ตอนที่แล้วภาค 1 ตอนที่ 24 แล้วจะได้รู้ว่าอะไรคือความไม่ธรรมดา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 1 ตอนที่ 27 สาแก่ใจจริงๆ!

ภาค 1 ตอนที่ 25 อย่าดูถูกของสะสมนะ!


ตอนที่ 25 อย่าดูถูกของสะสมนะ!

เมื่อเด็กสาวเปิดริมฝีปากแดงระเรื่อแล้วอ่านรายชื่อจากม้วนกระดาษจบ รอยยิ้มเจิดจรัสที่ฉายบนใบหน้าของนางก็ยังคงไม่หายไป

ในขณะที่บรรดาผู้ทดสอบที่ยืนอยู่หน้าห้องโถงกลับรู้สึกราวกับถูกกระบี่น้ำค้างแข็งนิลฟันฉับเข้าที่ศีรษะจนสติดับวิญญาณแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี

ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างคาดเดารายชื่อของคนที่ผ่านเกณฑ์ไว้แล้วในใจ และไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีชื่อของหวังลู่กับผู้โชคดีอีกสองคน ในสองคนนั้นไห่อวิ๋นฟานได้รับคะแนนเสียงสูงสูด ตามติดมาด้วยจูฉิน และหวังจงตามลำดับ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะอยู่เหนือความคาดหมายจนน่าตกใจเยี่ยงนี้

คนที่โดดเด่นได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดไม่ผ่านด่านสักคน ไห่อวิ๋นฟานไม่เท่าไหร่ แม้แต่หวังลู่ก็ยังถูกเขี่ยทิ้ง ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน!?

ความสะเทือนตกใจกดทับอาการดีใจ จูฉินและหวังจงที่มีรายชื่ออยู่บนกระดาษแม้แต่จะยิ้มก็ยังยิ้มไม่ออก คนหนึ่งหยิกขาตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนอีกคนพุ่งเอาหัวโหม่งต้นไม้จนมีเสียงกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันดังสวบสาบ

มีเพียงเหวินเป่าที่มีรายชื่ออยู่อันดับแรกเท่านั้นที่ยังคงตบมือหัวเราะร่าอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา “เย้! ข้าถูกเลือก!”

จากนั้นเขาก็หายใจไม่ออก เป็นลมล้มคว่ำลงกับพื้น

ส่วนคนอื่นๆ นั้น ส่วนใหญ่กำลังอยู่ในอาการไม่เข้าใจและเฝ้ารอดูต่อไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เนื่องจากใบรายชื่อดังกล่าวดูเหมือนไม่ค่อยสมเหตุสมผลและยากจะทำใจเชื่อได้ หรือนี่จะไม่ใช่รายชื่อจริง อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแบบทดสอบเพิ่มเติมที่เอาไว้ทดสอบจิตใจ

ความจริงแล้ว ไม่เพียงแต่คนที่อยู่หน้าห้องโถงเท่านั้น กระทั่งบรรดาอาวุโสในห้องโถงก็ยังงุนงงกับใบรายชื่อนี้ไม่ต่างกัน

สาเหตุที่ไห่อวิ๋นฟานและหวังลู่ตกรอบล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของแต่ละคน ในบรรดาสามคนที่ถูกเลือก...เหวินเป่าและจูฉินไม่พูดถึง แต่หวังจงคนนั้นแทบจะไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสำนักกระบี่วิญญาณด้วยซ้ำ แม้ว่ารากวิญญาณจะไม่เลว แต่คุณสมบัติในด้านอื่นของเขานั้นย่ำแย่เหลือทน

