ภาค 1 ตอนนี้ 21 โอ้ ฉิบหาย
1ตอนนี้ 21 โอ้ ฉิบหาย
คำว่า ‘คนเยอะงานยิ่งเบาลง’ ของสตรีอาภรณ์ขาวแทบจะทำให้หลิวเสี่ยนกระอักเลือด
เท่านั้นยังไม่พอหญิงสาวผู้นั้นยังโอ้อวดต่อไปอีกว่า “ข้าได้เพิ่มข้อกำหนด ‘คนเยอะงานยิ่งเบาลง’ นี้ในขุนเขาวายุน้ำแข็ง สันเขาผาชาด และเทือกเขาเมฆาครามเรียบร้อยแล้ว.... ดังนั้นตอนนี้แผนที่บรรลุเซียนจึงไม่มีทางมีระบบการรบแบบคนจำนวนมากแน่นอน นอกจากนี้ยังมีมนุษยธรรมมากขึ้น! เป็นอย่างไรบ้าง ท่านภูมิใจหรือไม่!?”
ใช่แล้ว เขาต้องภูมิใจ หากไม่ กลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจไปเสียก่อน
หลิวเสี่ยนพยายามระงับเพลิงโทสะอย่างหนัก หากเขาสู้กับนางที่นี่เกรงว่าจะทำลายยอดเขาเร้นลับลง ดังนั้นเขาจึงหมุนตัวเดินออกจากตรงนั้น แต่ก่อนจะไปเขาหันไปกล่าวกับนางว่า
“ศิษย์น้อง ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เจ้าไปอธิบายกับศิษย์พี่ฝ่ายวินัยและศิษย์พี่เจ้าสำนักเองเถอะ!”
หลิวเสี่ยนสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้วยความฉุน ส่วนบรรดาลูกศิษย์ของเขาได้แต่มองหน้าเลิ่กลั่กไปมา แล้วหันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปีติของอาจารย์อาห้า... ไม่นานนักพวกที่อยู่ภายใต้การนำของศิษย์พี่ก็สลายกลุ่มหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงแต่ศิษย์สองพี่น้องที่ถูกสั่งให้เฝ้าสังเกตที่ยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยความอึดอัดไม่สบายใจ
อาจารย์อาห้าไม่สนใจสองคนนั้น ก้มหน้าก้มตายืนดูการเปลี่ยนแปลงของก้อนเมฆตรงขอบหน้าผา การบดบังกีดขวางของม่านเมฆหมอกระลอกใหญ่ทำให้ศิษย์ธรรมดาเห็นเพียงภาพบนกลุ่มเมฆเท่านั้น แต่ท่านอาวุโสผู้นี้กลับสามารถเห็นรายละเอียดมากกว่านั้น
ไม่กี่อึดใจต่อมา หญิงสาวก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวังยิ่งยวด
“จิ๊ ไร้ประโยชน์จริงๆ ขนาดพลังที่เพิ่มขึ้นหลังจากการรวมกลุ่มยังสู้สัตว์ปิศาจไม่ได้ พวกขยะ”
ศิษย์สองพี่น้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟังแล้วก็สะท้านไปทั้งตัว โชคดีที่ตนถูกท่านอาจารย์หลิวเสี่ยนรับเข้าสำนักหลังจากที่เหาะเมฆลงจากเขาเพื่อค้นหาคนที่มีวาสนาเซียนเข้าสำนัก จึงรอดไม่ต้องเดินบนเส้นทางบรรลุเซียนที่ไร้มนุษยธรรมเส้นนี้
แม้ว่าขั้นสามระดับเก้าถึงขั้นสามระดับสามจะเพิ่มขึ้นเพียงหกระดับ แต่ทว่าจริงๆ แล้วระดับความแข็งแกร่งนั้นพุ่งทะยานอย่างน้อยก็สี่ห้าเท่า ในขณะที่จำนวนผู้ทดสอบก็เพิ่มขึ้นเพียงสี่เท่าเท่านั้น หากว่ากันตามที่อาจารย์อาบอก หมายความว่าต้องเกินเส้นที่นางขีดไว้จึงจะทำให้นางพอใจ นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกัน เส้นทางบรรลุเซียนมิใช่ดาวไถสักหน่อย!
หญิงสาวดูไปสักพักก็หมดความสนใจกล่าวอย่างเบื่อหน่ายว่า “คนพวกนี้หมดหวังแล้วล่ะ”
จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป ศิษย์สองพี่น้องชุดขาวดำเหลือบตามองกันแวบหนึ่งแล้วยิ้มให้กันอย่างขมขื่น
ศิษย์น้องเอ่ยถาม “ความคิดของท่านอาจารย์อาห้านั้นเข้าใจยากจริงๆ ข้าว่าคุณสมบัติของคนพวกนี้ก็ใช้ได้อยู่แล้ว หากพวกเขาไม่มีหวัง งานชุมนุมคัดเลือกเซียนที่จัดขึ้นครั้งนี้ก็เสียเวลาเปล่าน่ะสิ?”
ศิษย์พี่กล่าวเสริมว่า “ใช่ เคราะห์ดีท่านอาจารย์อาห้ามีส่วนร่วมในทุกกระบวนการ วิ่งไปวิ่งมา...ข้าเข้าสำนักมายี่สิบกว่าปีนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นท่านอาจารย์อาห้ากระตือรือร้นขนาดนี้ แต่หากสุดท้ายไม่มีใครผ่านด่านได้สักคน นางน่าจะเสียหน้าไม่น้อยเหมือนกัน”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“โอ๊ะ พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ต้องมีคนสามารถผ่านด่านได้แน่...มารดามันเถอะ ก็เจ้าเด็กเปรตที่สกัดอย่างไรก็สกัดไว้ไม่อยู่นั่นอย่างไร”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ศิษย์พี่น้องทั้งสองก็ตกใจจนสิ้นสติ
“ทะ...ท่านอาจารย์อาห้า!”
หญิงสาวนางนั้นมิได้สนใจศิษย์สองคนนั้น เพียงแต่นึกถึงเด็กหนุ่มขี้โกงที่พบช่องโหว่ของนางคนนั้นจนต้องเกาศีรษะ
เมื่อศิษย์พี่น้องทั้งสองเห็นว่าอาจารย์อาไม่มีวี่แววจะลงโทษก็โล่งอก ศิษย์พี่จึงรวบรวมความกล้าถามขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์อา คนนั้นที่ท่านว่าหมายถึงใครกัน?”
“ยังจะเป็นใครได้อีก?” อาจารย์อาห้าถามกลับ “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้นานขนาดนี้ ยังดูไม่ออกว่าใครแข็งแกร่งใครอ่อนแออีกรึ?”
จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอแน่นอนว่ามองเพียงแวบเดียวก็รู้ชัดเจน หากจูฉินคนนั้นแข็งแกร่ง ไห่อวิ๋นฟานย่อมแข็งแกร่งกว่าอย่างแน่นอน ส่วนคนที่เพิ่งออกจากหมู่บ้านดอกท้อทีหลังแต่กลับบังเอิญไล่ตามมาจนถึงขุนเขาวายุน้ำแข็ง ก็เป็นพวกแข็งแกร่งแบบขี้โกงๆ ทว่าไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด หากยังมิได้ผ่านการบำเพ็ญมาก่อน เมื่อเจอกับสัตว์ปิศาจขั้นสามระดับสาม คิดว่าจะเอาชนะมันได้หรือ? หากเปลี่ยนเป็นสัตว์ปิศาจของขุนเขาผาชาดหรือเทือกเขาเมฆาครามที่ยังไม่ได้กลายพันธุ์ ก็อาจเป็นไปได้ที่จะผ่านด่าน แต่ตอนนี้... บางทีอาจจะเป็นลิขิตสวรรค์? อะไรทำให้ท่านอาจารย์อามั่นใจว่าคนผู้นั้นจะมีศักยภาพผ่านด่านนี้ไปได้
คิดถึงตรงนี้ ศิษย์น้องก็นึกขึ้นได้ทันทีแล้วถามว่า “ท่านอาจารย์อา หรือท่านหมายถึงรางวัลของหมู่บ้านดอกท้อ?”
อาจารย์อาห้ามองไปที่เขาแวบหนึ่ง “ไร้สาระ! ไม่อย่างนั้นจะเป็นอะไรได้อีก? กุญแจสำคัญของเส้นทางบรรลุเซียนทั้งสายก็อยู่ตรงหมู่บ้านดอกท้อ สองร้อยปีก่อนพวกตาแก่เกิดเป็นตะคริวในสมอง เขียนขั้นสองเป็นขั้นสาม ทำลายเส้นทางบรรลุเซียนอย่างสมบูรณ์ หากไม่ช่วยเจ้าเด็กพวกนี้สักหน่อย อีกห้าร้อยปีก็อย่าหวังว่าจะมีใครผ่านมันไปได้!
พูดถึงผู้อาวุโสที่สมองเป็นตะคริวพวกนั้น บรรดาเจ้าสำนักหลังจากนั้นอีกหลายร้อยปีก็เป็นโรคสมองกลวงอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีข้อผิดพลาดแต่กลับทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ยอมแก้ไขอะไร บอกว่ากฎแห่งบรรพชนมิอาจเปลี่ยนแปลง มารดาเถอะ! บรรพชนคนไหนกันเคยบอกว่าถ้าจะไล่ผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่สวรรค์ลงจากตำแหน่งก็ทำได้เลย!?”
ท่านอาจารย์อาขึ้นชื่อว่าเป็นคนใจกล้าเทียมฟ้าของสำนัก แต่ชุดขาวดำทั้งสองไฉนเลยจะกล้าบ้าบิ่นเช่นนาง ดังนั้นจึงได้แต่ทำตัวสงบเสงี่ยมไม่ส่งเสียงใดออกมา ใครจะไปกล้ารับคำ?
ผ่านไปชั่วอึดใจใหญ่ ศิษย์น้องจึงอดถามไม่ได้ว่า “อาวุธพวกนั้นล้วนเป็นสมบัติส่วนตัวของท่านอาจารย์อาหรือ?”
จากที่ศิษย์น้องเห็น หญิงสาวชุดขาวเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งสำนัก การรวบรวมอาวุธธรรมระดับเจ็ดระดับแปดพวกนี้ไม่น่าใช่เรื่องยาก เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าอาวุธอะไรที่จะให้คนที่ไม่เคยบำเพ็ญเซียนใช้ต่อสู้กับสัตว์ปิศาจขั้นสามระดับสามอย่างช้างดึกดำบรรพ์แห่งซีอี๋ได้
สุดท้ายอาจารย์อาห้าก็ตอบอย่างสบายอกสบายใจว่า “จะเป็นสมบัติส่วนตัวของข้าได้อย่างไร? แน่นอนว่าต้องมาจากคลังเก็บของของสำนักอยู่แล้ว เจ้าสำนักงี่เง่านั่นแม้แต่เงินอุดหนุนยังไม่ยอมจ่ายให้ข้า ตอนนี้ข้ายากจนข้นแค้นจนแทบจะลงเขาโจรกรรมปล้นสะดมแล้ว”
ศิษย์ชุดขาวดำทั้งสองพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองหน้ากันไปมา
ผู้อาวุโสห้าแห่งสำนักคือเทพเจ้ามังกรที่เห็นหัวมิเห็นหางไม่ค่อยอยู่ในสำนัก นอกจากศิษย์พี่ที่อยู่ในสำนักมามากกว่ายี่สิบปีแล้ว น้อยนักที่จะได้ยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของผู้อาวุโสท่านนี้ในยามปกติ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นอย่างที่อาจารย์บอกไว้ไม่มีผิด...
“เช่นนั้นแล้วหากว่ากันตามแผนที่ท่านอาจารย์อาห้าวางไว้ คนที่ชื่อหวังลู่นั่นน่าจะได้อาวุธธรรมอะไร? การที่จะสู้ช้างดึกดำบรรพ์ขั้นสามระดับสามได้ อย่างไรก็ต้องเป็นอาวุธธรรมระดับสองมิใช่รึ? แต่สำหรับคนที่ไม่เคยบำเพ็ญเซียน เขาจะใช้มันได้อย่างไร?”
อาจารย์อาห้ากล่าวอย่างลังเลเล็กน้อย “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน เพราะว่าเจ้าสำนักงี่เง่านั่นไม่ยอมให้ข้าเข้าไปยุ่งกับคลังเก็บของของสำนัก ดังนั้นข้าจึงทำได้แค่ออกแบบสูตรการให้คะแนน ซึ่งจะดึงเครื่องมือออกมาจากห้องเก็บของเองตามคะแนนที่ได้ คะแนนของเด็กที่รวมกลุ่มกันอยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่น่าจะอยู่ระหว่างสามถึงห้าพัน ส่วนเจ้าเด็กที่ตามอยู่ด้านหลังคนนั้น ภารกิจช่วงครึ่งหลังข้าไม่ได้ดูจนจบ แต่คิดว่าน่าจะได้สักสามถึงห้าหมื่นคะแนน อย่าว่าแต่อาวุธธรรมระดับสองเลย เขายังมีสิทธิ์ได้อาวุธวิเศษระดับเก้าด้วยซ้ำ พูดถึงอาวุธวิเศษระดับนี้ มีบางชิ้นที่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บำเพ็ญก็สามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้เอง ในแดนมนุษย์สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติไร้ค่า ทว่าคลังเก็บของของสำนักกระบี่วิญญาณมีอยู่มากมายเกินจะนับไหว ดวงของเจ้าเด็กนั่นถือว่าไม่เลวนักคงได้สักชิ้นสองชิ้น ถึงตอนนั้นก็แค่คิดวางแผนให้รอบคอบเสียหน่อย โอกาสกำชัยชนะจากช้างโง่ตัวนี้น่าจะมีถึงเจ็ดส่วนแปดส่วนได้”
เมื่อได้ฟังผู้ออกแบบประเมินการณ์เช่นนี้แล้ว ศิษย์พี่น้องก็ตะลึงงัน
ชัยชนะเจ็ดส่วนแปดส่วนฟังดูแล้วไม่ได้เยอะมากมายอะไร แต่หลายร้อยปีที่ผ่านมา อัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ในใต้หล้าล้วนพ่ายแพ้ยับเยินในด่านนี้ แต่เด็กหนุ่มหลังเขากลับมีแววได้รับชัยชนะถึงเจ็ดแปดส่วน... เป็นคนที่เกิดมาพร้อมวาสนาเซียนจริงๆ
หากสามารถเข้าสำนักได้จริงๆ บำเพ็ญอย่างหนักสักสิบเก้ายี่สิบปี อย่าว่าแต่ศิษย์ชั้นในเลย เขาอาจจะเป็นศิษย์ผู้สืบทอดเลยก็ได้! คิดถึงตรงนี้ ศิษย์พี่น้องชุดขาวดำก็อดอิจฉาตาร้อนไม่ได้
ขณะนั้นเอง กลุ่มเมฆก็เคลื่อนเปลี่ยนอีกครั้ง ทั้งสามต่างจ้องมองอย่างตั้งใจ ที่แท้ก็เป็นหวังลู่ผู้หยุดเดินเป็นเวลานานและมาถึงขุนเขาวายุน้ำแข็งทีหลัง...ในที่สุดเขาก็มาถึง!
ในขณะที่ผู้ทดสอบคนอื่นๆ ก่อนหน้าต้องใช้เวลามากกว่าสิบวันจากการช่วยเหลือของอาวุธธรรมจึงสามารถเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ แต่หวังลู่กลับไล่ตามทันอย่างรวดเร็ว เพียงก้าวเดียวเขาก็ข้ามหุบผาพันลูกสายน้ำหมื่นสายที่มีแต่ด่านที่เต็มไปด้วยภยันตรายมาได้อย่างง่ายดาย จนมาถึงขุนเขาวายุน้ำแข็งที่เป็นด่านสุดท้าย! เพียงก้าวเดียว เขาก็มาหยุดอยู่ข้างๆ ไห่อวิ๋นฟานที่กำลังประชุมปฏิบัติการรบฉุกเฉิน
และเพียงก้าวเดียวนี้เอง อย่าว่าแต่ไห่อวิ๋นฟานและคนอื่นๆ ที่ตกใจจนวิญญาณแทบจะแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ศิษย์พี่น้องที่อยู่เหนือก้อนเมฆขึ้นไปก็ตะลึงอ้าปากจนกรามค้าง แม้กระทั่งหวังลู่เองก็สะดุ้งไปทั้งตัว
“ฉิบหาย!? นี่คืออะไร!?”
แม้แต่อาจารย์อาห้าที่ดูลมชมวิวบนยอดเขาเร้นลับก็ยังมีสีหน้าเผือดสี “ฉิบหาย!? รองเท้าเหยียบเมฆา!?”
ชุดขาวดำสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็อุทานขึ้นพร้อมเพรียงกันอย่างตกใจ “ฉิบหาย!? รองเท้าเหยียบเมฆา!?”
แม้แต่ศิษย์น้องที่เข้าสำนักไม่ถึงห้าปี ก็ยังเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับชื่อเสียงของรองเท้าเหยียบเมฆา นั่นเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าของสำนักกระบี่วิญญาณ! …อาวุธศักดิ์สิทธิ์!
อานุภาพย่อมมากกว่าอาวุธวิเศษอย่างแน่นอน ขนาดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้ายังทำให้ผู้บำเพ็ญระดับสร้างแกนลมปราณสำนักทั่วไปต้องรบราเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงมาไว้ครอบครอง ไม่ต้องพูดถึงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าที่บรรพชนหลอมขึ้นกับมือของสำนักกระบี่วิญญาณ สำหรับผู้บำเพ็ญธรรมดาที่ไม่มีแม้กระทั่งตบะสร้างแกนลมปราณขั้นสูงก็อย่าหวังว่าจะใช้งานได้
ทว่าศิษย์สองพี่น้องไม่มีเวลาสงสัยว่าทำไมคนที่ไม่เคยผ่านการบำเพ็ญจึงบังคับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าได้ เนื่องจากหลังจากนั้นมีเหตุการณ์เหลือเชื่อเกิดขึ้น
หวังลู่ผู้อยู่บนช่องเขาสามารถเดินข้ามภูเขาพันลูกสายน้ำหมื่นสายและการทดสอบทุกด่านด้วยรองเท้าเหยียบเมฆาเพียงก้าวเดียว ทว่าเบื้องหน้าของเขามิได้มีเพียงไห่อวิ๋นและคนอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังมีสัตว์ปิศาจดุร้ายขนาดสิบห้าจั้งที่กำลังอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวโกรธอยู่ด้วย!
ในซีอี๋ ปิศาจน้ำแข็งกลายพันธุ์ตัวนี้สามารถทำลายล้างเมืองทั้งเมืองได้อย่างราบคาบ ครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งนี้หวังลู่ก็ผงะตกใจ แล้วรีบชักกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาจากเอวอย่างลนลานทำอะไรไม่ถูกเพื่อป้องกันตัว
จากนั้น กระบี่ก็ส่องแสงวูบวาบกระทบตาทุกคนจนพร่ามัว
เหนือกลุ่มเมฆขึ้นไป ทั้งสามประสานเสียงขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง
“กระบี่น้ำค้างแข็งนิล!?”
ในบรรดากระบี่ที่เป็นสมบัติสะสมของสำนักกระบี่ที่มีอยู่อย่างมากมายนับไม่ถ้วน แม้ว่ากระบี่น้ำค้างแข็งนิลจะมิได้อยู่อันดับต้นๆ แต่ก็เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสามอันเลื่องชื่อลือชา ในขุนเขาวายุน้ำแข็งแห่งนี้คือสวรรค์สร้าง ชัยภูมิอำนวยโอกาสโดยแท้ อานุภาพเทียบได้กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง ควรค่ากับการเป็นสมบัติประจำสำนักของสำนักระดับสามโดยแท้!
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกชักออกมาด้วยมือของหวังลู่!
“ทะ...ท่านอาจารย์อาห้า ไหนท่านบอกว่าอย่างมากที่สุดก็เป็นอาวุธธรรมระดับเก้า? เหตุใดกระทั่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็โผล่ออกมาด้วย!? มิหนำซ้ำยังเป็นระดับสาม!?”
ภายในใจของอาจารย์อาห้ามีคำว่าฉิบหายเป็นหมื่นแสนล้านคำ “ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกัน!”
และจากนั้น หวังลู่ถือกระบี่ขนาดสามฉื่อที่คมมากพอจะแยกหินผาออกเป็นเสี่ยงๆ ไว้ในมือแล้วฟันฉับลงไปได้อย่างเบาสบาย
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสามหากอยู่ในมือของมนุษย์ธรรมดาก็เป็นเพียงแท่งเหล็กที่ไม่สามารถแสดงอานุภาพออกมาได้แม้แต่ครึ่งขุม หากผู้หลอมสมบัติไม่ลงอาคมไว้ เป็นไปได้ว่าจะสามารถดูดวิญญาณชีวิตผู้ใช้เหลือไว้แต่เพียงซากร่างกายที่แห้งกรัง
ทว่าขณะที่หวังลู่สะบั้นกระบี่นั้นลงไป พื้นดินเบื้องหน้าพลันมีลมพายุและน้ำแข็งหิมะก็ม้วนตัวขึ้นทันที ท่ามกลางเสียงลมพายุหิมะอื้ออึงที่พัดกระหน่ำ สำแสงจากกระบี่น้ำค้างแข็งนิลก็สว่างวาบพุ่งทะลุขึ้นฟ้าแล้วเปล่งรัศมีบดบังแสงอาทิตย์ของดินแดนน้ำแข็งหิมะ พื้นดินที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งที่สัตว์ปิศาจกลายพันธุ์หมื่นปีของขุนเขาวายุน้ำแข็งยืนอยู่เริ่มละลาย พื้นน้ำแข็งค่อยๆ ปริออกทีละชั้นๆ เมื่อถูกแสงจากกระบี่ตกกระทบ จากนั้นเศษซากน้ำแข็งที่แตกกระจายบนพื้นก็สลายกลายเป็นฝุ่นละออง จากฝุ่นละอองกลายเป็นอณูที่เล็กกว่า จนในที่สุดก็สลายไปจนหมดสิ้น
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เหมือนการมาเยือนอีกครั้งของกลียุค...สวรรค์และโลกแยกออกจากกัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เมื่อพายุสงบ ปิศาจร้ายมหึมาขนาดสิบห้าจั้งตัวนั้นก็สลายหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา รวมไปถึงน้ำแข็งที่สูงกว่าร้อยจั้ง ผืนหิมะที่ทอดยาวหลายพันลี้เบื้องหน้าหวังลู่ก็อันตรธานหายไปเช่นเดียวกัน
ที่แห่งนี้กลายเป็นฉากทิวทัศน์อันแสนงดงาม ปรากฏเขาเขียวทะเลคราม โอบล้อมด้วยเมฆหมอกขาวสะอาดตา แม้จะไม่รู้ว่าสถานที่นี้คือที่ใด แต่คงมิใช่ขุนเขาวายุน้ำแข็งอีกต่อไป