ภาค 1 ตอนที่ 24 แล้วจะได้รู้ว่าอะไรคือความไม่ธรรมดา
ตอนที่ 24 แล้วจะได้รู้ว่าอะไรคือความไม่ธรรมดา
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บนยอดเขาประกายดาว ท่านเจ้าสำนักเคาะไปที่กระบี่สีเงินวาวตรงหน้าเบาๆ อย่างเคร่งขรึมก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เขาอยู่กลุ่มนี้จริงๆ สินะ... ศิษย์น้องห้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
อีกด้านของกระท่อมไม้ไผ่ หญิงสาวอาภรณ์ขาวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังซึ่งยากนักที่จะเห็น “ข้าถึงขนาดสามารถระบุชื่อด้วยซ้ำ...คนที่ปลดโซ่ภารกิจของข้าสำเร็จ ต้องมิใช่คนธรรมดาแน่นอน”
เจ้าสำนักกล่าว “เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เคยบอกข้าเหมือนกัน และข้าเองก็ได้เห็นกับตามาแล้ว...ด้วยความสัตย์จริง ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่าเขาจะมีคุณสมบัติเป็นถึงบุตรแห่งอาณัติสวรรค์”
“จิ๊ ท่านกลายเป็นคนที่ให้คุณค่ากับคุณสมบัติตั้งแต่เมื่อไหร่? หากข้าหาอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณสวรรค์มาให้ ท่านมีปัญญาสอนไหม?”
เมื่อเจอวาจาดูถูกของศิษย์น้องหญิงเข้าไปเจ้าสำนักจึงกระแอมออกมาเบาๆ ก่อนว่า “ศิษย์น้องหญิงดูเหมือนเจ้าจะลืมเหยาเอ๋อร์อีกแล้ว?”
“...ให้ตายเถอะ อย่างไรซะสุดท้ายคนที่ข้าเล็งไว้ต่อให้เป็นรากวิญญาณระดับห้า ไม่สิ ต่อให้เป็นรากวิญญาณระดับหกก็ไม่ทางผิดพลาดแน่นอน อีกอย่างบุตรอาณัติสวรรค์แห่งกลียุคบ้าบอไร้สาระนั่นล้วนมาจากท่านทั้งนั้น ข้าเพียงช่วยท่านออกแบบบททดสอบที่ทำให้สามารถเห็นตัวคนพิเศษผู้นี้ได้ก็เท่านั้นเอง หากท่านสงสัย เช่นนั้นแล้ว...”
เจ้าสำนักโบกมือปฏิเสธพัลวัน “ข้ามิได้สงสัยเจ้า เพียงแต่รู้สึกแปลกเล็กน้อย...ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าพูดมาขนาดนี้แล้วก็ไม่น่ามีอะไรผิดพลาด ส่วนบุตรอาณัติสวรรค์คนนั้นข้าจะจับตาดูอย่างจริงจังอีกรอบ หากจำเป็นจริงๆ ก็อาจจะต้องใช้สิทธิพิเศษของเจ้าสำนัก”
ศิษย์น้องหญิงหัวเราะเยาะ “ขนาดสิทธิพิเศษยังใช้ไม่ลง เป็นเจ้าสำนักภาษาอะไร? ยกตำแหน่งให้ข้าดีกว่า แล้วข้าจะแสดงให้ท่านรู้ว่าการเป็นเจ้าสำนักที่ดีเป็นเช่นไร”
และเจ้าสำนักก็หายตัวไปจากกระท่อมทันทีโดยมิได้สนใจนางแม้แต่สักนิด ปล่อยให้หญิงสาวอาภรณ์ขาวยืนเบ้ปากไม่สบอารมณ์อยู่ตรงนั้น
แบบทดสอบเพิ่มเติมครั้งนี้เจ้าสำนักอนุญาตให้เพียงผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่สวรรค์เป็นผู้ตัดสินเท่านั้น ส่วนอดีตผู้อาวุโสอย่างนางกระทั่งเข้าฟังยังไม่มีสิทธิ์ ตอนนี้ทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกอย่างแห้งเหี่ยว แต่ว่า...
หญิงสาวมองกวาดตารอบห้อง รอยยิ้มแววโลภมากปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก แม้ศิษย์พี่จะขึ้นชื่อเรื่องความสมถะ อย่างไรซะเขาก็เป็นเจ้าสำนักแถวหน้า กระท่อมไม้ไผ่เป็นที่บำเพ็ญของเขา ดังนั้นต้องมีสมบัติซ่อนอยู่ไม่น้อยแน่ๆ ปกติแล้วเจ้าสำนักจะใช้อาคมห้ามบุคคลภายนอกเข้า หรือไม่เขาก็นั่งเฝ้าด้วยตัวเองตลอดเวลา ทำให้หญิงสาวชุดขาวไม่มีโอกาสลงมือสักที ทว่าตอนนี้...สวรรค์มอบโอกาสให้นางแล้ว!
ทันใดนั้นเองนางก็รู้สึกทุกอย่างตรงหน้าพร่าเบลอ ต่อมาก็พบว่าตนยืนอยู่นอกกระท่อมแล้ว ไม่จำเป็นต้องขยายความอะไรมาก ต้องเป็นเพราะอาคมในห้องสำแดงฤทธิ์เตะนางออกมาแน่
“บัดซบ! น้ำไม่เคยให้รั่วแม้แต่สักหยดเดียว จะระวังตัวอะไรถึงเพียงนี้!? จิตใจคับแคบจริงๆ!”
ในขณะที่กำลังบ่นอยู่นั้น หญิงสาวก็สังเกตเห็นสิ่งหนึ่งกำลังสะท้อนแสงวิบวับบนโต๊ะ
“…คนโง่เง่าผู้นั้นลืมพกแว่นอีกแล้วรึ?”
——
เพียงครู่เดียวเจ้าสำนักก็นั่งอยู่ในหอเมฆาเร้นลับ
เหล่าผู้อาวุโสต่างลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอย่างพร้อมเพียง “ทำความเคารพศิษย์พี่เจ้าสำนัก!”
“อ่า ศิษย์น้องทั้งหลายไฉนต้องเกรงใจกันถึงเพียงนี้ ข้ามาสาย ฉะนั้นเป็นข้าที่ควรกล่าวขอโทษต่อทุกคน” เจ้าสำนักกล่าวพลางประสานมือแล้วโค้งตัวลงเล็กน้อย เพียงแต่ทิศทางที่เจ้าสำนักโค้งตัวมิใช่ด้านที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ยืนอยู่
ผู้อาวุโสรองหลิวเสี่ยนกระแอมขึ้นเบาๆ ก่อนว่า “ท่านเจ้าสำนัก ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว เราเริ่มกันเลยดีหรือไม่? เมื่อครู่ข้าและผู้อาวุโสคนอื่นๆ หารือกันแล้วว่า ในจำนวนสิบห้าคนนี้ เรารับเข้ามาแค่สามคนก็น่าจะพอแล้ว”
เจ้าสำนักคิดในใจ เขามิได้กังวลกับจำนวนตัวเลขสามคนอะไรนั่นเท่าไหร่ ตราบใดที่มีคนสำคัญที่สุดรวมอยู่ด้วยเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เขาเองเคยพิสูจน์ผู้เข้าร่วมคนนั้นก่อนแล้วสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนอยู่โรงเตี๊ยมตระกูลหรู อีกครั้งก็คือสะพานทองคำบรรลุเซียน... เพียงแต่น่าเสียดายที่ระหว่างงานชุมนุมคัดเลือกเซียนเขากำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องอื่น พอหาเวลาได้ก็ต้องไปติดอยู่ที่ศิษย์น้องห้า ไม่อย่างนั้นเรื่องสำคัญใหญ่หลวงเช่นนี้เขาคงต้องได้จับตามองมากกว่านี้แน่
คิดถึงตรงนี้ เจ้าสำนักก็ถอนหายใจแล้วโบกมือ “เริ่มเถอะ อย่าเสียเวลาอีกเลย”
และการทดสอบเพิ่มเติมก็เริ่มต้นขึ้น
วิธีทดสอบไม่ได้วิเศษอัศจรรย์เหนือจินตนาการอะไร เมื่อประตูหอเมฆาเร้นลับเปิด ในห้องโถงถูกปกคลุมด้วยแสงสีขาวนุ่มนวล และศิษย์ชุดขาวดำหลายคนที่อยู่หน้าหอเมฆาเร้นลับที่มีท่าทีสุภาพทว่าเย็นชา นำบรรดาผู้เข้าร่วมมายืนอยู่หน้าห้องโถงเพื่อรอทำการทดสอบ สายตาคมกริบทั้งสิบแปดคู่ในห้องจ้องไปยังพวกเขาอย่างละเอียดราวกับจะเฉือนร่างให้เป็นล้านๆ ชิ้น ทุกสายตาเริ่มพินิจวิเคราะห์
นี่ก็คือใจความทั้งหมดของการทดสอบเพิ่มเติมครั้งนี้ ไม่มีกฎหรือขั้นตอนที่ซับซ้อนอะไรอีกต่อไป จะดีหรือแย่ ไปหรืออยู่ ล้วนขึ้นอยู่กับดวงตาร้อนระอุจนแทบจะเผาผลาญทุกอย่างให้เป็นจุณของผู้อาวุโส แน่นอนว่าเมื่อถึงตอนนั้น บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายก็จะเปิดดวงตาแห่งจิตอย่างตั้งใจเพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติของเด็กหนุ่มสาวแต่ละคนจนถึงจุดที่ลึกที่สุด จากประสบการณ์ของพวกเขาต่อให้ใช้สัญชาตญาณเพียงอย่างเดียวก็สามารถพิจารณาคุณสมบัติของคนได้อย่างถูกต้องแม่นยำถึงเจ็ดแปดส่วน ทว่าสำหรับงานชุมนุมคัดเลือกเซียนนั้นไม่อาจประมาทได้แม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้กระทั่งท่านเจ้าสำนักเองก็ยังเปิดดวงตาประกายดารา นี่ไม่เพียงเห็นปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังสามารถหยั่งรู้อนาคตอย่างลึกซึ้ง... ดังนั้น ต่อให้เป็นรากวิญญาณหายากปานใด ก็ไม่มีทางผิดพลาดคลาดเคลื่อนแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งนี้สร้างความอึดอัดและทรมานให้กับผู้ทดสอบเหลือเกิน บรรยากาศไม่ต่างจากทาสที่ถูกจัดแสดงให้ผู้คนเข้าชมบนเวทีค้าทาส เนื่องจากมีม่านแสงสีขาวชั้นนั้นบดบังอยู่ ทำให้ผู้ทดสอบไม่อาจมองเห็นสีหน้าของผู้ตัดสินในห้องโถงอย่างสิ้นเชิง ผลของการทดสอบเพิ่มเติมของตนจะออกมาดีหรือแย่มิอาจทราบได้ และก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาตรฐานการประเมินผู้ทดสอบของสำนักกระบี่วิญญาณคืออะไร
ในขณะที่ทุกคนกำลังวิตกกังวลอยู่นั้น ศิษย์ชุดขาวดำคนหนึ่งในห้องโถงก็กล่าวขึ้นว่า “ขอให้ทุกคนเดินไปข้างหน้าทีละคน”
เดินไปทีละคน? ไม่มีลำดับรายชื่อหรอกหรือ? ละ...แล้วเดินก่อนหรือหลังดีล่ะ? เดินไวหน่อยหรือแบบช้าๆ ดี?
ในขณะที่คนอื่นกำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมานจากปัญหาเหล่านี้ เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ก้าวออกจากหน้าโถงด้วยสีหน้าหนักแน่นมาดมั่น
คนนั้นมิใช่หวังลู่อย่างทุกที่คนคาดไว้ แล้วก็มิใช่คนที่มีผลงานโดดเด่นสะดุดตามาตลอดอย่างไห่อวิ๋นฟาน แต่กลับเป็นมกุฎราชกุมารจากประเทศต้าหมิง ‘จูฉิน’
นี่คือความพยายามฮึดสุดท้ายของจูฉิน มีอัญมณีเช่นหวังลู่และไห่อวิ่นฟานนำอยู่ข้างหน้า โอกาสที่พวกเขาจะได้เจิดจรัสมีน้อยมากจนนับได้ด้วยมือข้างเดียว... จริงๆ แล้วจูฉินไม่ได้มีความมั่นใจขนาดนั้น แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของตัวเอง
คะแนนของเขาบนแผนที่คลื่นเมฆาอยู่ในอันดับสิบ แต่มิใช่เพราะเขาลังเลไม่กล้าตัดสินใจหรือเด็ดขาดกว่าคนที่ได้อยู่ลำดับก่อนหน้า เขาเพียงแต่ทุ่มเทและฝืนตัวเองเกินไปตอนอยู่บนสะพานทองคำ ส่งผลให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนกำลังจนต้องพักอยู่ในกลุ่มม่านหมอกพักใหญ่ เมื่อย้อนคิดไปถึงเรื่องนี้ เขาก็นึกเสียใจมาตลอดที่ตัดสินใจทำเช่นนั้น
จูฉินไม่อยากให้คณะผู้ตัดสินได้รับความประทับใจแย่ๆ ได้ยินมาว่าสำนักกระบี่วิญญาณให้ความสำคัญกับจิตเช่นนั้นจูฉินคนนี้จะแสดงจิตใจให้พวกท่านดูเอง!
หนึ่งก้าว สองก้าว...แต่ละก้าวมั่นคงหนักแน่น แทบจะมองไม่เห็นความกังวลลึกๆ ในใจของเด็กหนุ่มสักกระผีกเดียว และในขณะที่เขาเดินผ่านไปได้อย่างราบรื่น ภายในห้องโถงก็เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
เป็นการตัดสินใจที่ดีหรือแย่? ไม่มีใครรู้...
แต่คล้อยหลังจูฉิน คนที่เดินตามมาติดๆ กลับเป็นหวังจง... อดีตเด็กรับใช้คนนี้อาจจะมิได้มีความมั่นใจเหมือนจูฉินแต่เขาก็ฉลาดพอ เพราะอันที่จริงแล้วตอนที่เขาเห็นจูฉินเดินออกไป เขาสังเกตเห็นว่าหวังลู่ตั้งใจจะก้าวออกไปเหมือนกัน เพียงแต่ดูเหมือนเขาจะขี้เกียจและไม่อยากแย่งกับจูฉิน
ไม่เป็นไร หากหวังลู่ไม่แย่ง ข้าจะแย่งเอง... แม้เขาจะเป็นอิสระจากหวังลู่แล้ว แต่หวังจงกลับรู้ซึ้งถึงความสามารถของคุณชายเป็นอย่างดี ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดูเป็นไปไม่ได้แค่ไหน... การตัดสินใจของเขาก็ไม่เคยพลาด
ดังนั้นหวังจงจึงเดินจากหน้าโถงไปติดๆ เมื่อเดินเสร็จก็หันศีรษะกลับไปมอง เขาเห็นหวังลู่คล้ายจะส่งรอยยิ้มให้เขา
ดังนั้นหวังจงจึงรีบหันศีรษะกลับทันที ภายใจในรู้สึกสับสนยุ่งเหยิง
และในขณะนั้นเอง ภายในห้องโถงก็ปรากฏเสียงขึ้นมา เสียงนั้นเบามาก จนหวังจงที่มีประสาทสัมผัสหูไวตาไวแต่กำเนิดก็แทบจะไม่ได้ยิน
“โอ๊ะ เป็นเขาจริงๆ ด้วย”
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านรู้สึกว่าเด็กคนนี้ต่างจากคนอื่นรึ?”
“อืม ต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง”
“แม้ว่าคุณสมบัติ...จะไม่เลว แต่ก็มิได้นับว่าพิเศษอะไร”
“อย่าเอาคุณสมบัติเป็นตัวตัดสินสิ”
บทสนทนาต่อจากนี้คืออะไร หวังจงก็ฟังไม่ค่อยจะชัด แต่คำพูดไม่กี่ประโยคนั้นกลับทำให้สมองของเขาขาวโพลนเหมือนมีอัสนีคำรามดังกึกก้อง
มีความหวัง...มีความหวังแล้ว! เจ้าสำนักบอกว่าข้าแตกต่างจากคนอื่น บอกว่าข้าสามารถเป็นผู้ฝึกตนได้!
ทันใดนั้นเขาเหมือนกำลังจมอยู่ในทะเลแห่งความสุข และเมื่อเขาตื่นจากภวังค์ ก็พบว่าคนจำนวนไม่น้อยเดินมาจากหน้าห้องโถงแล้ว
ตอนที่เพิ่งได้สติก็เห็นไห่อวิ๋นฟานเดินออกมาพอดีด้วยใบหน้าที่ประดับประดาด้วยรอยยิ้ม และในตอนนั้นเอง ภายในห้องโถงก็คล้ายมีเสียงคนพูดคุยอีกครั้ง ไห่อวิ๋นฟานมิได้สังเกต ทว่าหวังจงกลับได้ยินชัดเต็มสองรูหู
“โอ๊ะ คนนี้...น่าเสียดายจัง”
น่าเสียดาย? ฮ่าๆ ดูแล้วรัชทายาทแห่งจักพรรดิอวิ๋นไท่คนนี้ท่าจะหมดหวังเสียแล้ว!
อันที่จริงตอนที่อยู่บนสะพานทองคำ เขาต้องหยุดอยู่ตรงนั้นก่อนตนด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าสำนักกระบี่วิญญาณ
แม้ว่าภายในใจจะปรีดากับความโชคร้ายของเขา แต่หวังจงก็มิได้แสดงออกมา เขาพยักหน้าให้ไห่อวิ๋นฟานที่กำลังเดินเข้ามา
หลังจากนั้น เขาก็รอคอยผู้ทดสอบคนถัดไปอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งนั่นก็คือผู้ทดสอบคนสุดท้าย...หวังลู่
อันที่จริงหวังลู่อยากเดินออกไปคนแรก ไม่ได้มีเหตุผลพิเศษอะไร เพียงแต่อยากเริ่มก่อนเพราะจะได้จบไวๆ เท่านั้น แต่ในเมื่อแย่งไปก่อนไม่ได้ รอออกเป็นคนสุดท้ายก็ไม่เลวเหมือนกัน
หวังลู่มิได้สนใจสายตาหลายสิบคู่ที่จ้องมาที่เขาอย่างพินิจเลยแม้แต่นิด เขาเพียงขยับเท้าเดินจากบริเวณหน้าห้องโถงด้วยท่าทางสงบอย่างไม่สามารถอธิบายได้
และหลังจากนั้น ผู้คนในห้องโถงก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นจากบรรดาอาวุโสอย่างชัดเจน
“โอ้สวรรค์!?”
“โอ้โหสวรรค์! แสงของรากวิญญาณนี้แยงตาจนตาข้าจะบอดแล้ว!”
“ตาแก่คนนี้บำเพ็ญตนมาร้อยกว่าปี ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้เห็นความมหัศจรรย์!”
“เร็ว! รีบไปเอามาทำเป็นมนุษย์ต้นแบบ เข้าจะเก็บสะสม!”
“ข้าจะกินเนื้อ! ได้ยินมาว่าทำให้เป็นอมตะได้!”
ในขณะที่เสียงพรั่งพรูของเหล่าอาวุโสที่ดังระงมไปทั่วหอเมฆาเร้นลับทำให้บรรดาผู้ทดสอบที่หน้าโถงยืนตะลึงอ้าปากค้างอยู่นั้น ก็มีเสียงกระแอมของคนผู้หนึ่งดังขึ้นสองครั้ง “ทุกคนเงียบก่อน อย่าเพิ่งใจร้อน”
จากนั้นภายในโถงเมฆาเร้นลับก็ตกอยู่ในความเงียบ ทว่าคลื่นความวุ่นวายเมื่อครู่นี้โถมกระหน่ำซัดเข้าไปในหัวใจของทุกคนที่ยืนอยู่หน้าโถงเรียบร้อยแล้ว
มารดาเถอะเจ้าหวังลู่คนนี้มิใช่เล่นๆ! สำนักกระบี่วิญญาณเป็นถึงสุดยอดห้าสำนักใหญ่ที่พันธมิตรหมื่นเซียนลงมติยอมรับ! มีอะไรบ้างที่คนในสำนักไม่เคยพบ? แต่ตอนนี้กลับถูกเด็กหลังเขาที่มีรากวิญญาณเฉพาะทำให้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก!
ละ...โลกนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่ไหม? เจ้าเด็กนี่เป็นลูกของชาวนาจากชนบทจริงหรือ? มิได้เป็นลูกนอกสมรสที่เทพเซียนบางคนไปไข่ทิ้งไว้บนแดนมนุษย์ใช่ไหม?
และในขณะที่ผู้เข้าร่วมกำลังวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นั้น ดรุณีที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีสันสดใสก็เดินออกมาจากหอเมฆาเร้นลับ นางถือกระดาษแผ่นหนึ่งในมือแล้วอ่านตามทุกคำพูด “ทุกท่านโปรดพักสักครู่ พวกเรากำลังรวบรวมความคิดเห็นของผู้อาวุโสแต่ละท่าน อีกครึ่งชั่วยาม เราจะเปิดเผยรายชื่อผู้ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน”
หลังจากที่อ่านจบเด็กสาวก็ม้วนกระดาษเก็บแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในหอเมฆาเร้นลับ เพียงแต่อดทิ้งสายตาไปยังร่างของใครบางคนสักหน่อยไม่ได้
ใครบางคนผู้นั้นก็คือหวังลู่ สายตาของเด็กสาวที่มองหวังลู่เต็มไปด้วยความสนใจจนปิดไม่มิด ต่างจากคนอื่นที่ไม่แม้กระทั่งจะอยู่ในสายตานาง การกระทำอันแสนพิเศษนี้สร้างความอิจฉาริษยาให้กับคนอื่นเหลือเกิน อิจฉาจนอยากเข้าไปแทนที่
ถึงตรงนี้ ไม่มีใครสงสัยเลยว่ารายชื่อหนึ่งในสามที่สำนักกระบี่วิญญาณเลือกต้องมีหวังลู่แน่นอน ด้วยรูปแบบความคิดแบบนักทดลองขี้โกง ขึ้นชื่อว่ามีรากวิญญาณเฉพาะที่หายาก ไปจนถึงมีรัศมีของคนที่ใครเห็นเป็นต้องรัก... แม้แต่ผู้คุมการทดสอบยังไม่อาจหาข้อเสียใดๆ จากตัวเขาได้เลย
แต่หวังลู่ก็ยังคงอยู่ในอาการสงบเยือกเย็นเหมือนเดิม มิได้ถูกเสียงวิจารณ์และความตกอกตกใจในห้องโถงเมื่อสักครู่สั่นคลอนแต่อย่างใด และก็มิได้ใส่ใจสายตาของศิษย์หญิงคนนั้น เขาเพียงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบ อากัปกิริยาเต็มไปด้วยความมั่นใจยิ่งยวด
ในเวลานั้นเอง ในห้องโถงเมฆาเร้นลับ เด็กสาวในอาภรณ์สีสดใสก็ถือกระดาษแผ่นหนึ่งเดินออกมาอีกครั้ง
“คนที่ถูกเรียกชื่อต่อไปนี้ เดี๋ยวอีกสักครู่ให้ตามข้าเข้าไปในห้องโถง ส่วนคนที่เหลือ...” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มราวกับดอกไม้กำลังเบ่งบาน “ก็กลับไปอาบน้ำนอนซะนะ”
ผู้คนที่อยู่หน้าห้องโถงต่างกลั้นหายใจรอคอยผลการตัดสินอย่างใจจดใจจ่อ
และหลังจากนั้น
“เหวินเป่า”
“จูฉิน”
“หวัง...จง!”
....................................................