แต่ไม่รู้ผีแกล้งหรือโชคดี หวังจงได้รับความโปรดปรานจากเจ้าสำนัก! ตามหลักแล้วผู้อาวุโสทั้งเก้าแห่งหอกระบี่สวรรค์นั้นต่างมีสถานะเท่าเทียมกัน แม้ว่าผู้อาวุโสหนึ่งหรือสองคนจะมีความลำเอียงแต่นั่นแทบไม่มีผลใดๆ แต่ตอนที่หัวหน้าผู้อาวุโสเอ่ยปากว่าเขาสนใจหวังจง ขอเพียงมีเขาในใบรายชื่อเท่านั้นก็ถือว่าบรรลุสำเร็จผล

คนนอกห้องโถงไม่มีทางรู้อย่างแน่นอนว่าจะมีความเห็นที่ลำเอียงเช่นนี้เกิดขึ้นในสำนักชั้นสูงอย่างสำนักกระบี่วิญญาณ ยังคงสับสนมึนงงกับความจริงเท็จของใบรายชื่ออย่างยิ่งยวด

แน่นอนว่ายังมีคนที่มิได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น

“พี่หวังลู่ เรื่องนี้...ท่านคิดเห็นอย่างไร?”

สีหน้าของไห่อวิ๋นฟานหม่นลงเมื่อถามคำถามนี้ คนรอบข้างอาจจะคิดว่ายังมีความหวัง แต่เขากลับรู้สึกด้วยสัญชาตญาณว่าใบรายชื่อของดรุณีนางนั้นเป็นของแท้แน่นอน

พูดอีกอย่างก็คือ นี่คือผลตัดสินสุดท้าย! เขากับหวังลู่ต่างตกรอบด้วยกันทั้งคู่ ผิดกับจูฉิน หวังจง และเหวินเป่าที่ได้ก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญตน!

หวังลู่เองก็รู้สึกงุนงงกับผลการตัดสินนี้เช่นเดียวกัน

“เวร! เกิดอะไรขึ้นกับโครงเรื่องนี้! เริ่มต้นด้วยความอิ่มเอมเปรมสุข แต่กลับจบด้วยโศกนาฏกรรมของตัวเอก... อารมณ์ศิลปินถือเป็นโรคชนิดหนึ่งไม่รู้หรือไรพวกเทพเซียนทั้งหลาย!”

ใจของไห่อวิ๋นฟานยิ่งหม่นลงอีก ปฏิกิริยาของหวังลู่ยืนยันความรู้สึกตามสัญชาตญาณของตนอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นนั้นแล้ว...

“ต้องประท้วงหรือไม่พี่หวังลู่?”

“ไม่เพียงแต่ประท้วงเท่านั้น เราควรรวบรวมกองทัพสื่อเพื่อปฏิบัติการเผยแพร่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดลงบนสื่อทุกชนิดจนดังกระฉ่อน ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดอย่างข้า จะเกณฑ์ผู้คลั่งไคล้ที่ติดตามอยู่ทั้งสี่สิบล้านคนให้บดขยี้สำนักนี้จนตาย!”

“หา? พี่หวังลู่ท่านใจเย็นก่อน...”

“โอ๊ะ แค่ล้อเล่นเท่านั้นล่ะ” กล่าวถึงตรงนี้หวังลู่ก็เผยรอยยิ้มอันนิ่งสงบที่ทำให้ไห่อวิ๋นฟานชื่มชมอย่างสุดซึ้งด้วยใจจริง

“อันที่จริงเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน”

“ดีรึ!?” ไห่อวิ๋นฟานตาถลนขณะที่กำลังถอดรหัสคำว่า ‘ดี’ ที่ติดอยู่บนใบหน้าหวังลู่

“ไห่น้อย เหตุการณ์ตรงหน้าฉากนี้ ศัพท์วิชาการเรียกว่าเป็นโครงเรื่องที่ใช้ความอาภัพโศกศัลย์และอัดอั้นตันใจที่ไม่มีเหตุผลเป็นตัวเปิดเรื่อง เพื่อที่สุดท้ายตัวเอกจะได้มีอนาคตที่สุกใส เจ้าและข้าตกรอบด้วยคะแนนในระดับที่สูงลิ่ว ซึ่งคล้ายกับตัวเอกอาภัพที่ถูกถอนหมั้นอย่างโหดร้าย แต่ยิ่งเศร้าเท่าไหร่ อนาคตก็จะยิ่งสวยงามเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงตกรอบงานชุมนุมคัดเลือกเซียนอะไรนั่น ดีที่สุดต้องโดนฆ่ายกครัว หลุมศพของบรรพบุรุษถูกขุดขึ้นมา ผู้หญิงในบ้านถูกลงแขก ตอนจบของเรื่องก็จะยิ่งดี! อนาคตของเจ้าและข้าต้องได้เป็นเซียนอมตะที่ยิ่งใหญ่เหนือทุกคนอย่างแน่นอน!”

“พี่หวังลู่ตื่นก่อน!”

เห็นหวังลู่ที่ดูเหมือนตกอยู่ในความคิดบ้าคลั่งอันไม่มีเหตุผลแล้ว ไห่อวิ๋นฟานก็ตกใจเช่นกัน และในเวลานั้นเองก็มีเสียงถอนหายใจครั้งหนึ่งดังมาจากข้างๆ

“ท่าทางดูไม่ได้เลยนะ พี่หวังลู่ดูจากท่าทางสบายๆ ไม่เคยกังวลเรื่องอะไรเลยของท่าน ไม่ควรจะตกใจถึงจะถูกสิ”

หวังลู่หันศีรษะกลับไปอย่างแปลกใจ “เจ้าคือใคร?”

“จูฉินแห่งประเทศต้าหมิง” เด็กหนุ่มประสานมือแล้วกล่าวต่อไปว่า “ท่านเคยดูแลข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในหมู่บ้านดอกท้อ”

หวังลู่ร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง “จำได้แล้ว เจ้าคือคนที่หลอกล่อเด็กรับใช้ของข้าไปนี่เอง”

จูฉินสะอึกพูดไม่ออก ตอนนั้นเข้าเป็นเพื่อนกับหวังจงและยุให้เขาเป็นอิสระไม่เป็นข้าใคร แม้วิธีการจะไม่สะอาด แต่ยามนั้นหวังลู่อยู่สูงเกินไป สูงจนไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้ ดังนั้นจึงต้องใช้ประโยชน์หวังจงเท่านั้น

“นอกจากนี้ เป็นท่านอีกเช่นกัน ที่ทำให้ข้าสามารถข้ามขุนเขาวายุน้ำแข็งจนมาถึงที่นี่ได้ ความสำเร็จทั้งหมดของข้าจูฉินในวันนี้ล้วนต้องขอบคุณความช่วยเหลือของพี่หวังลู่จริงๆ”

หวังลู่หัวเราะหึๆ

“บนเส้นทางบรรลุเซียน ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ข้าล้วนแต่คอยมองตามหลังท่านเท่านั้น พี่หวังลู่ บอกตามตรง ในใจข้านอกจากนับถือท่านแล้วมันยังอัดแน่นไปด้วยความริษยา ท่านและข้าต่างก็เป็นคนต้าหมิง ข้าเป็นรัชทายาท ส่วนท่านเป็นเพียงลูกชาวนา ทว่าบนเส้นทางบรรลุเซียนนี้ข้ากลับไม่สามารถเทียบท่านได้เลย”

แม้ว่าคำพูดของเขาจะทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งประทับใจ แต่หวังลู่ยังคงหัวเราะอยู่อย่างนั้น

จูฉินไม่ใส่ใจกับปฏิกิริยานั้น พูดต่อไปว่า “แต่ผลการตัดสินนี้...เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ เส้นทางแห่งการมีอายุวัฒนะเป็นเรื่องไม่แน่นอน แต่พี่หวังลู่ สำหรับข้าแล้ว อัญมณีความเก่งกาจและเฉลียวฉลาดของท่านไม่มีทางถูกกลบฝังแน่นอน ดังนั้นมองความจริงหน่อย แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติในการแข่งขัน จากความสามารถของท่าน อย่างไรก็ต้องประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านใดก็ด้านหนึ่งอยู่แล้ว อีกอย่างนอกจากสำนักกระบี่วิญญาณแล้วข้างนอกยังมีสำนักฝึกเซียนอีกมากมายนับไม่หวาดไม่ไหว บนวิถีเซียนอย่างไรท่านและข้าก็ย่อมต้องได้พบกันอีกครั้งอยู่แล้ว”

“หึๆ” หวังลู่ยังคงหัวเราะไม่หยุด

การแสดงของจูฉินทุ่มเทสุดๆ แต่นักแสดงที่เป็นมืออาชีพกว่าเขา หวังลู่เคยเห็นมานักต่อนักแล้ว

“…ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงคำพูดจากใจของข้าในฐานะผู้เข้าร่วมทดสอบคนหนึ่งเท่านั้น หวังว่าพี่หวังลู่จะมิเข้าใจผิดเป็นอื่น”

หวังลู่พยักหน้า “สุดท้ายผลงานจะเป็นตัวตัดสินสินะ ไม่ต้องห่วง ข้าเข้าใจดี”

จูฉินขมวดคิ้ว อดเอ่ยต่อไปอีกไม่ได้ว่า “พี่หวังลู่ แล้ว... ในอนาคตหากไม่อาจเดินบนทางเซียน ท่านก็สามารถเข้ารับราชการเป็นขุนนางในประเทศต้าหมิงได้ ได้ยินมาว่าท่านได้รับการศึกษาสูง เชี่ยวชาญวรรณกรรม อัจฉริยะถึงขั้นสามารถสอบจ้วงหยวนได้ แม้ว่าข้าไม่อาจสืบทอดราชบัลลังก์ได้ แต่เรื่องบางเรื่องก็พอทำได้อยู่”

หวังลู่ขำพรืด “เจ้ากำลังรับสมัครลูกสมุนรึ? อา... ถ้าเจ้ายอมแบ่งคู่บำเพ็ญให้ข้า นั่นถึงจะแสดงถึงความจริงใจหน่อย ถึงตอนนั้นจะให้ข้าช่วยทำงานก็ได้ เจ้าคิดว่าอย่างไร? แบ่งเมียเจ้าให้ข้าขี่สิ ไม่ต้องกังวลว่าตอนนี้เจ้าจะยังเด็กเกินไป ให้ข้าจองไว้ก่อนก็ได้”

จูฉินรู้สึกราวกับบังเอิญกินก้อนขี้หมาในงานเลี้ยงหรูหรา แล้วเผลอกลืนเข้าไปด้วยความเคยชิน

หวังลู่ก็คือหวังลู่ เพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้คำพูดอันแสนมีน้ำใจของเขากลายเป็นก้อนขี้หมา...เอาเถอะ พี่หวังลู่ เข้าจะจำไว้

และในขณะที่ทุกคนมุ่งความสนใจไปยังร่างของหวังลู่และจูฉินนั้น เด็กสาวสดใสหน้าห้องโถงผู้นั้นก็หันศีรษะกลับไปทางด้านห้องโถงทันที คล้ายกำลังฟังเสียงกระซิบจากผู้อาวุโส ครู่เดียวก็ทำเสียงอืออาตอบรับอยู่หลายคำ แล้วหันไปทางหวังลู่และไห่อวิ๋นฟาน

“คือว่า...ท่านอาจารย์ขอให้ข้าบอกสาเหตุที่พวกเจ้าทั้งสองไม่ผ่านการคัดเลือก แม้ว่าที่ผ่านมาสำนักกระบี่วิญญาณจะไม่จำเป็นต้องมานั่งอธิบายในสิ่งที่ตัดสินไปแล้ว แต่สถานการณ์ของเจ้าทั้งสองพิเศษยิ่ง... คนแรกคือองค์ชายไห่อวิ๋นฟาน ตามผลการประเมินจากดวงตาแห่งจิตของผู้อาวุโส รากวิญญาณของเจ้าคือลมและน้ำ เป็นรากวิญญาณระดับสาม หากพูดถึงคุณสมบัติเพียงอย่างเดียว...ก็อยู่ในระดับที่ยอดเขาเร้นลับต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นจิตใจ สติปัญญา รวมไปถึงคุณสมบัติด้านอื่นๆ ของเจ้าก็ยังเกินมาตรฐานอีกด้วย...”

ฟังถึงตรงนี้ ไห่อวิ๋นฟานอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “แล้วเหตุใด...ข้าจึงไม่ถูกเลือก? เพราะคนอื่นเก่งกว่า หรือเพราะพื้นที่ของสำนักกระบี่วิญญาณไม่พอ?”

เด็กสาวชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกระทืบเท้าด้วยความโมโหเล็กน้อย “เจ้าอย่าเพิ่งขัดข้าสิ กว่าข้าจะจำสิ่งที่อาจารย์พูดได้มิใช่เรื่องง่ายนะ เห็นหรือไม่ว่าตอนนี้ข้าลืมหมดแล้ว! เจ้าไปเดาเหตุผลเอาเองเถอะ!”

“ขะ...ขออภัย” ไห่อวิ๋นฟานรีบสำนึกรับผิด

เด็กสาวหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์ หูของนางกระดิกเบาๆ ดูเหมือนกำลังฟังเสียงกระซิบจากเหล่าอาจารย์ในห้องโถงอีกครั้ง

“อ้อ เหตุผลสำคัญที่เจ้าไม่ถูกเลือกคือพื้นฐานรากวิญญาณของเจ้าไม่เข้ากับกระบวนการฝึกของสำนักกระบี่วิญญาณ รากวิญญาณลมน้ำมีพลังหยินมากเกินไป และสำนักกระบี่วิญญาณไม่มีการวิชาที่เหมาะสมกับมัน”

ไห่อวิ๋นฟานกะพริบตาปริบๆ “หา?”

“มิใช่ว่าฝึกไม่ได้ แต่วิชาที่สำนักกระบี่วิญญาณมีอยู่ตอนนี้สามารถดึงศักยภาพของเจ้าออกมาได้เพียงแปดส่วนเท่านั้น เกรงว่าจะสิ้นเปลืองเวลาของเจ้าเปล่าๆ”

ไห่อวิ๋นฟานไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือขำดี “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้เป็นคนตระหนี่ขนาดนั้น”

เด็กสาวกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่เหมือนกันหรอกนะ เพราะรากวิญญาณระดับสาม...เป็นระดับที่ต่ำสุดของการบรรลุสู่เซียนอมตะ ขาดเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้หมดวาสนาบนวิถีเซียนได้ นับประสาอะไรกับแปดส่วนเช่นเจ้า?”

ไห่อวิ๋นฟานขมวดคิ้ว “ระดับต่ำที่สุดของการบรรลุ? เรื่องนี้ขอวางไว้ก่อน โลกบำเพ็ญเซียน... จุดประสงค์ย่อมต้องเป็นการค้นหาทางแห่งเซียนอยู่แล้ว แต่มีคนที่บรรลุจริงๆ หรือไม่?”

เด็กสาวกล่าว “หลังจากกลียุคครั้งก่อนก็ยังไม่เคยมี เนื่องจากตามหลักแล้วแค่มีรากวิญญาณระดับสามก็สามารถบรรลุเซียนได้ แต่ความจริงระหว่างการบำเพ็ญนั้นอาจจะมีสารพันปัญหาเกิดขึ้นจนกลายเป็นอุปสรรค ทำให้ไม่สามารถไปถึงจุดหมายได้ ดังนั้นต่อให้เป็นรากวิญญาณสวรรค์ก็ตาม...จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครบรรลุเช่นกัน”

หญิงสาวกล่าวต่อ “แต่เพราะว่า...นี่คืองานชุมนุมคัดเลือกเซียน และสำนักกระบี่วิญญาณก็เป็นสำนักของการบำเพ็ญเซียน เราจะรับคนที่ไม่อาจบรรลุเข้ามาทำไม? ทำงานจิปาถะรึ? ต่อให้หลายพันปีมานี้ยังไม่เคยมีใครบรรลุกลายเป็นเซียนมาก่อน แต่หากปล่อยปละ ลดมาตรฐานตัวเองลง เช่นนั้นสำนักกระบี่วิญญาณก็ไม่ต่างอะไรกับสำนักปลายแถวเหล่านั้นหรอก แม้ว่าคนของเราจะน้อย แต่อุดมการณ์เราแน่วแน่”

ทุกคนในที่นี้ต่างอึ้งกับคำพูดของนาง

ในระยะไม่กี่ปีมานี้ ไม่เพียงแต่โลกบำเพ็ญเซียนเท่านั้น กระทั่งในสายตาของคนในแดนมนุษย์ สำนักกระบี่วิญญาณคือสำนักที่มีดีแต่ชื่อ ใช้ชีวิตแบบรอวันตายไปวันๆ คิดไม่ถึงว่าจะยังมีอุดมการณ์และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าเพียงนี้!

ไห่อวิ๋นฟานประทับใจจนแทบหลั่งน้ำตา มารดาเถอะ นี่กะฝังข้าให้ตายใช่หรือไม่!?

“อย่างไรก็ตาม...คุณสมบัติในด้านอื่นๆ ของเจ้าดีเกินไป หากสะบั้นวาสนาเซียนก็เห็นทีจะน่าเสียดายเกินไป ดังนั้นทางเราหารือกันแล้วว่าจะให้เขียนจดหมายแนะนำไปยังสำนักเซียนหมื่นยุทธ ที่นั่นเป็นสำนักที่มีวิชายุทธกว้างขวางที่สุดบนโลกบำเพ็ญเซียน ไม่ว่าจะเป็นรากวิญญาณแปลกพิสดารหายากแค่ไหน ล้วนสามารถได้รับการฝึกที่เหมาะสมจากที่นี่ นอกจากนี้พวกเขายังไม่จุกจิกเลือกมาก ไร้ศีลธรรมจรรยายิ่ง เหมาะกับเจ้ามากกว่าสำนักกระบี่วิญญาณของเรา”

“สำนักเซียน...หมื่นยุทธ” ไห่อวิ๋นฟานพึมพำกับตัวเอง ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียในใจอย่างรวดเร็ว

หากมีจดหมายแนะนำของสำนักกระบี่วิญญาณล่ะก็มีผลแน่นอน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน สำนักเซียนหมื่นยุทธย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เท่าสำนักเซิ่งจิง แต่ก็ยังอยู่ในสำดับสองสามในกลุ่มห้าสำนักชั้นยอด และมีอาณาเขตติดกับสำนักคุนหลุน นอกจากนี้หากสามารถขุดศักยภาพในการบำเพ็ญเซียนของตนออกมาได้ อย่างไรก็ย่อมดีกว่าตัวเลขแปดส่วนของสำนักกระบี่วิญญาณอยู่แล้ว

ผลของการชั่งน้ำหนักออกมาอย่างเป็นเอกฉันท์ ทว่าลึกๆ แล้วไห่อวิ๋นฟานกลับมีฟางความลังเลเส้นหนึ่งผุดขึ้นอย่างไม่สามารถอธิบายได้ แม้จะรู้สึกว่าตนไม่น่าจะคิดผิดที่เลือกสำนักเซียนหมื่นยุทธ แต่ในอนาคตข้างหน้า จะมีความเสียใจเสี้ยวเล็กๆ ผุดออกมาหรือไม่...?

เมื่อคิดเช่นนี้ ไห่อวิ๋นฟานจึงตัดสินใจมองไปทางหวังลู่

“พี่หวังลู่ หากเป็นท่าน...”

แต่ยังไม่ทันที่หวังลู่จะได้ตอบ เด็กสาวจากสำนักกระบี่วิญญาณก็กล่าวต่อไปว่า “ส่วนผู้ทดสอบอีกท่าน คุณภาพจิตใจและสติปัญญา...สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เหนือกว่าองค์ชายไห่อวิ๋นฟานยิ่ง สำหรับรากวิญญาณ...อืม เหมือนที่เจ้าเดาเอาไว้ มันคือรากวิญญาณสวรรค์”

รากวิญญาณสวรรค์!?

“นอกจากนี้...” ยิ่งพูดรอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้น “ยังเป็นรากวิญญาณนภาที่หาได้ยากที่สุดในบรรดารากวิญญาณสวรรค์ทั้งหมดด้วยนะ”

รากวิญญาณนภา? คนส่วนใหญ่ในที่นั้นยังไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อนี้

“อืม อันที่จริงข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน ท่านอาจารย์เพิ่งบอกข้าเมื่อครู่นี้นี่เอง... รากวิญญาณนภานั้น

ในตำนานบอกว่าเป็นรากวิญญาณที่จักรพรรดิเซียนฉินสื่อหวงและปฐมกษัตริย์เต๋อเซิ่งมี จักรพรรดิเซียนฉินสื่อหวงเป็นผู้รวบรวมอาณาจักรเก้าแคว้น ในขณะที่ปฐมกษัติย์เต๋อเซิ่งเป็นผู้นำที่ทำให้อาณาจักรเก้าแคว้นคว้าชัยชนะจากมหาสงครามเทพปิศาจ...”

ในอดีตกาล จักรพรรดิเซียนฉินสื่อหวง และปฐมกษัตริย์เต๋อเซิ่ง... ถือเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุดบนโลกบำเพ็ญเซียน หลังกลียุคผ่านไป พวกเขาก็ได้รับความเคารพยำเกรงจากผู้คนมากยิ่งขึ้น หากถามว่ารากวิญญาณที่พวกเขามีแข็งแกร่งขนาดไหน กลัวว่าจะเหนือกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถจินตนาการได้....

เมื่อตะลึงเสร็จก็ถึงคราวของความสงสัย หากรากวิญญาณของหวังลู่เทียบได้กับเซียนผู้ยิ่งใหญ่สองท่านนั้น และมีจิตใจ สติปัญญา และคุณสมบัติด้านอื่นๆ สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เช่นนั้นแล้ว... สำนักกระบี่วิญญาณมีเหตุผลอะไรที่ไม่เลือกเขา? หรือว่าอีกประเดี๋ยวจะเขียนจดหมายแนะนำไปยังสำนักเซิ่งจิง?

“ไม่ใช่หรอก เรื่องนี้... อธิบายยากมาก...” เด็กสาวยิ่งพูดก็ยิ่งเหงื่อตก “ท่านอาจารย์~ ข้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้ว ท่านมาอธิบายกับพวกเขาเองเถอะ!”

จากนั้นเด็กสาวก็กุมศีรษะราวกับเจ็บปวดอย่างรุนแรง “รู้แล้ว รู้แล้ว อย่าตะโกนใส่ข้าสิ...”

“อืม พูดง่ายๆ ก็คือ พื้นฐานของรากวิญญาณมิใช่ว่ายิ่งหายาก ยิ่งแข็งแกร่งก็จะยิ่งดี ตรงกันข้าม ระดับของรากวิญญาณสูงเท่าไหร่ การฝึกก็จะยิ่งมีข้อจำกัดมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่นรากวิญญาณสวรรค์ธาตุไฟ ก็ไม่อาจฝึกวิชาที่เกี่ยวกับธาตุน้ำได้ แม้ว่าจะฝืนฝึกก็เสียเวลาเปลืองแรงเปล่า เพราะแม้แต่ขั้นสร้างฐานก็ยังไม่อาจฝึกจนสำเร็จได้  สำหรับพลังของธาตุไฟนั้น มีเพียงระดับสูงสุดซึ่งก็มีอยู่จำนวนน้อยนิดเท่านั้นจึงจะสามารถแสดงศักยภาพของมันทั้งหมดออกมา นอกจากนี้แล้วระหว่างการบำเพ็ญต้องใช้วัตถุดิบวิเศษจำพวกสมุนไพรและแร่ต่างๆ จำนวนมาก กระทั่งอาวุธธรรมก็ยังมีข้อจำกัดในการใช้ที่เข้มงวด ดังนั้นโลกบำเพ็ญเซียนตอนนี้ มีเพียงสำนักที่สูงกว่าระดับหนึ่งเท่านั้นจึงจะมีปัญญาบ่มเพาะผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณสวรรค์”

พูดถึงตรงนี้ คนจำนวนไม่น้อยดูเหมือนเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

เด็กสาวกล่าวต่อ “แต่นี่ใช้ได้กับเฉพาะรากวิญญาณสวรรค์ไม่กี่ประเภทที่ค่อนข้างธรรมดาและพบเห็นได้บ่อยเท่านั้น นับตั้งแต่หลังกลียุคครั้งแรกเป็นต้นมา สำนักบำเพ็ญเซียนจำนวนมากหากไม่ปิดตัวลง ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณฟ้าดิน ทำให้วิธีบ่มเพาะรากวิญญาณบางอย่างสูญหายไปอย่างสมบูรณ์ ดังเช่นผู้อาวุโสผู้โดดเดี่ยวของสำนักเซิ่งจิง ทั้งๆ ที่มีรากวิญญาณพิบัติที่หายากยิ่ง แต่กลับต้องเจอกับข้อจำกัดหลายๆ อย่าง สามร้อยปีผ่านไปก็ยังไม่อาจบรรลุกลายเป็นเซียน... รากวิญญาณพิบัติก็เป็นเช่นนี้แล ส่วนรากวิญญาณนภายิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้กระทั่งก่อนกลียุค ก็ยังไม่มีวิชาที่เข้ากันได้สืบทอดลงมาเลย ตำนานเล่าว่าจักรพรรดิเซียนฉินสื่อหวงและปฐมกษัตริย์เต๋อเซิ่งได้รับการถ่ายทอดวิชาของโลกเทพเซียนถึงก้าวเข้าสู่เส้นทางบำเพ็ญตนได้ และปฐมกษัตริย์เต๋อเซิ่งนั้นยิ่งมีบันทึกว่าเขาเคยไปขอรับวิถีธรรมที่เขาคุนหลุน ในระยะเวลาสิบปีเขาได้ทดลองมาแล้วหลายหมื่นวิธี แต่พลังเซียนก็ยังไม่อาจสถิตอยู่ในตัวได้ทั้งหมด ดังนั้น...”

หลังจากที่หยุดไปครู่หนึ่ง เด็กสาวก็กล่าวความจริงอันแสนโหดร้ายออกมาอย่างสงบว่า “ดังนั้นไม่เพียงแต่สำนักกระบี่วิญญาณเท่านั้น ทุกวันนี้โลกบำเพ็ญเซียนก็ยังไม่มีสำนักใดสามารถบ่มเพาะผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณนภาได้ ไม่ต้องพูดถึงขั้นกำเนิดใหม่หรือขั้นเปลี่ยนวิญญาณอะไรเลย กระทั่งดึงพลังให้เข้ามาสถิตในร่างกายก็ยังทำไม่ได้ รากวิญญาณนภานั้น นับตั้งแต่หลังกลียุคเป็นต้นมาเป็นเพียงของประดับหายาก และเป็นเพียงของสะสมที่มีราคาเท่านั้น...”

........................................

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด