได้เหมือนกัน สำนักเซียนหมื่นยุทธ สำนักคุนหลุน หรือสำนักเซิ่งจิงอาจจะสนใจเจ้า แต่สนใจแบบไหนคงไม่ต้องบอก อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถแก้ปัญหาของเจ้าได้ และพวกเขาก็น่าจะเช่นกัน

โอ๊ะจริงสิ เมื่อครู่ท่านอาจารย์อาเก้าเสริมมาว่า สามารถพิจารณาให้เจ้าเป็นตัวนำโชคของสำนักกระบี่วิญญาณได้เหมือนกัน อย่างไรก็เป็นถึงรากวิญญาณแห่งจักรพรรดิเซียนในตำนาน อย่างน้อยในด้านอำนาจก็สามารถโค่นสำนักเซิ่งจิงได้”

หลังพูดจบ แม้แต่เด็กสาวที่สดใสเป็นธรรมชาติอย่างนางก็ยังรู้สึกว่าคำแนะนำของอาจารย์อาเก้าไม่เข้าท่าอย่างมาก ขณะที่เตรียมจะพูดอะไรอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงตบมือฉาดหนึ่งของหวังลู่

“ดี! คำไหนคำนั้น!”

“หา!?”

“ตัวนำโชคจงเจริญ! สำนักกระบี่วิญญาณเอ๋ยข้ามาแล้ว!”

สมกับเป็นหวังลู่ ผู้ทดสอบที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับแผนที่บรรลุเซียน เปลี่ยนบทบาทของตัวเองอย่างรวดเร็ว การตัดสินใจของเขาแทบทำให้เด็กสาวตกใจจนหัวใจจะวายตาย

“จะ จะ จะ จะ...เจ้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร!?”

เด็กสาวตกอยู่ในความสับสนอลหม่านอย่างสมบูรณ์ ปฏิกิริยาของหวังลู่ตรงข้ามกับที่ท่านอาจารย์บอกอย่างสิ้นเชิง! ท่านอาจารย์บอกว่าเขาอาจจะเกรี้ยวโกรธเหมือนอัสนีบาตคะนอง อาจจะอ่อนแอท้อแท้ อาจจะกลายเป็นโรคประสาท หรืออาจจะสวนกลับด้วยเหตุผล แต่ไม่เห็นบอกเลยว่าเขาจะอยากเป็นตัวนำโชคอย่างปีติยินดี!

แม้กระทั่งไห่อวิ๋นฟานเองยังรู้สึกตะลึงจนกรามค้าง จนต้องใช้ฝ่ามือตบคางให้เข้าที่อย่างอดรนทนเจ็บ อดคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งในใจมิได้ ‘ไหนท่านบอกว่าเริ่มเรื่องโศกศัลย์ตอนจบสวยงามอย่างไรล่ะ? ไหนบอกจะทิ้งอดีตทุกอย่างแล้วเริ่มใหม่! ท่านรับข้อเสนอนี้ทำไม!? พี่หวังลู่ภาพลักษณ์ของท่านในใจข้าย่อยยับเร็วเกินไปไหม!

เวลานี้แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสในห้องโถงเองก็เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ เด็กสาวคนนั้นเอ่ยออกมาอย่างตื่นตระหนก “วีรบุรุษ เมื่อครู่ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น เจ้าอย่าได้จริงจังขนาดนั้น”

หวังลู่ถามกลับอย่างร่าเริงว่า “ตัวนำโชคของสำนักท่านมีที่พักพร้อมอาหารให้หรือไม่?”

“ทะ...ที่พักพร้อมอาหาร...?”

“อำนวยสิ่งเหล่านี้หรือไม่? มีส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมหรือไม่? มีพักร้อนประจำปีไหม?”

ผู้อาวุโสในห้องโถงยังไม่เข้าใจ ยังคงอ้าปากตาถลนพูดอะไรไม่ออก

จากนั้นหวังลู่ก็กล่าวต่อไปอีกว่า “สำนักของท่านเสนอให้ข้าเป็นตัวนำโชคแล้ว คงจะไม่กลับคำหรอกนะ? เป็นถึงสุดยอดห้าสำนักใหญ่แท้ๆ หากถูกประณามว่าเป็นคนไม่มีสัจจะ กลับกลอก สัญญาไม่เป็นสัญญา หน้าไม่อาย เลวยิ่งกว่าพรรคมาร มันคงเป็นเรื่องน่าเศร้าเหลือเกิน”

ได้ยินดังนั้นเด็กสาวหน้าห้องโถงก็ตกใจกลัว เบิกตาโพลงรีบหันไปพูดกับอาจารย์ละล่ำละลัก “ท่านอาจารย์อาเก้า สัญญาไม่เป็นสัญญาเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าใดนัก”

“ยายบ้า! เจ้าอยู่ฝั่งไหนกันแน่!?”

จากนั้นเด็กสาวก็กุมศีรษะพลางตะโกนร้อง เจ็บๆๆ.... แล้วก็ถูกลากตัวกลับเข้าไปยังห้องโถงอย่างรุนแรง

ภายใต้ความเงียบสงัดอันยาวนาน... บรรดาผู้อาวุโสในห้องโถงก็เริ่มรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์ตรงหน้า สำนักกระบี่วิญญาณเป็นถึงสำนักเก่าแก่มีคุณธรรม ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและความซื่อสัตย์ในระดับที่สำนักอื่นๆ ในโลกบำเพ็ญเซียนก็ยังไม่เข้าใจ ถึงตัวนำโชคจะเป็นเรื่องไร้สาระเหลือเกิน แต่ก็ไม่อาจปล่อยเลยตามเลยได้...

ผ่านไปครู่ใหญ่ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังออกมาจากห้องโถง แม้จะยังคงเป็นเสียงของสตรีเหมือนเดิม แต่กลับฟังดูมีภูมิฐานมากกว่าอาจารย์อาเก้าท่านนั้นหลายส่วน น้ำเสียงมีแววเยาะเย้ยถากถาง

“สนใจหรือ? เจ้าอยากเป็นตัวนำโชคของสำนักกระบี่วิญญาณรึ?”

หวังลู่ยิ้มพลางว่า “หากข้าอยากเป็นเจ้าสำนัก พวกท่านก็ต้องให้เหมือนกัน”

“ตำแหน่งนั้นให้มิได้แน่นอน เพราะข้าก็อยากเป็น...หุๆ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าคนโง่เง่าพวกนี้ถึงคัดชื่อเจ้าออก แต่เป็นตัวนำโชคก็ไม่เลวเหมือนกันนะ สำนักกระบี่วิญญาณของเราเป็นถึงสำนักอันดับต้นๆ ดังนั้นข้อดีของการเป็นตัวนำโชคประจำสำนักมีมากมายนับไม่ถ้วน ต่อให้ไม่อาจฝึกเซียนได้ แต่ด้วยป้ายชื่อสำนักกระบี่วิญญาณบนตัวเจ้า เจ้าจะกดขี่บุรุษรังแกสตรีกระทำกิริยาต่ำช้าได้อย่างง่ายดาย! รัชทายาทเดรัจฉานสมองหมูนั่นไม่กล้าทำอะไรเจ้าแน่นอน วันหน้าต่อให้ไปหอนางโลมเจ้าก็ไม่ต้องเสียเงินสักตำลึง!... เอ๊ะ พวกเจ้าห้ามข้าทำไม? ข้าก็แค่พูดไปตามความจริง ไม่ได้คิดจะเอาเงินสักหน่อย!”

พลันมีเสียงต่อสู้ปึงๆ ปังๆ ระลอกหนึ่งดังมาจากห้องโถง จากนั้นหญิงสาวผู้นั้นก็กระแอมเสียง “สรุปแล้ว ข้อดีของตัวนำโชคประจำสำนักมีมายมายนับไม่ไหว ค่าตอบแทนดีกว่าศิษย์ชั้นในปกติเป็นไหนๆ แต่เจ้าฝึกเซียนไม่ได้ แถมรูปโฉมก็ไม่งาม ไม่อาจตอบแทนคุณสำนักได้แน่ๆ ดังนั้นเลือกเจ้าเป็นตัวนำโชคถือเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของสำนักชัดๆ ไม่มีข้อดีเลยสักนิด”

ฟังถึงตรงนี้ หวังลู่ก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่

ไม่ใช่การหัวเราะเยาะ หรือเพราะความเคืองแค้นใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากหญิงสาวที่กำลังพูดอยู่ในห้องโถงขณะนี้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย... พูดอย่างไรดีล่ะ เหมือนกับได้ฟังสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างไรอย่างนั้น แม้คำพูดนั้นฟังดูแล้วเป็นเพียงประโยคขบขันที่แทรกขึ้น แต่หวังลู่กลับจับความหมายแท้จริงที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังที่หญิงสาวต้องการจะสื่อได้อย่างง่ายดาย

นางกำลังเตือนเขาถึงเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง

แต่จำเป็นต้องเตือนอะไรล่ะ ในฐานะนักผจญภัยมืออาชีพ หวังลู่รู้อยู่แล้วว่าในมือของตนยังมีไพ่ตายที่สามารถพลิกฟ้าหงายแผ่นดินได้

“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว หากจะเป็นตัวนำโชคก็ต้องจ่ายค่าแรกเข้าใช่หรือไม่? สำนักกระบี่วิญญาณเป็นสำนักบำเพ็ญเซียน ดังนั้นเงินของแดนมนุษย์จึงไม่มีค่าแม้แต่นิด จำเป็นต้องใช้เงินของเขาสินะ? เนื้อตัวข้าตอนนี้ยังมีเหลืออยู่พอดี เอาไปเลยห้าเหมา!”

หวังลู่แค่นหัวเราะพลางล้วงเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วดีดขึ้นกลางอากาศลอยพุ่งเข้าไปในห้องโถงเมฆาเร้นลับที่ถูกปกคลุมด้วยแสงนุ่มนวลสีขาว

เมื่อของสิ่งนี้ปรากฏขึ้น ในห้องโถงก็ฮือฮาขึ้นมา

“นรก! นี่มันคืออะไร!?”

“เขามีของสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน!?”

“เป็นเหรียญเมฆานภาจริงๆ ด้วย! ศิษย์พี่อย่าบอกนะว่านี่เป็นลูกนอกสมรสของท่านอีกแล้ว!?”

ผู้อาวุโสทั้งเก้าอ้าปากค้างทันที จ้องไปยังเหรียญทองแดงที่ถูกดีดเข้ามาในห้องโถงอย่างตาไม่กะพริบ

เหรียญเมฆานภา!

เหรียญทองแดงเป็นเพียงแค่เหรียญทองแดงธรรมดา ถึงจะมิได้ถูกหลอมขึ้นโดยผู้ฝึกเซียน และมิได้ประกอบขึ้นมาจากวัสดุวิเศษที่ล้ำค่าอะไร แต่มันกลับเป็นของที่ทุกคนอยากได้

มารดาเถอะ นี่เป็นเหรียญเมฆานภาจริงๆ ด้วย... ตำนานเล่าว่า ปฐมาจารย์เซียวอวิ๋นผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่วิญญาณเคยหลงเหลือพันธะส่วนหนึ่งไว้ในโลกโลกียะ ท่านมอบเหรียญทองแดงให้กับผู้มีพระคุณของตน โดยคนที่ได้รับเหรียญนี้สามารถขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง

เรื่องเล่านี้มิได้เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับโลกบำเพ็ญเซียน สำนักจำนวนไม่น้อยต่างก็มีเรื่องเล่าที่มาของอาวุธต่างๆ ทำนองนี้ทั้งนั้น หลายพันปีมานี้เหรียญทองแดงโบราณเมฆานภาของจริงก็สูญหายไปตามกาลเวลา ไม่มีทางหลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้แน่ และทุกวันนี้เหรียญทองแดงโบราณล้วนเป็นของที่คนรุ่นหลังสร้างเลียนแบบขึ้นมาเพื่อลำลึกถึงท่านปฐมาจารย์

แต่ประสิทธิภาพของมันยังคงเหมือนเดิมทุกประการ นั่นคือเมื่อมีเหรียญโบราณในมือ จะสามารถขออะไรก็ได้หนึ่งอย่างจากสำนักกระบี่วิญญาณ โดยใช้ชื่อเสียงของปรมาจารย์แห่งเต๋าเฟิงอิ๋นเป็นประกัน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครเคยใช้มาก่อน แต่ด้วยชื่อเสียงของปรมาจารย์แห่งเต๋าเฟิงอวิ๋น ไม่มีใครสงสัยในประสิทธิภาพของมันเลย

เมื่อมีเหรียญเมฆานภาเหรียญนี้ในมือ อย่าว่าแต่เป็นตัวนำโชคเลย ต่อให้ต้องการให้ผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่สวรรค์เป็นตัวนำโชคก็สามารถทำได้ แน่นอนหากมีคนเสนอให้ทำเรื่องไร้สาระบ้าบอพรรค์นี้จริงๆ เจ้าสำนักก็ทำได้เพียงยอมทิ้งหน้าตา เบี้ยวคำขอนั้นอย่างหน้าด้านๆ นอกเสียจากว่าคนที่ถูกเลือกให้เป็นตัวนำโชคคืออดีตผู้อาวุโสห้า เจ้าสำนักจะทำตามคำขออย่างยินดีแน่นอน

แน่นอนว่าปัญหาสำคัญตอนนี้มิใช่ประสิทธิภาพของเหรียญทองแดงโบราณ แต่อยู่ที่ว่าเหตุใดเหรียญทองแดงโบราณเหรียญนี้จึงตกอยู่ในมือของหวังลู่ ทุกวันนี้เหรียญเมฆานภาที่สืบทอดต่อกันมาน่าจะหลงเหลืออยู่เพียงเหรียญเดียวเท่านั้น และอยู่ในมือของคนที่สนิทสนมของเจ้าสำนักผู้หนึ่ง นอกเหนือจากนี้...

ศิษย์น้องหญิงเก้าถามด้วยความสงสัยยิ่ง “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ลูกนอกสมรสของท่านรึ?”

เจ้าสำนักก็แปลกใจเช่นเดียวกัน เหรียญโบราณเหรียญนั้นเขาจำได้อย่างแม่นยำว่ามอบให้ใครคนหนึ่งไปแล้วเมื่อสามปีก่อนด้วยตัวเอง ไฉนจึงไปตกอยู่ในมือของเจ้าเด็กคนนี้ได้? คิดไม่ออก...คิดไม่ออกจริงๆ!

แต่ว่าคิดไม่ออกก็ไม่ต้องกังวล เรื่องแบบนี้หรือ เพียงแค่ไปถามคนคนหนึ่ง ก็จะได้คำตอบแน่นอน

คิดได้ดังนั้น เจ้าสำนักก็ลากอดีตผู้อาวุโสที่กำลังยืนดูความครึกครื้นฉากนี้อย่างบันเทิงใจตรงประตู แวบหนึ่งก็ทะยานกลับมาที่ยอดเขาประกายดาว

“เฮ้! เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ผู้อาวุโสที่ถูกลากออกมากะทันหัน ซึ่งก็คือศิษย์น้องห้าของเจ้าสำนักก็มึนงงเช่นเดียวกัน “อะไรคือเกิดอะไรขึ้น!?”

เจ้าสำนักถาม “ก็หวังลู่คนนั้นอย่างไร เขามีเหรียญโบราณของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ได้อย่างไร?”

ศิษย์น้องหญิงห้ายิ้มเยาะ “แน่นอนว่าเสี่ยวหลิงเอ๋อร์เป็นคนให้น่ะสิ หรือท่านคิดว่าเขาจะไปฉกมาจากนางได้?”

“เสี่ยวหลิวเอ๋อร์เป็นคนให้!? นี่...นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” เจ้าสำนักแทบไม่อยากเชื่อ “แม้ว่านางจะเกลียดข้ามากขนาดไหน แต่คงไม่ถึงกับ...”

ศิษย์น้องหญิงยังคงยิ้มเยาะต่อไป “ยังจำเดิมพันของท่านกับเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก่อนงานชุมนุมคัดเลือกเซียนได้หรือไม่? หากนางหาเงินได้ห้าล้านตำลึงก่อนวันงานชุมนุมคัดเลือกเซียน ท่านจะไม่เข้าไปวุ่นวายแทรกแซงกิจการโรงเตี๊ยมในเมืองธาราวิญญาณของนาง หรือไม่ก็กลับมาใช้ชีวิตบนเขา ส่วนผลเดิมพันนั้นข้าไม่ขอพูดแล้วกัน... สุดท้ายเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็ชนะเดิมพันโดยพึ่งการช่วยเหลือจากเด็กคนนั้น ดังนั้นนางจึงรู้สึกประทับใจและชื่นชอบเขา คาดหวังว่าจะมีโอกาสเจอกันอีกครั้งบนเขา อีกอย่างท่านก็รู้ว่านางเกลียดท่าน เช่นนั้นแล้วจะอะไรนักหนากับอีแค่เหรียญโบราณเพียงเหรียญเดียว?”

“นี่...” จู่ๆ เจ้าสำนักก็พูดไม่ออก ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งจึงถามกลับไปว่า “แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าจะมองเด็กนั่นเฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ...”

พูดยังไม่ทันจบ ศิษย์น้องห้าก็เดือดจัด “มิใช่เพราะคนโง่อย่างท่านทำเรื่องให้ยุ่งยากหรืออย่างไร? ข้ารึอุตส่าห์ทิ้งศักดิ์ศรีบากหน้าไปหมู่บ้านดอกท้อเพื่อจะเอาเหรียญโบราณกลับมา แต่สุดท้ายท่านไม่เพียงขัดขวางแต่ยังมาหักเงินเดือนข้าอีก!”

“…โธ่ ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะเอาการเอางานจริงๆ ล่ะ อีกอย่างเจ้าพูดดูดีไปหน่อย อันที่จริงเจ้าแค่อยากหลอกเอาเหรียญโบราณของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์มาใช้เองน่ะสิ”

ศิษย์น้องห้าหญิงตบโต๊ะด้วยความเกรี้ยวโกรธ “บัดซบ! ท่านไม่จำเป็นต้องเข้าใจข้าดีขนาดนี้ก็ได้...ไม่ใช่สิ ท่านอย่ามาทำผิดแล้วผลักภาระให้คนอื่นรับผิดชอบ!”

เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของเจ้าสำนักอย่างแท้จริง และเขาก็ละอายเกินกว่าจะโต้กลับ ทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่อง “ว่าไปแล้วหวังลู่คนนี้ถือว่าเก่งกาจจริงๆ เมื่อเทียบกันแล้ว หวังจงคนนั้นแทบจะไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นบุตรแห่งอาณัติสวรรค์เลย”

ตอนแรกเขาต้องการใช้บทสนทนานี้เพื่อเปลี่ยนเรื่องเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลังพูดจบ ศิษย์น้องห้าจะจ้องมาที่เขาด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยเพลิงไฟอันน่าสะพรึงกลัว

กระทั่งปรมาจารย์แห่งเต๋าที่มีตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณอย่างเฟิงอวิ๋นยังรู้สึกขวัญสั่น “หืม เป็นอะไรไป?”

“ท่าน...ไปฟังใครมาว่าเจ้าหวังจงนั่นเป็นบุตรแห่งอาณัติสวรรค์?”

“หา? เจ้ามิได้เป็นคนบอกหรือ?”

“เพ้อเจ้อ! ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าหวังจงเป็นบุตรแห่งอาณัติสวรรค์? ดูสารรูปกระจอกงอกง่อยนั่นประไรดูก็รู้แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้!? ต้องเป็นโศกนาฏกรรมชนิดไหนถึงได้ให้เขาเป็นบุตรแห่งอาณัติสวรรค์!? ถึงว่าทำไมท่านถึงใช้เวลามองเขาราวกับคนโง่นานขนาดนั้น ที่แท้ท่านคิดว่าหวังจงเป็นบุตรแห่งอาณัติสวรรค์รึ!?”

เจ้าสำนักเริ่มตระหนก “อย่ามาล้อเล่น ก่อนหน้านี้เจ้าบอกเองว่าด่านหมู่บ้านธาราวิญญาณ มีเพียงบุตรแห่งอาณัติสวรรค์เท่านั้นที่สามารถปลดโซ่ภารกิจสำเร็จ จากนั้น...”

จากนั้นศิษย์น้องห้าก็ยิ่งโมโห “ใช่ ถูกแล้ว ไม่ผิด แต่มันไม่ได้ถูกปลดโดยเจ้าโง่นั่น!”

เจ้าสำนักเบิกตาค้าง “หา? คนที่ทำภารกิจสำเร็จมิใช่หวังจงหรอกรึ?”

ศิษย์น้องห้าตบโต๊ะด้วยความโกรธ “หวังจงอะไรเพ้อเจ้อไร้สาระ!? ท่านเป็นใคร? บอกมาว่าเจ้าสำนักตัวจริงอยู่ที่ไหน!?”

ตอนนั้นเอง เจ้าสำนักก็สงบนิ่งลงแล้วรีบจัดระเบียบความทรงจำใหม่อีกครั้ง ทันใดนั้นก็พบปัญหาทันที

“พูดแล้วก็ละอาย ข้ามิได้มองให้รอบคอบจริงๆ ตอนนั้นข้าเพียงมองผ่านประตูห้องเพียงรอบเดียวเท่านั้น...ยังนึกแปลกใจอยู่เลยว่าเหตุใดบุคคลในตำนานจึงมีรากวิญญาณแค่ระดับสาม...แต่ตอนนั้นพลังประกายดาวถูกนำไปใช้กับอย่างอื่น ไม่ทันได้เปิดดวงตาแห่งจิต จึงมองไม่ออกว่าหวังลู่คือรากวิญญาณนภา ยังนึกว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเลยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหวังจง...”

“ท่านมันโง่เง่าไร้สมอง! ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองฝึกตนจนตาบอดกระทั่งคำว่า ‘ชา’ กับ ‘ปี’ ยังแยกไม่ได้ ไม่ใช่แค่นั้นออกจากบ้านยังไม่ยอมพกแว่น ยังบังอาจไม่เปิดดวงตาแห่งจิต นี่ท่านเจตนาใช่หรือไม่?! ข้าจะฟ้องท่าน! จากนั้นก็จะฟ้องเจ้าสำนักคนต่อไป ฟ้องจนกว่าข้าจะได้เป็นเจ้าสำนัก!”

“…”

......................................

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด